Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สุขภาพดีด้วยฟิสิกส์
•
ติดตาม
17 ก.ค. 2021 เวลา 10:56 • สุขภาพ
เรียนรู้เพื่อสู้โควิด(2)
การสู้กับโควิดก็เหมือนการทำสงคราม ต้องรู้เขารู้เรา จึงได้เปรียบ ในการแพทย์ด้านรักษานั้น เป็นการรู้เขา รู้ว่าเชื้อโจมตีจุดไหน ไปทำลายอะไรได้บ้าง ซึ่งตรงกับ "Germ Theory"
ส่วนการแพทย์ด้านป้องกัน ต้องรู้เรา รู้ว่าร่างกายทำอะไรได้บ้าง และทำอย่างไรจึงส่งเสริมการทำงานนั้นให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ทุกครั้งที่เราติดเชื้อ ต้องเริ่มมาจากร่างกายเราอ่อนแอก่อน ทุกคนที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อเท่ากัน(เทียบในกลุ่มใส่แมสล้างมือเหมือนกัน) แต่มีบางคนเท่านั้นที่ป่วย เพราะร่างกายแข็งแรงไม่เท่ากัน ซึ่งตรงกับ"Terrain Theory"
Cr:NiseriN/iStock/Getty Images Plus
ภาพรวมโควิด คือสงครามแย่งพลังงานระหว่างร่างกายกับไวรัส บางคนแค่ช่วงข้ามคืน อาการแย่ลงเร็วมาก เพราะทุกครั้งที่เราแพ้จะเป็นการแพ้แบบทวีคูณ ร่างกายต้องใช้พลังงานสำหรับสร้างภูมิต้านทานแต่ถูกแย่งไป บวกกับเชื้อที่ได้พลังงานยิ่งแบ่งตัวเพิ่มขึ้น ระยะแรกจึงดูไม่รุนแรง แต่ข้ามวันอาการโรคจะทรุดอย่างรวดเร็ว
ปัญหาอยู่ที่เชื้อโควิดรู้จุดที่ใช้สูบพลังงานได้ และอาวุธที่ใช้ก็คือหนามที่เรียกว่า S-protein เชื้อนี้เป็นลูกหลานของโรคซาร์ ซึ่งได้ปรับตัวให้การแย่งพลังงานอ่อนลง มิฉะนั้น เมื่อแย่งมากร่างกายจะตายเยอะ เชื้อก็ตายด้วย โรคซาร์จึงหยุดไป
ในทางการแพทย์เรารู้จุดที่เชื้อโจมตีมานานแล้ว แต่พอซาร์หยุด การวิจัยก็ลดลงด้วย ทำให้ยังไม่เข้าใจกลไกการป้องกันที่แท้จริง พอมาเจอโควิดรอบใหม่ คำอธิบายบางเรื่องจึงฟังแล้วสับสน ตัวอย่างเช่น โควิดพบในคนสูงอายุ ยิ่งเป็นคนที่มีโรคเรื้อรังร่วมด้วย ยิ่งตายมาก แต่พอแนะนำให้ไปฉีดวัคซีน คนมีโรคเรื้อรังกลับเสี่ยงเกิดผลแทรกซ้อนได้ด้วย คนฟังจะแปลความว่าเชื้อกับวัคซีนคือพวกเดียวกัน หมอเลยต้องเลี่ยงไปอธิบายแบบเปรียบเทียบ ให้ดูที่โอกาส ติดเชื้อมีโอกาสตายเท่ากับ ถูกเลขท้ายสองตัว แต่โอกาสเกิดจากวัคซีนคือรางวัลที่หนึ่ง แต่ไม่ได้อธิบายกลไกที่เกิด เพราะกลไกนี้อยู่ที่ร่างกายเราไม่ใช่ไวรัส
จุดACE2 คือจุดที่เชื้อโจมตี ยุคซาร์มีการศึกษาการทำงานไว้บ้าง คือคนป่วยความดันสูง จะมีการสร้างหน่วยนี้เพิ่มขึ้นมาก เพราะใช้เป็นจุดช่วยปรับสมดุล แต่กลายเป็นจุดให้เชื้อโจมตีได้เพิ่มขึ้นด้วย ใครเคยสงสัยบ้างไหม โควิดเป็นมากในคนที่มีความดันสูง เชื้อโรคมันรู้ได้อย่างไร เรายังต้องวัดความดันก่อนเลยถึงจะรู้คนนี้ความดันสูง แต่เชื้อมันมีเครื่องวัดผ่านจุดACE2นี่เอง
พอเวลาเราทำวัคซีน เราก็เอาอาวุธที่เป็นหนามมาทำ เลยไปทำปฏิกิริยาที่จุดนี้อีกแบบเดียวกัน แต่ข้อแตกต่างจากไวรัสคือวัคซีนเพิ่มจำนวนหนามไม่ได้ ความเสี่ยงจึงมีน้อยกว่า ผลของวัคซีนจะไปกระตุ้นเซลล์สร้างภูมิต้านทานมาทำลายไวรัสอีกที
กลับมาดูเรื่องรู้เขารู้เราใหม่ สิ่งที่เพจนี้ต้องการแบ่งปัน คือ การสู้กับโรคให้ได้ผลต้อง "รู้เรา"หรือรู้จักร่างกายเราด้วย ปัญหาทุกอย่างของโควิดจะจบลงได้ด้วยการสร้างภูมิต้านทาน ถ้าเอาแต่ไปรอพึ่งวัคซีนที่อาศํยจมูกคนอื่นทำ ซื้อได้ไม่พอก็แย่งกัน เพราะตลาดกำลังเป็นของผู้ขาย สำหรับคนที่ติดเชื้ออาการอาจเริ่มรุนแรงแล้วจะรอช้าไม่ได้ ปัญหาคือทำอย่างไร เมื่อป่วยแต่ไม่มีเตียง ถ้าเราเข้าใจสงครามแย่งพลังงานในตัวเรามากขึ้น การช่วยตัวเองในช่วงที่ยังไม่มีหมอ ต้องสู้แบบมีเป้าหมายจึงจะได้ผลมากขึ้น
การสร้างภูมิต้านทานต้องใช้พลังงาน พลังงานนี้คือพลังงานทางชีวะวิทยา (สมัยก่อนเรียกว่า พลังชีวิต ความจริงคือพลังงานไมโตคอนเดรีย) ซึ่งไหลเวียนในร่างกายอย่างเป็นระบบ การเอาออกมาใช้ต้องผ่านผนังเซลล์ตรงจุดACE2 จำนวนจุดนี้เปลี่ยนแปลงได้และปรับคุณภาพไปตามความต้องการของร่างกาย ซึ่งตรงกับกลไกหยินหยางของจีน แปลว่า ในคนที่มีโรคเรื้อรัง ไม่แข็งแรงอยู่ก่อน จะมีจุดนี้มากแต่ไม่สมบูรณ์ เพราะร่างกายต้องเอาพลังงานไปใช้ปรับสมดุล เพื่อแก้ปัญหาที่ตามมาหลังเกิดโรค จึงช่วยลดภาวะอันตรายจากโรคเรื้อรังได้ ถ้าไวรัสมาแย่งไป อาการรุนแรงของโรคก็กลับไปแย่ลงได้ ร่วมกับอาการจากโควิด อัตราตายจึงสูง
การสู้กับโควิด จึงเป็นเรื่องเดียวกับการทำให้สุขภาพแข็งแรงไม่เป็นโรคเรื้อรัง โดยใช้จุดACE2ไม่มาก แต่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โอกาสถูกโจมตีน้อยลง นี่คือหลักการในภาวะปกติ แต่ตอนนี้ข้าศึกมาถึงในบ้านแล้ว ต้องเน้นเป้าหมายตรงไปที่เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกันให้ดี ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะเป็นอาวุธที่เหลือเพียงอันเดียวแล้ว ทุกวินาทีจึงมีค่า ต้องทำให้พลังงานที่ใช้ในการสร้างเกิดการไหลเวียนดีขึ้น ทั้งการนอน การยืน หรือออกกำลังกาย (เลี่ยงการนั่งให้น้อย)
ขอข้ามเรื่องการใส่แมส ล้างมือ อยู่ห่าง เพื่อป้องกันติดเชื้อ เพราะเชื่อว่าทุกคนทำดีอยู่แล้ว ความสำคัญอยู่ที่เริ่มมีอาการป่วย เชื้ออังกฤษมีเวลา7-10วัน ก่อนลงปอด แต่เดลต้าเหลือ3-5 วัน ทุกวันทุกนาทีจึงสำคัญมาก จำไว้เลยว่าภูมิต้านทานจะเกิดมากสุดตอนหลับสนิท ต้องพยายามนอนหลับในลักษณะที่ถูกต้อง โดยตัวเหยียดตรงมากที่สุด ไม่นอนขด
อาการเริ่มไข้ ไอ เจ็บคอ ล้วนทำให้นอนหลับสนิทไม่ได้ ถ้านอนไม่ได้วันที่สองจะยิ่งเลวร้ายลง ต้องใช้ยาทุกอย่างตามอาการเพื่อไม่ให้ มีไข้ ไอ เจ็บคอมากวนการนอน กินยาพารา ลดไข้ลดเจ็บคอ ไอก็จะน้อยลงด้วย อมน้ำให้ชุ่มคอ ถ้ากินมากปวดฉี่บ่อย รบกวนการนอนได้ ที่สำคัญอีกอย่างการนอนให้นอนราบไม่หนุนหมอน แต่หาหมอนเด็กอ่อน2-3 ใบ ใบแรกม้วนขอบบนและขอบล่างให้โค้งเข้าหากัน ให้โค้งแบบหลังเต่า แล้วนำไปซ้อนบนหมอนอีกใบเพื่อให้ฐานของหมอนสูงขึ้น แล้วเอาไปหนุนใต้คอโดยไม่ต้องหนุนหัว ถ้าจะหนุนหัวให้ใข้ผ้าหรือหมอนแบนๆแทน( ถ้าเมื่อยต้องการนอนตะแคง ต้องใช้หมอนที่หนาเท่าความกว้างหัวไหล่ โดยเอาผ้าห่มมาพับหนาๆเพื่อความสูง แล้วสอดไว้ใต้หมอน หมอนนี้ต้องหนุนลงมาถึงซอกคอ ยาวจากบ่าไปถึงหัว นอนแล้วหัวต้องไม่เอียง)
การนอนลักษณะนี้ช่วยการหายใจดีขึ้น เชื้อลงปอดน้อยลง กระดูกคอที่ตรงทำให้พลังงานไหลเวียนดีขึ้น มีผลต่อการใช้สร้างภูมิได้มากขึ้น ถ้านอนหลับสนิทแบบนี้ได้เกิน2-3วัน อาการจะรุนแรงน้อยลง ตรงกันข้าม คนที่อาการวันแรกๆไม่รุนแรง (เพราะยังมีภูมิต้านทานเดิมเหลืออยู่) แต่วันต่อมากลับแย่ลงเร็ว แปลว่าเชื้อเริ่มชนะ แต่เราแพ้แบบทวีคูณ จำเป็นต้องรีบเพิ่มภูมิด่วน ความรุนแรงของโรคเป็นเรื่องที่การแพทย์คาดการณ์ไม่ค่อยได้ จึงเป็นเหตุที่ทำให้ต้องนอนโรงพยาบาล เพิ่มเตียงเท่าไรก็ไม่พอ เพราะต้องเอกเรย์ใหม่ทุกวัน ต้องตรวจออกซิเจนในเลือดบ่อยๆ
นอกจากการนอน กลางวันยังต้องเพิ่มออกกำลังกายแบบถูกวิธีทั้งๆที่มีไข้ ให้กินยาแล้วเดินยืดอก ตัวตรงๆ เดินอยู่กับที่ก็ได้ ใช้แรงไม่เยอะ ถ้าอ่อนเพลียมาก ก็ลดเหลือยืนแกว่งแขน ยืดอกตัวตรงก็ได้ ไม่ควรนั่งซม ขดตัวนานๆ ต้องนึกเสมอว่าที่ต้องทำทั้งๆที่ไม่สบาย เพราะต้องต่อสู้กับไวรัส ไม่ทำไม่ได้ ถ้าเหนื่อยให้ไปนอนราบแบบที่สอนไว้ หายเหนื่อยกลับมาทำใหม่ ทุกครั้งที่เดินให้นึกเสมอว่า กำลังเดินเพื่อเป็นการเอาชีวิตให้รอดจากไวรัส ใช้เวลากับการออกกำลังกายและนอนมากที่สุด งดทำงาน เล่นเน็ตทุกอย่าง
สุดท้าย ยังมีวิธีสร้างภูมิต้านทานอื่นๆอีก เช่น กินอาหารพวกพืชสมุนไพรให้มากขึ้น เดินจงกลมทำสมาธิแทน ถ้าฟุ้งซ่านมากจนออกกำลังกายไม่ได้ ทุกอย่างเกี่ยวข้องการเพิ่มจำนวนภูมิต้านทานทั้งนั้น ลองทำดูก่อน จะขยายความให้ฟังทีหลังในบทสุดท้าย การอมยาบ้วนปาก จิบน้ำบ่อยๆเป็นสิ่งที่ควรทำ ส่วนการกินยาฆ่าไวรัส ฟ้าทะลายโจร วิตามินเสริม จะทำด้วยก็ไม่ว่าากัน เพื่อลดปริมาณไวรัส แต่สำคัญสุด คือการนอนหลับสนิทเสริมการสร้างภูมิต้านทานครับ
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย