15 ก.ค. 2021 เวลา 11:36 • ท่องเที่ยว
เจาะอารยธรรมโบราณที่เนปาล ตอน8 (กิรติปูร์ Kirtipur)
12 ต.ค. 2555
ติดตามตอนก่อนหน้านี้ได้ที่นี่
จุดท่องเที่ยวสำหรับบันทึกการเดินทางตอนที่ 7 นี้ ขอแนะนำ หมู่บ้านKirtipur อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของเมืองกาฐมาณฑุ ราว 5 กิโลเมตร
ในอดีต หมู่บ้านนี้เคยเป็นหัวเมืองชายแดนของปาตัน และเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของราชวงศ์มัลละ เรายังสามารถพบการดำรงชีวิตแบบดั่งเดิมในเขตรอบนอกของหมู่บ้านได้ไม่ยากนัก
จุดหมายแรกที่ คนขับรถพาไปก่อนเข้ากิรติปูร์ คือ ลงไปทางใต้ไปยัง Pharping ที่มีวัดลี้ลับพัชรโยกินีแบบตันตระ และถ้ำอสตุรอันศักสิทธิ์ จุดจารึกแสวงบุญสำคัญอีกจุดหนึ่ง
ก่อนถึงฟาร์ปิง รถวิ่งขึ้นเขา ผ่านนาขั้นบันไดและทุ่งมัสตาร์ด ที่กำลังออกดอกสีเหลืองสวยงาม เราแวะจอดรถข้างทางขอเก็บภาพทุ่งมัสตาร์ด ที่มีบ้านของชาวเนปาลอยู่ริมทาง แวะแจกท๊อฟฟี่ให้กับเด็กๆที่ยืนรอรถเมลล์ไปโรงเรียนและให้คุณแม่ที่ยืนส่งลูกหน้าบ้านด้วย แจกเสร็จเราก็เดินเลยไปถ่ายภาพทุ่งมัสตาร์ดของเราต่อ
ถ่ายจนเบื่อ เดินกลับมาขึ้นรถ ผ่านหน้าบ้านที่แจกท๊อฟฟี่ คุณแม่เด็กได้ส่งสร้อยลูกปัดสวมข้อมือให้เป็นการตอบแทน พอเห็นว่าเส้นใหญ่ไปก็ซ่อมปรับแต่งจนพอดี ช่างน่าซาบซึ้งยิ่งนัก น้ำใจที่ให้กันและกันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ รับได้ด้วยใจ จากใจถึงใจจริงๆ
เราออกเดินทางต่อจนถึง วัดพัชรโยกินี เดินขึ้นบันไดสูงไปยัง ถ้ำอสตุร (Astura) ซึ่งเชื่อกันว่า พระอรหันต์กูรูริไปเซ หรือพระปัทมสัมภาวะของทิเบต ได้ประทับรอยเศียรและหัตถ์ไว้ที่นี่ แต่ชาวฮินดูกลับเถียงว่า รอยเหล่านี้เป็นของ โกรักนาถโยคี ฉะนั้นที่นี่จึงเป็นจุดจารีกแสวงบุญที่สำคัญของทั้งพุทธและฮินดูจุดหนึ่ง
ด้านล่างของถ้ำ เป็นที่ตั้งของวัดพัชรโยกินี (Barajogini) ที่สวยงามแต่ไม่เปิดให้เข้าชม จึงเก็บภาพเฉพาะด้านนอกไว้
ระหว่างนั่งรอพวกเราที่ยังเก็บภาพไม่เสร็จ เก็บบรรยากาศรอบๆ และเราก็เสร็จขอทานรายนี้ ตาลุงทำเป็นใจดีให้ถ่ายภาพให้ พอถ่ายเสร็จขอเงิน 1 ดอลล่าร์ 55
จากนั้นเราย้อนกลับมาทางเดิม เพื่อขึ้นเขากิรติปูร์ แวะทานอาหารกลางวันที่โรงแรมเปิดใหม่ ระหว่างรออาหาร ก็ตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์เมืองกาฐมาณฑุมุมสูง ที่สามารถเห็นเทือกเขาหิมาลัยทางทิศเหนือเป็นฉากหลัง แม้จะหมอกขาวเห็นได้เพียงรางๆก็ตามที (ขอบอกว่าทริปนี้ ยอมเข้าร้านอาหารแพงๆ เพื่อแลกกับจุดถ่ายรูปวิวสวยๆ)
นอกจากนี้ เรายังสามารถมองเห็น สเวยัมภูนาท ระยะไกลได้ด้วย
อาหารมื้อเที่ยง รอนานก็ไม่ว่าอะไร แบะสมาชิกก็ยังเหนียวแน่นสั่งสเต๊กเช่นเดิม
ทานเสร็จแล้ว สมาชิกยังติดใจวิว จึงตกลงกันว่าจะกลับมาทานข้าวเย็นและเก็บภาพวิวย้ามฟ้าบลูอีกครั้ง ตอนนี้ยังมีเวลาเหลือ จึงตกลงใจไปวัดบนยอดเขาชื่อ ชิลานชุวิหาร (Chilanchu Vihar Stupa) เป็นวัดเก่าแก่ ที่มีงานแกะสลักสวยงามมากวัดหนึ่ง
ที่วัดนี้ เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์เมืองกาฐมาณฑุ ที่สวยมากจุดหนึ่ง
จากที่นี่ เราไปต่อที่วัดทิเบต ไม่ไกลจากวัดนี้มากนัก เราไปถึงเย็นแล้ว โบสถ์ปิด พระทิเบตกลับกุฏิหมดแล้ว ชาวบ้านก็กำลังกลับจากทำไร่ทำนากลับบ้านเช่นกัน
พระอาทิตย์กำลังจะตก ธรรมชาติช่างงามนัก แสงอาทิตย์ส่องผ่านเมฆเป็นเส้นแฉกสวยงาม เราไปขอใช้ดาดฟ้าของอาคารที่กำลังก่อสร้างใกล้ๆกันเพื่อเก็บภาพนั้นไว้
เรากลับมาที่ร้านอาหารเดิมอีกครั้ง แสงน้อยลงไปทุกที แต่ท้องฟ้าก็ยังงดงามนัก เนื่องจากเราลืมนำขาตั้งกล้อง จากโรงแรมมาด้วย ฉะนั้นภายใต้แสงอาทิตย์ที่โพล้เพล้อย่างนี้ ถ่ายพอเป็นที่ระลึกเท่านั้นพอ เวลาเหลือก็นั่งเล่นเน็ตปล่อยให้คนอื่นๆเก็บแสงสุดท้ายสวยๆแทน แต่พักเดียวเหมือนฟ้าเห็นใจ ระบบไฟฟ้าที่ เสวยัมภูนาท ขัดข้อง ต้องใช้เวลาแก้ไขนานจนฟ้ามืดดำแล้ว ไฟที่เจดีย์สเวยัมก็ยังไม่เปิด เลยอดถ่ายภาพงามๆกันถ้วนหน้า
หลังทานข้าวเย็น ก็กลับมายังโรงแรมในทาเมล ช้อปปิ้งกันคนเล็กๆน้อยๆ เพราะพรุ่งนี้สมาชิกบางคนในทีมจะแยกตัวกลับกรุงเทพฯ ไปส่งท้ายทานอาหารญี่ปุ่นที่ยังมีกลิ่นอายของเนปาลผสมเป็นการเลี้ยงส่ง
ส่วนพวกที่ยังเหลือ ยังมีโปรแกรมที่่ถ่ายภาพอีก 3 วัน แน่นอนเรากลับไปเก็บภาพที่ โพธนาถ และ ที่สเวยัมภูนาถ ล้างตาที่ถ่ายไม่จุใจ ให้เต็มอิ่ม และยังมีที่ใหม่ที่ยังไม่เคยไป ปรึกษาหารือกันแล้วจะลองไปที่ บุงกะมาตี และ โกธกานา ทางใต้ของปาตัน ดูว่าจะเป็นอย่างไร
ติดตามตอนสุดท้ายได้ในอันดับต่อไป
โฆษณา