15 ก.ค. 2021 เวลา 10:31 • ท่องเที่ยว
เจาะอารยธรรมโบราณที่เนปาล ตอน7 (ปาทัน Patan-Lalipur)
12 ต.ค. 2555
ติดตามตอนก่อนหน้านี้ได้ที่นี่
ตอนนี้เป็นตอนที่ 7 แล้ว เรายังเดินทางท่องในกาฐมาณฑุเป็นวันที่ 5
เช้านี้ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว แล้วเดินขึ้นไปทานอาหารเช้าที่รวมอยู่ในค่าห้องแล้ว บนชั้นบนสุดเป็นระเบียงยื่นที่มองเห็นตรอกทาเมล ที่สำคัญเห็นหน้าต่างห้องที่เราพักบนชั้น4 ด้วย จึงได้เห็นว่าหน้าต่างห้องน้ำที่เป็นกระจกฝ้าถ้ากลาง คืนด้านนอกมืดจะมองเห็นเงาคนในห้องน้ำได้ปรุโปร่งขนา ดไหน 5555 คิดแล้วเสียววาบ เมื่อคืนไม่รู้ว่าเราเปิดการแสดงโชว์ให้ใครชมละครเงา ขนาดไหน
อาหารเช้าวันนี้แขกคงน้อย จึงให้เราเลือกสั่งได้เองว่าอยากทานอะไร ฉะนั้นก็สูตรเดิมคือ ขนมปังปิ้ง ออมเล็ต และ มูสลีโยเกิร์ต ซึ่งมูสลีโยเกิร์ตนี่ดีสำหรับการถ่ายจริงๆ ตลอดทริปเราทานโยเกิร์ตกับมูสลีทุกวัน ถ่ายทุกวันเช้าเย็น เพราะโยเกิร์ตช่วยระบบขับถ่าย มูสลีมีเส้นใยไฟเบอร์เยอะ ดีว่าตลอดทริปอยู่แต่ในเมืองตามร้านอาหารมีห้องน้ำสะอาดน่าใช้ ถ้าเป็นนอกเมืองคงเดือดร้อนแน่ๆ
เช้านี้เราจะไปเมืองปาตัน(Patan) หรืออีกชื่อคือเมือง ลลิตปูร์(Lalipur) เมืองนี้เป็นหนึ่งในสามเมืองที่มีความเจริญทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมสูงสุด นอกเหนือจากเมืองปักตาปูร์ที่ไปมาแล้ว และที่ดูรบาร์สแคว์ในกาฐมาณฑุที่จะไปพรุ่งนี้
เมืองปาตันหรือลลิตปูร์นี้อยู่ทางใต้ของเมืองกาฐมาณฑ ุ เมืองนี้เป็นศุนย์กลางของงานวิจิตรศิลป์และเป็นเมือง พุทธศาสนาที่เก่าแก่ ซึ่งลลิตปูร์ก็มีความหมายว่า "เมืองอันงดงาม"
การวางผังเมืองก็วิสัยทัศน์ดีเยี่ยม จากจตุรัสดูรบาร์สแควร์ของปาตันจะมีถนนสายหลักแยกเป็นรัศมี 4 สาย ซึ่งถือว่าเป็นเลิศในด้านการวางผังเมือง อาคารต่างๆและศาสนสถานมากมายได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกแล้ว
ที่จตุรัสดูรบาร์สแควร์นี้จะมี ศาสนสถานที่สำคัญที่ควรเยี่ยชมได้แก่
- วัดทเลจูาวณี ปัจจุบันเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ปาตัน ซึ่งครั้งนี้ไม่มีเวลาเข้าไปชมเนื่องจากเวลาไม่พอ แต่ครั้งก่อนได้เคยเข้าไปชมแล้ว ภายในจะมีของเก่าแก่หายาก ตัวอาคารเป็นอาคารไม้แกะสลักสวยงาม แต่มีการบูรณะซ่อมแซมโดยการดามเหล็กโครงสร้างค้ำยันอ าคารไว้อย่างแนบเนียน ไม่ทำลายความงามของตัวอาคารเลย
- นอกจากในบริเวณลานจตุรัสยังมี กฤษณามันดีร์ , วัดหริสังกะ , วัดปิศวนาถมันดีร์ , วัดภีมเสนมันดีร์
เก็บบรรยากาศกันอีกนิด ก่อนออกเดินไปวัดทอง ซึ่งอยู่ทางเหนือของจตุรัสดูรบาร์สแควร์ ไม่ไกลนัก
ครั้งนี้ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งผิดแผกไ ป
ในครั้งก่อนที่มาเมื่อ 4-5 ปัก่อน จะพบว่าผู้ชายเนปาลจะคล้ายกับผู้ชายอินเดีย ที่วันๆเอาแต่นั่งชุมนุมกันอยู่ตามศาลาชุมชนปล่อยให้ ผู้หญิงทำหน้าที่ทำนาเกี่ยวข้าว เลี้ยงลูก หาบน้ำ ตามลำพัง
ในครั้งนี้ จะไม่ค่อยเห็นผู้ชายหนุ่มๆนั่งอ้อยอิ่งอย่างนั้น แต่จะเห็นผู้ชายร่วมทำไร่ทำนากับผู้หญิง ช่วยแบกของหนัก และทำงานอื่นๆร่วมกันกับผู้หญิง คงเพราะภาวะเศรษฐกิจบีบคั้นให้ทุกคนต้องช่วยกันจะงอมืองอเท้าเหมือนสมัยก่อนไม่ได้ เหลือแต่ผู้สูงอายุที่พ้นภาระดังกล่าวแล้วเท่านั้นจึงจะนั่งชุมนุมสังสรรค์กัน
อีกอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป คือการเจริญเติบโตของเมือง ที่ครั้งก่อนจะมีชุมชนที่อยู่ร่วมกับโบราณสถาน เป็นชุมชนเกษตรกรรม จะมีการตากข้าวเปลือกเต็มลานบ้าน ครอบครัวเมื่อว่างงานจะออกมานั่งคุยกันหน้าบ้าน เด็กๆก็จะเล่นอยู่หน้าบ้าน ดูแล้วทำให้เมืองมีชีวิต เหมือนเราย้อนเวลาไปสู่ยุคนั้นเลย
ปัจจุบัน การอยู่อาศัยของชาวเมืองน้อยลง อาชีพเกษตรกรรมก็น้อยลงแทบไม่เห็น จะกลายเป็นร้านค้าขายของที่ระลึก หรือ ทำโรงแรม เกสเฮาส์ การอาศัยอยู่ของคนในพื้นที่จึงน้อยลงเหลือเฉพาะคนที่ ประกอบอาชีพกับนักท่องเที่ยวที่จะอยู่ในเมือง ที่เหลือคงย้ายไปอยู่รอบนอกที่ห่างจุดท่องเที่ยวออกไป
เดินชมเมืองมาจนถึงวัดทอง หรือ Kwabahal (บาฮาล เป็นคำเรียก อารามวัดแบบหลังคาสองชั้นแบบเนวาร์ สร้างล้อมรอบลานกว้าง ) ประตูทางเข้ามีสิงห์คู่เฝ้าอยู่ ดูก็รู้ทันทีว่าตัวไหนตัวเมีย หรือ ตัวผู้
มุขด้านหน้าตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงด้วยทองแดง
เดินพ้นประตูทางเข้าเข้ามาจะเจอตัวอารามที่ไม่ใหญ่โต มากนัก แต่ได้รับการตกแต่งด้วยงานแกะสลักวิจิตรบรรจงมากมาย เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมาก ใครมาปาตัน ก็ต้องมาแวะที่นี่
งานโลหะและทองสะท้อนฝีมืองานช่างชั้นสูง
งานหล่อโลหะและแกะสลักรายรอบวิหาร
ด้านใน......
ซุ้มประตูที่มีงานสัมฤทธิ์พุทธประวัติที่งดงามเกินคำ บรรยาย
ออกจากวัดทอง Kwabahal เราเดินต่อไปทางเหนือเพื่อไปยังวัดกุมเบชวาร์(kumbes hwal Mandir ) ซึ่งเป็นวัดที่มีหลังคาห้าชั้น ซึ่งมีเพียง 3 แห่งเท่านั้นในกาฐมาณฑุ อีก 2 แห่งคือวัดนยาโปลาในปักตาปูร์ และ วัดปัญจมุคีหนุมานในพระราชวังหนุมานโดกาที่กาฐมาณฑุ
ระยะทางไกลพอสมควร ระหว่างทางบ้านเรือนชาวบ้านเมื่อก่อน ตอนนี้กลายเป็นเกสเฮาส์ ร้านขายของที่ระลึกผุดขึ้นมาแทนที่ บ้านเรือนถอยร่นเข้าไปในตรอกซอกซอยแทน
ชมนกชมไม้จนถึงวัดกุมเบชวาร์(kumbes hwal Mandir ) วัดนี้ตามประวัติเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในปาตัน เป็นวัดที่สร้างถวายให้พระศิวะในอวตารของ "เทพแห่งคณโฑน้ำ" งานแกะสลักไม้ที่ตัวอาคารบานประตูและคันทวย ฝีมือเป็นเลิศจริงๆ
ภายในมีชาวฮินดู มาทำพิธีกราบไหว้ของพรกันเนืองแน่น
กลางลานตามมุมต่างๆ จะมีกลุ่มคนทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง เป็นกลุ่มๆ
จากวัดกุมเบชวาร์ เราเดินย้อนกลับมาที่จตุรัสดูบาร์สแควร์
ก่อนไปทานอาหารเราแวะวัดDegutale วัดนี้มีหอสูงหลังคาสี่ชั้น เป็นวัดที่สร้างถวายเทพประจำพระองค์ของกษัตริย์มัลละ และใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมตามลัทธีตันตระ
ปัจจุบันก็ยังมีการทำพิธีฆ่าแพะบูชายัณเทพเจ้าอยู่ งานแกะสลักต่างๆตามคันทวยเป็นเทพเจ้าต่างๆงดงามจริงๆ งานไม้แกะสลักได้รับการบูรณะซ่อมแซมตลอดเวลาและมีความสวยงามไม่น้อยหน้าของโบราณ จึงยังคงความสวยงามเหมือนต้นฉบับให้ชมได้ตลอดไป
พักทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารละแวกนั้น เพื่อถึอโอกาสขึ้นไปด้านบนเพื่อเก็บภาพจตุรัสดูบาร์ส แควร์มุมสูงด้วย
หลังอาหารเที่ยง เราจะเดินไปทางใต้ของดูบาร์สแควร์ เพื่อไปวัดมหาพุทธะ และวัด Rato Machhendranath
เส้นทางการเดินช่วงนี้เหมือนเดินอยู่ในตลาดนัดสำเพ็ง ผู้คนพลุกพล่านเบียดเสียด มีรถวิ่งเข้าวิ่งออกแทรกผ่านผู้คน ดูวุ่นวายดีจริงๆ แต่ทันทีที่เดินแยกเข้าซอยที่จะตรงมายังวัดมหาพุทธะความวุ่นวายดูจะสลายหายไปให้เราได้หายใจโล่งจมูกตามเดิม
หลังจากแยกเข้าซอยมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จะถึงวัดมหาพุทธะ วัดพุทธเล็กๆที่แทรกตัวอยู่ระหว่างซอกตึก ซึ่งตามประวัติสร้างอุทิศถวายแด่พระนางสิริมหามายา พระราชมารดาของพระพุทธเจ้า ตัวเจดีย์วัดออกแบบเป็นทรงศิขรสูง
ตอนที่ไปถึง มีคนกลุ่มหนึ่งกับพระลามะทิเบต กำลังทำพิธีและสวดมนต์กันอยู่ ดูจากท่าทางและการพูดคุย น่าจะเป็นคนจึน
วัดนี้ค่อนข้างคับแคบมากๆ จะเดินจะสวนต้องแทรกตัวหลบกัน ฉะนั้นหลังคนกลุ่มนี้ออกไปแล้ว ก็เป็นทีของเราเข้าไปไหว้พระบ้าง ที่คราวนี้ได้ทั้งถ่ายภาพ ได้ทั้งไหว้พระ แบกบุญกลับประเทศกันถ้วนทั่ว
ออกจากวัดมหาพุทธะ ก็แวะไปอีกวัดที่อยู่ใกล้ๆกัน เนื่องจากบัตรค่าเข้ารวมวัดนี้ด้วย วัดนี้น่าจะชื่อ วัดอูคูบาฮาล หลังคาประดับด้วยทองคำและรูปปั้นสัตว์ ตามประวัติสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่13 จึงนับเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดวัดหนึ่ง ในบริเวณวัดมีรูปหล่อสัมฤทธ์ที่สวยงามมากมาย
ดูกันแป๊บเดียวเนื่องจากเย็นมากแล้ว นัดรถที่จะมารับใกล้เวลาแล้วยังต้องเผื่อเวลาเดินกลั บด้วย
ยังเหลืออีก 1 แห่ง คือ วัดRato Machhendranath ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานขององค์มัจเชนทรานาถ ทุกปีจะมีพิธีอัญเชิญเพื่อร่วมขบวนพิธีขอฝน และถือเป็นเทศกาลที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในเนปาล
แต่เย็นมากแล้ว ทุกคนก็อิดโรยจากการเดินตั้งแต่เช้า และต้องกลับมาให้ทันรถที่นัดไว้ เนื่องจากบริเวณจตุรัสจะมีที่จอดรถแค่รับส่งเท่านั้น จอดแช่นานไม่ได้
กลับมานั่งรอรถที่จตุรัส และถือโอกาสนั่งพักขาและดูคนที่ผ่านไปผ่านมา น้ายักษ์นั่งได้พักเดียว ก็เริ่มเดินเกร่ไปเกร่มา เพื่อไม่ให้เสียดุลย์ก็ขอลุกเดินเกร่ๆแถวๆนั้นบ้าง
เจอหนุ่มสาวคู่นี้นั่งคุยกันอยู่ รูปเขียนด้านหลังดูล้อเลียนน่าสนุก เหมือนแอบฟังหนุ่มสาวคุยกัน 555
และหันมาถ่ายแสงยามเย็นที่สาดผ่านเมฆเป็นเส้นสวย เป็นภาพสุดท้ายก่อนอำลา ปาตัน
แต่ทริปสำหรับวันนี้ยังไม่จบ เราอ่านเจอในเน็ตและเห็นรูปที่ถ่ายวิวภูเขาหิมาลัยสวยๆจากเมืองลลิตปูร์ที่ออกจากปาตันไปทางใต้ไม่ไกลนัก แต่เนื่องจากคนขับก็ไม่รู้ว่าจะพาไปตรงไหนเพราะไม่เคยมา จึงต้องจอดถามทางไปตลอดกว่าจะเจอจุดที่พอใช้ได้ก็เย็นและท้องฟ้าก็ไปหมอกขุ่นไม่สวย
ถ่ายกันนิดหน่อย ก็กลับมายังโรงแรม เก็บของและออกไปหาอาหารเย็นทานกัน มื้อนี้เราจะเปลี่ยนมาทานอาหารญี่ปุ่นฝีมือพ่อครัวชา วเนปาลกัน ว่าจะอร่อยสู้บ้านเราได้ไม๊
ผลการชิม รสชาดพอทานได้ แต่ความสดใหม่สู้บ้านเราไม่ได้ ซูชิ ไม่กล้าสั่งเพราะไม่แน่ใจในความสด ทานเสร็จก็เต้นกังนัมสไตล์โชว์ซักหน่อย เพราะทั้งร้านมีแต่พวกเราพวกเดียว สนุกกันไป เหอ เหอ ทำไปด้าย อิอิ
พบกันตอนหน้าค่ะ และขอบคุณทุกท่านที่อดทนติดตามชมมาจนถึงตอนที่7 นี้ด้วยค่ะ
ติตาม กิรติปูร์ Kirtipur เมืองโบราณที่น่าเยี่ยมชมอีกแห่งหนึ่ง
โฆษณา