6 ก.ค. 2021 เวลา 07:25 • ประวัติศาสตร์
A Brief History of Witches : แม่มดชื่อดังในประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนจริง ภาคสอง
ไม่รอช้า มาต่อกับภาคที่สองของแม่มดชื่อดังในประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนจริง มีใครบ้างที่เรารวบรวมมา มาดูกันเลย
1. La Voisin
แคทรีน มงวัวแซง (Catherine Monvoisin) หรือ ลา วัวแซง (La Voisin) มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1640 ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเธอเป็นหมอตำแย หมอทำแท้ง หมอปรุงยา รวมถึงรับจ้างทำยาพิษ ทำคุณไสย ทำพิธีกรรม ยาเสน่ห์ และดูดวงชะตาด้วย
ลา วัวแซง ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนเยอะที่สุดของปารีส คาดว่าเธอได้สังหารชนชั้นสูงในฝรั่งเศสมากถึงสองพันคนด้วยยาพิษ ในช่วงค.ศ. 1670-1680
ลา วัวแซง (Credit: https://en.wikipedia.org/wiki/File:Catherine_Deshayes_(Monvoisin,_dite_%C2%ABLa_Voisin%C2%BB)_1680.jpg)
เรื่องราวก่อนหน้าของ ลา วัวแซง เราพอจะทราบว่าครอบครัวของเธอไม่ได้มีฐานะที่ดีมากนัก ก่อนหน้านี้สามีทำธุรกิจค้าผ้าไหมและอัญมณี แต่ธุรกิจมีอันต้องล้มละลาย
เธอจึงต้องดูแลครอบครัวและสามีที่ขี้เกียจของเธอ โดยการเป็นหมอตำแย หมอทำแท้ง แล้วถึงได้เข้าวงการทำคุณไสย ดูดวงชะตาหลังจากนั้น
ลา วัวแซง มีความสามารถในการทายสีหน้าของลูกค้า เธอสามารถให้คำปรึกษาเรื่องที่พวกเขากังวล หรืออยากรู้ ทำให้ลูกค้าเธอเยอะขึ้นเรื่อยๆจากการบอกปากต่อปาก
เธอมีรายได้เยอะขึ้นเรื่อยๆด้วย รวมถึงฐานลูกค้าของเธอเริ่มค่อยๆมีชนชั้นสูงมาใช้บริการเยอะขึ้น หนึ่งในลูกค้าคนดังของ ลา วัวแซง เช่น Madame de Montespan เป็นหนึ่งในชู้ลับของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ได้ใช้บริการดูดวงชะตา และทำยาเสน่ห์อยู่บ่อยครั้ง
Madame de Montespan (Credit: https://www.ancient-origins.net/history-famous-people/black-masses-la-voisin-how-fortune-teller-became-murderess-french-royal-court-021057)
Madame de Montespan เริ่มรู้ได้ว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กำลังมีชู้ลับคนใหม่ ทำให้เธอตัดสินใจว่าจ้างให้ ลา วัวแซง เริ่มทำยาพิษขึ้นมาเพื่อให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หลงเสน่ห์ โดย ลา วัวแซงใช้ส่วนผสมที่มีแมลงวันสเปน ซึ่งมีสรรพคุณเป็นยากระตุ้นกำหนัดใส่ลงไป โดยเธอแนะนำให้มาดามคนนี้ใส่ยานี้ลงไปในเครื่องดื่มของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ตอนกลางคืน
แต่ก็ยังไม่ได้ผล พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ยังมีท่าทีออกห่าง Madame de Montespan ไปหาสาวคนใหม่ ทำให้เธอคิดอยากที่จะสังหารพระองค์เสียดีกว่าต้องทนเห็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ไปอยู่กับหญิงอื่น เธอจึงตัดสินใจจ้าง ลา วัวแซงอีกครั้งให้ทำยาพิษขึ้นมา ครั้งนี้เธอหมายเอาชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
โชคดีที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ไม่เป็นอะไร แต่โชคร้ายที่ the duchess d'Orleans น้องสะใภ้ (ซึ่งมีข่าวลือว่าเป็นชู้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ด้วย) ดื่มเอายาพิษเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ ทำให้เธอมีการแทบจะในทันที ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หน้าซีด และไม่กี่วันก็สิ้นใจ ด้วยวัยเพียง 26 ปี
มีการชันสูตรศพพบร่องรอยความเสียหายที่ตับและลำไส้ แต่บอกไม่ได้ว่าสาเหตุเป็นจากยาพิษที่เธอดื่มเข้าไปหรือไม่ ทุกวันนี้ยังคงเป็นปริศนา พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ไม่ได้สงสัยใคร แม้กระทั่ง Madame de Montespan
1
เรื่องมาตกที่ ลา วัวแซง เนื่องจากหนึ่งในศัตรูของเธอ คือ Marie Bosse เป็นผู้ที่อยู่วงการทำยาพิษเหมือนกัน ถูกจับและได้ซักทอดว่า ลา วัวแซง มีแผนลอบวางยาพิษชนชั้นสูงในปารีส
เหตุการณ์นี้มีชื่อว่า Affair of the Poisons (L’affaire des poisons) หรือ การลอบวางยาพิษชนชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ รวมถึงพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
La Voisin in her laboratory in a Paris suburb (M. Evans Picture Library) Credit: https://historyofyesterday.com/the-affair-of-the-poisons-cf31804b3e0
การไต่สวนเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1677 -1682 และได้กลายเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ชนชั้นสูงในปารีส ทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีรับสั่งให้ทำลายกระบวนการลอบวางยาพิษและผู้ว่าจ้างนี้ทั้งหมด
แต่ไม่นานพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็รับสั่งให้ยุติการสืบสวน ด้วยกลัวว่าข่าวลือก็อซซิปจะกระจายไปในทางไม่ดีเรื่องชู้ลับของพระองค์ แต่ไม่นานก็สั่งให้มีการสืบสวนอยู่แต่เป็นไปอย่างเงียบๆ
เจ้าหน้าที่สืบสวน Nicolas de La Reynie ได้ทำการสืบสวนเรื่องนี้อยู่สามปี มีการตั้งศาล จับกุมคนไปสอบสวน ผลคือในปีค.ศ. 1680 มี 36 คน ถูกลงโทษประหารชีวิตโดยการเผา รวมลา วัวแซงด้วย
ในระหว่างที่ลา วัวแซง ถูกจับกุมไปขังและทรมานใหัรับสารภาพ เธอไม่เคยปริปากบอกเลยว่า Madame de Montespan เป็นผู้ว่าจ้างให้เธอทำยาพิษ เพราะกลัวว่าเธอจะโดนข้อหาลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ เธอยังได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นข้อหาที่เธอฝังศพตัวอ่อนที่เธอทำแท้งมาในสวน (ซึ่งมีการไปขุดก็ไม่เจอหลักฐาน) หรือการปรุงยาพิษต่างๆ
ทว่าท้ายที่สุด ลา วัวแซง ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็นต่อหน้าสาธารณชนในปี ค.ศ. 1680
หลังจากที่ ลา วัวแซง ถูกประหารชีวิตด้วยการเผา มารี ลูกสาวของ ลา วัวแซง ได้เปิดเผยลิสท์ลูกค้าของแม่เธอ และเรื่องราวการว่าจ้างให้ทำยาพิษ
ส่วน Madame de Montespan เธอไม่เคยโดนข้อหาใดๆ และมีชีวิตอยู่จนกระทั่งเสียชีวิตในวัย 65 ปี
2. Isobel Gowdie
สก็อตแลนด์ในช่วงคริสตศวรรษที่ 17 เป็นหนึ่งในประเทศที่ล่าแม่มดและจับคนไปสังหารด้วยข้อหาเป็นแม่มดเยอะเป็นอันดับต้นๆของยุโรปเลยก็ว่าได้
1
หนึ่งในเคสที่โด่งดังคือ เคสของ อิโซเบล เกาดี้ กับคำรับสารภาพที่แปลกและไม่เหมือนแม่มดคนอื่นๆ
อิโซเบล เกาดี้ เป็นหญิงสาวชาวสก็อต ผู้ซึ่งสารภาพว่าใช้เวทย์มนตร์คาถาและเป็นแม่มด ที่หมู่บ้านอัลเดิร์น (Auldearn) ใกล้ๆกับเมืองแนร์น (Nairn) ที่สก็อตแลนด์ ในช่วงปีค.ศ. 1662
Isobel Gowdie (Credit: https://witchcraft101.com/blogs/wicca/top-9-real-witches-in-history-all-around-the-world)
ช่วงชีวิตก่อนหน้าของอิโซเบล ก่อนที่จะแต่งงานกับจอห์น กิลเบิร์ต ไม่มีบันทึกไว้ ทำให้เราไม่รู้ว่าในวัยเด็กเธอเป็นมาอย่างไร และก็ไม่มีหลักฐานว่าเธอเกี่ยวข้องกับศาสตร์แม่มดได้อย่างไร รวมถึงไม่ทราบว่าเธอและสามีมีลูกด้วยกันหรือไม่ เราเพียงแต่ทราบว่าเธอและสามีอาศัยอยู่แถวๆล็อคลอย (Loch Loy) ซึ่งเป็นทะเลสาบในเมืองแนร์น
สามีของเธอเป็นชาวนาทำงานให้กับเจ้าของที่ดินแลกกับที่อยู่เป็นกระท่อมปลายนา ส่วนอิโซเบลก็มีหน้าที่ทำงานบ้าน รีดนมวัว ทำขนมปัง ทอผ้า อยู่ที่กระท่อมเป็นส่วนใหญ่ เธออ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่เธอมีความสามารถในการพูดโน้มน้าวใจคนเก่ง พูดจาฉะฉาน
ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าทำไมอิโซเบลถึงโดนจับในข้อหาเป็นแม่มด นักประวัติศาสตร์เพียงแต่เจอคำสารภาพที่ถูกบันทึกไว้ และสันนิษฐานว่า แฮร์รี่ ฟอร์ปส (Harry Forbes) รัฐมนตรีท้องถิ่น ได้ล่าแม่มดจากความเชื่อและความกลัวเรื่องแม่มดเป็นอย่างมากของเขา ซึ่งเธอสารภาพทั้งหมดสี่ข้อหา ภายในช่วงระยะเวลา 6 สัปดาห์ที่ถูกจับไปสอบปากคำ
2
มาดูคำสารภาพของเธอกัน
คำสารภาพแรก : อิโซเบลได้บอกว่าเธอได้พบเจอกับปีศาจ หรือซาตาน ที่โบสถ์ในหมู่บ้านอัลเดิร์นในตอนกลางคืน เธอได้กล่าวต่อปีศาจนั้นว่าเธอจะละทิ้งศาสนาคริสต์เพื่อรับใช้ปีศาจ และปีศาจก็ได้ตอบรับด้วยการทำเครื่องหมายไว้ที่หัวไหล่และดูดเลือดเธอในบริเวณนั้น
เธอยังได้สารภาพอีกด้วยว่าเธอกับปีศาจตนนี้เคยเสพสังวาสกัน เธอบรรยายว่าปีศาจนั้นตัวเย็น มือและเท้ามีลักษณะเป็นง่าม บางครั้งก็สวมใส่รองเท้าด้วยหรือบู๊ทด้วย
เธอเล่าว่าสามีเธอไม่ได้มีส่วนรู้เห็นว่าเธอเป็นแม่มด เวลาที่เธอออกมาพบปีศาจเธอจะเอาไม้กวาดมาวางทำเหมือนว่ามีคนนอนอยู่ แล้วแอบออกมา
1
เธอเล่าต่ออีกว่ากลุ่มแม่มดของเธอ ล้วนแล้วแต่มีความสามารถในการแปลงร่าง ซึ่งทุกคนสามารถแปลงเป็นสัตว์ได้หมด ส่วนใหญ่จะแปลงเป็นแมวและกระต่ายป่า
คำสารภาพที่สอง : ถัดมาอีกสองอาทิตย์เธอได้สารภาพรายชื่อผู้เป็นแม่มดที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับเธอ รวมถึงเธอได้เล่าต่อด้วยว่าเธอสามารถสาปหรือให้พรคนได้ด้วย
1
ปีศาจได้ให้ลูกศรที่ลงคาถาไว้กับเธอและกลุ่มแม่มด หากลูกศรนี้ยิงไปที่ใคร แม้ว่าเขาผู้นั้นจะใส่เสื้อเกราะ ก็ไม่สามารถรอดจากลูกศรอาคมนี้ไปได้
แฮร์รี่ รัฐมนตรีท้องถิ่นเล่าไว้ด้วยว่าเขาถูกแม่มดใช้คาถาอาคมทำให้เขามีอาการป่วย
คำสารภาพที่สาม : อิโซเบลสารภาพรายชื่อคนที่ตายจากลูกศรอาคมของเธอ รวมถึงสารภาพว่ากลุ่มแม่มดได้ฆ่าใครด้วยวิธีใดไปบ้าง เธอได้เล่าด้วยว่าเธอเคยถูกสุนัขวิ่งไล่กัด ตอนที่เธอปลอมตัวเป็นแมวหรือกระต่ายป่า แม้ว่าสุนัขจะฆ่าเธอไม่ได้ แต่รอยกัดจะทำให้คนรู้และเป็นหลักฐานในภายหลังได้ว่าเธอเป็นแม่มดเพราะแปลงร่างได้
2
นอกจากนี้เธอยังทำคุณไสยด้วย โดยทำรูปหุ่นจำลองของลูกชายเจ้าของที่ดิน และเอามาเผา พร้อมสาปแช่งเพื่อให้เขาตาย ซึ่งทั้งหมดนี้ปีศาจเป็นผู้สอนวิธีให้ทั้งหมด
คำสารภาพที่สี่ : หลักๆเป็นการสารภาพรายชื่อแม่มดเพิ่มเติม และยืนยันเรื่องที่เธอเล่ามาทั้งหมดว่าเป็นความจริง
จากคำสารภาพทั้งสี่ของอิโซเบล ทำให้มีคนถึง 41 คนถูกจับ
ไม่มีบันทึกว่าอิโซเบลถูกประหารชีวิตด้วยวิธีใด เอกสารจดบันทึกจากท้องถิ่นหาไม่เจอแล้วในตอนนี้ แต่นักประวัตศาตร์ก็สันนิษฐานว่าก็เหมือนกับแม่มดรายอื่นๆที่ถูกจับในสก็อตแลนด์ มีการไต่สวนเป็นครั้งสุดท้ายต่อหน้าสาธารณะก่อนที่จะถูกประหารชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นการเผาทั้งเป็น
1
ในภายหลังมีการวิเคราะห์และสันนิษฐานเพิ่มเติมจากนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการหลายแขนงว่า อิโซเบลอาจจะมีอาการป่วยทางจิต เป็นจิตเภทประเภทหลงผิด เนื่องจากบาดแผลทางจิตใจจากการถูกข่มขืน
1
มีหลักฐานว่าในตอนนั้นมีทหารบุกเข้ามาในพื้นที่ ช่วงปีค.ศ. 1647 เพื่อทำสงครามอัลเดิร์น และอิโซเบลเองก็ได้รอดมาจากสงครามนั้น ด้วยความที่เธอเป็นคนที่ชอบเล่า ชอบพูดอยู่แล้ว บวกกับจินตนาการของเธอ บาดแผลในใจของเธอ อาจทำให้เธอแปลงเรื่องราวเป็นว่าเธอได้สมสู่กับปีศาจและเป็นแม่มดที่มีพลังเหนือธรรมชาติ บวกกับการจดบันทึกจากท้องถิ่น ที่ตอนนั้นทุกคนต่างกลัวและเชื่อในแม่มด ก็อาจจะทำให้บันทึกเป็นไปตามในสิ่งที่พวกเขาเชื่อ
3. Marie Laveau
Marie Catherine Laveau หรือ มารี ลาโว ที่เรารู้จักชื่อเสียงกันดี มีชีวิตอยู่ในช่วงค.ศ. 1801-1881 (ปีที่เกิดยังมีการถกเถียงกันอยู่ บางแหล่งบอกว่าปีค.ศ. 1794) ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเธอสืบเชื้อสายอเมริกันพื้นเมือง แอฟริกัน และฝรั่งเศส
Marie Laveau (Credit: https://shannonselin.com/2014/06/voodoo-queen-marie-laveau/)
มารี ลาโว เป็นแม่หมอวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์ ที่ไม่ว่าใครได้ยินชื่อในสมัยนั้นก็ต่างพากันหวาดกลัว พลังอำนาจของเธอสามารถรักษาคนป่วยได้ เธอเห็นอนาคต และทำพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นการผสมผสานศาสตร์แห่งเวทย์มนตร์จากความเชื่อศาสนาคริสต์คาทอลิกและความเชื่อเรื่องผีสางของแอฟริกัน
มารี ลาโว แต่งงานครั้งแรกกับ ฌาก ปารี (Jacques Paris) หนุ่ม ครี-โอลที่มาจากอาณานิคมแซ็ง-ดอแม็งก์ (Saint-Domingue) ของฝรั่งเศส หรือประเทศเฮติในปัจจุบัน ซึ่งลี้ภัยมายังนิวออร์ลีนส์ระหว่างการปฏิวัติเฮติในปี 1791
ทั้งสองมีลูกด้วยกัน แต่หลังจากที่สามีคนแรกหายตัวไปอย่างปริศนา และถูกสันนิษฐานว่าเสียชีวิตในภายหลัง บันทึกเรื่องลูกสาวทั้งสองคนของเธอกับฌากก็ไม่มีอีกเลย
1
* Creole หมายถึงคนยุโรปหรือแอฟริกันที่เกิดในในดินแดนอาณานิคมส่วนอินดีสตะวันตก ที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสหรือสเปน
มารี ลาโว แต่งงานใหม่กับ คริสต็อฟ ดอมีนิก ดูว์มีนี เดอ กลาปียง (Christophe Dominick Duminy de Glapion) ชายผิวขาวเชื้อสายฝรั่งเศส ทั้งสองอยู่ด้วยกันจนวาระสุดท้ายของชีวิต และมีลูกด้วยกันหลายคน แต่ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากไข้เหลืองที่ระบาดในนิวออร์ลีนส์ช่วงนั้น
หลักฐานพบว่ามีบุตรสาวเพียงสองคนของเธอที่มีชีวิตรอด พ้นวัยเด็ก คือ มารี ยูชารีสต์ เอลัวส์ ลาโว (Marie Euchariste Eloise Laveau) และมารี ฟีโลเมน กลาปียง (Marie Philomene Glapion) ซึ่งไม่ทราบว่าหนึ่งในสองคนนี้ ใครคือมารี ลาโวที่ 2 ผู้สืบทอดศาสตร์วูดูต่อจากเธอ
*ในสมัยนั้นนิยมตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อมารดา
1
มารี ลาโว มีอาชีพเป็นช่างทำผม เธอมีลูกค้าเป็นคนผิวดำค่อนข้างเยอะ รวมถึงมีคนผิวขาวที่ร่ำรวยก็มาใช้บริการด้วย ส่วนมากเป็นผู้หญิงที่มักจะมาขอคำปรึกษาเรื่องสามีนอกใจ คนรัก ดูดวงชะตา ทำคุณไสย แก้คุณไสยกับเธอ ทำให้เธอร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆจากลูกค้าที่มาใช้บริการ
1
เธอโด่งดังจากการขาย gris-gris ซึ่งเป็นเครื่องรางของขลัง ไว้ปกป้องผู้ครอบครองจากโชคร้าย คุณไสยหรือปีศาจที่จะเข้ามาทำร้ายด้วย
* ศาสตร์วูดู (Voodoo or Voudou) เป็นศาสตร์มืดที่เกี่ยวกับผีสาง วิญญาณ จากความเชื่อของแอฟริกา และได้เข้ามาในอเมริกาในช่วงที่มีการค้าทาส และแพร่หลายในนิวออร์ลีนส์จากกลุ่มผู้อพยพจากเฮติช่วงค้นคริสตศตวรรษที่ 19
gris-gris (Credit: https://elements.envato.com/gris-gris-bag-54RPR5)
หลักฐานว่ามารี ลาโว เริ่มใช้ศาสตร์วูดูน่าจะอยู่ในช่วง ค.ศ. 1850 เมื่อมีเพื่อนบ้านรายงานว่าเธอได้ท่องคาถาเสียงดัง จุดธูปเครื่องหอมควันขโมงอยู่บ่อยครั้ง เธอมักจะจัดงานกับเหล่าผู้เลื่อมใสของเธอในวันอาทิตย์ เพื่อทำพิธีกรรมร่วมกัน
ในขณะนั้นมีหมอผีวูดูอยู่หลายคน แต่มารี ลาโว สามารถก้าวมาเป็น the Voodoo Queen of New Orleans ผู้คนในเมืองค่อนข้างหวาดกลัวการใช้ศาสตร์วูดูของเธอ เนื่องจากเธอมีลูกค้าและเครือข่ายผู้ที่เลื่อมใสค่อนข้างเยอะ ทำให้ไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับเธอ
ในปีค.ศ. 1975 มารี ลาโว ประกาศว่าเธอจะเลิกทำหน้าที่หมอผีและเลิกใช้ศาสตร์วูดูแล้ว โดยเธอส่งทอดวิชาไปให้ลูกสาวของเธอ มารีที่สอง เป็นผู้รับหน้าที่หมอผีแทน
ในปีค.ศ. 1881 มารี ลาโว เสียชีวิตอย่างสงบในวัย 86 ปีที่บ้านของเธอเอง และลูกสาวของเธอ มารีที่สองได้รับช่วงต่อ แต่ศาสตร์วูดูในช่วงนั้นก็เริ่มเสื่อมความนิยมไปบ้างแล้ว
มีเรื่องเล่าว่ามีผู้พบเห็นวิญญาณของมารี ลาโว อยู่ภายในบ้านของเธอด้วย
บ้านของมารี ลาโว (Credit: https://www.realtor.com/realestateandhomes-detail/1020-Saint-Ann-St_New-Orleans_LA_70116_M80447-16495)
สุสาน St. Louis Cemetery No. 1 ที่เป็นที่ฝังศพของมารี ลาโว ในสมัยหลังมีผู้คนไปทำสัญลักษณ์ X ต่อกัน 3 ตัว เพื่อขอพรจากมารี ลาโว โดยแต่ละอักษร X แทนพรหนึ่งข้อ
ทุกวันนี้ไม่สามารถเข้าไปยังภายในสุสานได้แล้ว นอกจากจะซื้อทัวร์และมีไกด์พาเข้าชมเพียงเท่านั้น
(Credit: https://pelicanstateofmind.com/louisiana-love/mystery-marie-laveau-louisianas-voodoo-queen/)
นักวิชาการวิเคราะห์ว่า มารี ลาโว เป็นผู้ที่มีลักษณะสง่า น่าเชื่อถือ และมีความสามารถในการรับฟัง ให้คำปรึกษา ทำให้เหล่าคนขาวชนชั้นสูงตอนนั้นไว้วางใจเล่าเรื่องสามี และความลับให้ฟัง
นอกจากนี้เธอทำอาชีพช่างทำผม ทำให้ต่อวันเธอเจอกับคนหลากหลายทั้งชนชั้นสูง คนใช้ คนทั่วไป พวกเขามักเล่าเรื่องนินทาคนนั้นคนนี้ให้เธอฟัง ทำให้เธอรู้ความลับมากมายของคนหลายๆคน
จบเรียบร้อยแล้วสำหรับแม่มดตัวจริงในประวัติศาสตร์ที่เรารวบรวมมา กดติดตามและแชร์ให้พวกเราด้วยนะคะ
แล้วพบกับประวัติศาสตร์แม่มดได้ต่อในหัวข้อถัดไป เร็วๆนี้ค่ะ
เขียนและเรียบเรียงโดยทีมงานคิดก่อน ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไข และคัดลอก โดยไม่ได้รับอนุญาต
References:

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา