28 ก.ค. 2021 เวลา 04:29 • ประวัติศาสตร์

ผัวเมียละเหี่ยใจ

กษัตริย์จอร์จที่ 4 กับแคโรไลน์แห่งบรันสวิก
การหาคู่ของกษัตริย์อังกฤษในอดีตเป็นเรื่องการเมืองมากกว่าการมุ้ง ทั้งนี้เพื่อการสืบสันติวงศ์และเพื่อความมั่นคงของราชบัลลังก์ แต่ในบางกรณีการจับคู่ให้กลายเรื่องเป็นหายนะของชีวิตคู่และกลายเป็นเรื่องชวนหัวสำหรับประชาชนไป ดังเช่นคู่ของกษัตริย์จอร์จที่ 4 กับเจ้าหญิงแคโรไลน์แห่งบรันสวิกที่จะมาเล่าสู่กันอ่านในวันนี้เพื่อคลายเครียด
2
การ์ตูนล้อเลียนกษัตริย์จอร์จที่ 4 ที่ต้องการยกเลิกชีวิตสมรสกับแคโรไลน์แห่งบรันสวิก จอร์จที่ 4 พยายามหาหลักฐานเพื่อหย่ากับแคโรไลน์ให้จงได้ ถุงสีเขียวล้อเลียนหลักฐานที่รวบรวมไว้เพื่อหย่า และล้อเลียนความอ้วนของพระองค์ด้วย ส่วนเข็มขัดอัศวินการ์เตอร์ที่ห้อยย้อยลงมาเสียดสีอวัยวะส่วนนั้นที่ปวกเปียกของพระองค์ (Wikipedia)
• จุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่เกิดจากหนี้ เหล้า และผู้หญิง
เจ้าชายจอร์จ ออกัสตัส เฟรเดอริก (George Augustus Frederick) ทรงเป็นพระโอรสองค์โตของกษัตริย์จอร์จที่ 3 ของอังกฤษ
เจ้าชายจอร์จสมัยเริ่มทรงเป็นวัยรุ่นจนถึงวัยหนุ่มนั้น ทรงมีรสนิยมใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า ทรงออกนอกลู่นอกทางขี้เมาหยำเป ทรงใช้ชีวิตเสเพลไร้ศีลธรรม ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไปกับการดื่มกิน เล่นการพนัน ตกแต่งพระราชฐานส่วนตัวของพระองค์ และมีเมียเก็บนับไม่ถ้วน จึงทำให้ความสัมพันธ์กับพระบิดามารดานั้นย่ำแย่ กษัตริย์จอร์จที่ 3 ทรงต้องการให้เจ้าชายรัชทายาทใช้จ่ายแบบประหยัดและทำตัวให้สมกับการเป็นว่าที่กษัตริย์ แต่เจ้าชายจอร์จก็ไม่เคยทำให้พระบิดาสมหวัง
เจ้าชายจอร์จเริ่มต้นชีวิตเสือผู้หญิงตั้งแต่ทรงเป็นวัยรุ่น ตอนอายุ 17 ปีก็ไปมีความสัมพันธ์กับดาราสาว พอมีอายุได้ 21 ปี ทรงไปตกหลุมรักสาวที่ชื่อว่ามาเรีย ฟิตซ์เฮอร์เบิร์ต (Maria Fitzherbert) สาวสามัญชนผู้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นว่าที่ราชินีแห่งอังกฤษได้ เหตุเพราะเธอเป็นคาทอลิก ซึ่งถ้าเจ้าชายจอร์จแต่งงานกับเธอไปพระองค์จะหมดสิทธิ์เป็นรัชทายาททันที
1
เท่านั้นยังไม่พอ มาเรียยังเป็นม่ายผ่านการแต่งงานมาแล้ว 2 รอบ และอายุมากกว่าเจ้าชายจอร์จ 6 ปี ซึ่งในยุคนั้นสังคมไม่เปิดกว้างดังเช่นสมัยนี้ คุณสมบัติเช่นนี้คือไม่ผ่าน การที่เจ้าชายรัชทายาทจะแต่งงานได้ก็ต้องขออนุญาตจากกษัตริย์จอร์จที่ 3 ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าองค์กษัตริย์ย่อมไม่อนุญาตอย่างแน่นอน
1
เจ้าชายจอร์จทรงมุ่งมั่นที่จะแต่งงานกับมาเรียให้ได้ เลยไม่คิดจะขออนุญาตพระบิดา แต่ทรงแอบแต่งงานกับมาเรียแบบลับ ๆ ที่บ้านของเธอในเขตเมย์แฟร์เมื่อปี 1785 โดยมาเรียสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยความลับนี้ แต่การแต่งงานนี้ก็เป็นที่รับรู้กันทั่ว
2
สิ่งที่ตามมาจากการใช้ชีวิตอู่ฟู่ของเจ้าชายจอร์จคือทรงเป็นหนี้ กษัตริย์จอร์จที่ 3 ก็ปฏิเสธไม่ใช้หนี้ให้เพื่อเป็นการสั่งสอนพระโอรส เจ้าชายจอร์จเลยทรงระเห็จออกจากพระราชฐานส่วนตัวเพราะไม่มีปัญญาจ่ายค่าตกแต่งโดยไปอาศัยอยู่ที่บ้านของมาเรียแทน
แม้จะมีพันธมิตรทางการเมืองของพระองค์ให้ความช่วยเหลือโดยอนุมัติเงินใช้จ่ายให้พระองค์มากขึ้นผ่านรัฐสภาให้ แต่หนี้ของเจ้าชายจอร์จก็พอกพูนมหาศาลจนเกินจะแบกได้ กษัตริย์จอร์จที่ 3 ทรงปฏิเสธที่จะช่วยยกเว้นหากเจ้าชายจอร์จยอมแต่งงานกับเจ้าหญิงแคโรไลน์แห่งบรันสวิก (Princess Caroline of Brunswick)
3
ในตอนนั้นเจ้าชายจอร์จทรงมีอายุได้ 32 ชันษาแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววที่จะหาคู่อันเหมาะสมให้กับพระองค์เองได้ ดังนั้นจึงมีการยื่นหมูยื่นแมวเกิดขึ้น ถ้าเจ้าชายจอร์จยอมแต่งงาน กษัตริย์จอร์จที่ 3 ก็จะทรงใช้หนี้จำนวน 600,000 ปอนด์ให้ในวันวิวาห์นั้นทันที สุดท้ายแล้วเจ้าชายจอร์จก็ยอมจำนนต่อข้อเสนอนี้ และสัญญากับพระบิดาว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับมาเรีย ฟิตซ์เฮอร์เบิร์ต และจะทำตัวให้เหมาะสมเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมการแต่งงาน
1
เจ้าหญิงแคโรไลน์แห่งบรันสวิกมีอายุ 25 ชันษา ทรงเป็นคู่ที่เหมาะสมกับว่าที่กษัตริย์แห่งอังกฤษ แน่นอนว่าต้องเป็นโปรเตสแตนท์ แล้วเจ้าหญิงก็ไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นไกล ทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าชายจอร์จนั่นเอง เพราะมารดาของเจ้าหญิงเป็นพี่สาวของกษัตริย์จอร์จที่ 3 ส่วนบิดาของเจ้าหญิงก็เป็นดยุกแห่งบรันสวิกซึ่งสามารถเป็นพันธมิตรที่มีประโยชน์ต่ออังกฤษในการสู้รบปรบมือกับอริอย่างฝรั่งเศสได้
1
ทั้งคู่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน และในตลาดหาคู่ระดับราชวงศ์ก็จะมีภาพวาดมาให้พอได้เห็นหน้าค่าตากันเสียก่อน ซึ่งก็มักจะไม่ตรงปกเหมือนรูปโปรไฟล์เฟซบุ๊กในยุคเรานี่แหละ ทั้งคู่จึงตกลงที่จะแต่งทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาก่อน เมื่อการหาคู่นี้เป็นที่ยินยอมจากทั้งสองฝ่าย เจ้าหญิงแคโรไลน์แห่งบรันสวิกจึงออกเดินทางมาจากบ้านเกิดเมืองนอนในดินแดนเยอรมันเพื่อมาเป็นเจ้าสาวของอังกฤษ
3
พอมาถึงตรงนี้ ผู้อ่านคงจะมองเห็นแล้วว่าชีวิตคู่ของทั้งสองหายนะตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มต้น
Brighton Pavilion ที่ยังคงอยู่จนปัจจุบัน หนึ่งในสถานที่ที่เจ้าชายจอร์จทรงละลายเงินไปกับการสร้างที่อาศัยอันหรูหรา (Image: Historic UK)
ภาพวาดของพอเจ้าชายจอร์จกับเจ้าหญิงแคโรไลน์แห่งบรันสวิก (Images: Royal Collection Trust)
• พิธีวิวาห์น้ำตานอง
เจมส์ แฮร์ริส เอิร์ลแห่งมาล์มสบิวรี (James Harris the Earl of Malmesbury) ได้รับมอบหมายให้เป็นคนไปรับเจ้าหญิงมาจากบรันสวิก เขาเขียนเล่าในไดอารีว่าเจ้าหญิงนั้นสุขอนามัยแย่มาก จนเขาต้องแนะนำให้เจ้าหญิงรู้จักการอาบน้ำแปรงฟันโดยใช้สบู่ ยาสีฟัน และแปรงสีฟัน เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าหญิงยังไม่ค่อยซักหรือเปลี่ยนชุดที่ใส่อีกด้วย ชุดที่พระองค์สวมนั้นเก่าโกโรโกโสแถมยังส่งกลิ่นอีกด้วย และเจ้าหญิงยังไร้ซึ่งปฏิภาณไหวพริบและกิริยามารยาทที่ดี
1
ในวันที่ 5 เมษายน ปี 1795 พอเอิร์ลแห่งมาล์มสบิวรีนำว่าที่เจ้าสาวมาเจอหน้าว่าที่เจ้าบ่าวที่พระราชวังเซนต์เจมส์ (ท่านเอิร์ลแจ้งเจ้าสาวให้อาบน้ำให้ทั่วและอาบให้สะอาดก่อนมาเจอแล้ว โดยมีนางสนองพระโอษฐ์ซึ่งเป็นเมียน้อยของเจ้าชายจอร์จผู้ประสงค์ร้ายแนะนำการแต่งหน้าแต่งตัวให้จึงก็ออกมาแนวคล้ายละครลิงไป) พอเจอหน้า เจ้าหญิงแคโรไลน์ถอนสายบัวให้ แล้วเจ้าชายจอร์จประคองเจ้าหญิงขึ้นมาแล้วทักทายด้วยการสวมกอดและพูดด้วยหนึ่งคำ จากนั้นก็หันหลังเดินหนีแล้วเรียกหาเหล้าทันที
3
…“แฮร์ริส ชั้นรู้สึกไม่ค่อยสบาย นายไปเอาบรั่นดีมาให้ชั้นสักแก้วหน่อยซิ”
…“ทรงรับน้ำสักแก้วไม่ดีกว่าหรือพะยะค่ะ”
…“ไม่” ว่าแล้วเจ้าชายก็สบถพ่นคำหยาบ ๆ คาย ๆ จนเอิร์ลแห่งมาล์มสบิวรีไม่สามารถบันทึกลงไปในไดอารีได้
ส่วนเจ้าหญิงแคโรไลน์แห่งบรันสวิกก็สมน้ำสมเนื้อกับเจ้าชายจอร์จมาก เจ้าหญิงพอเห็นเจ้าชายก็พูดกับเอิร์ลแห่งมาล์มสบิวรีว่า “พระเจ้า เจ้าชายเป็นแบบนี้(เมา)ตลอดเลยเหรอ แถมยังอ้วนแล้วไม่เห็นหล่อเหมือนในรูปภาพเลย”
เรื่องยังเลวร้ายยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเจ้าชายจอร์จแต่งตั้งให้เมียน้อยของพระองค์คนหนึ่งคือเลดี้เจอร์ซีย์ (Lady Jersey) เป็นนางต้นห้องให้กับเจ้าหญิงแคโรไลน์ ซึ่งพอรู้ว่าสตรีผู้นี้เป็นใครในตอนมื้ออาหารค่ำอย่างเป็นทางการครั้งแรก เจ้าหญิงแคโรไลน์จึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการปล่อยคำเผ็ดร้อนใส่คู่แข่งนางนี้ จึงทำให้เจ้าชายยิ่งไม่ชอบกับความหยาบคายนี้
แค่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกก็เปิดศึกกันแล้ว เจ้าชายจอร์จกับเจ้าหญิงแคโรไลน์แห่งบรันสวิกไม่ชอบขี้หน้ากันตั้งแต่แรกเจอ และไม่อายที่จะแสดงออกต่อหน้าสาธารณชนว่าต่างรังเกียจซึ่งกันและกัน ทั้งคู่ไม่มีอะไรเข้ากันสักอย่าง เจ้าชายจอร์จรังเกียจว่าเจ้าหญิงแคโรไลน์นั้นเตี้ย อ้วน และตัวเหม็นสกปรก (เพื่อความยุติธรรม เจ้าชายจอร์จก็พอกันกับเจ้าหญิงแคโรไลน์) ความไม่พอใจซึ่งกันและกันนี้อยู่กับทั้งคู่จนวันตายจากกันไป
แต่ถึงกระนั้น การอภิเษกก็ตามมาอยู่ดีเมื่อตอนเย็นของวันที่ 8 เมษายน ปี 1795 ที่โบสถ์ในพระราชวังเซนต์เจมส์ เจ้าสาวยิ้มจนปากฉีกไปถึงใบหูทั้งสองข้าง และร้องไห้ออกมาด้วยความปลื้มปิติกับตำแหน่งว่าที่ราชินีแห่งอังกฤษที่รออยู่ ส่วนเจ้าบ่าวเจ้าชายจอร์จกินเหล้าเมาหัวราน้ำมา 3 วันแล้ว พอมาถึงวันพิธีพระองค์ก็เมาจนแทบทรงกายไม่อยู่จนต้องมีขุนนางตำแหน่งดยุกสองคนคอยพยุงเดินเข้ามาในโบสถ์
2
ในพิธีแต่งงานนี้เจ้าบ่าวก็มีน้ำตาเช่นเจ้าสาว แต่ไม่ใช่น้ำตาของความสุขตามแบบฉบับของวันมงคลเช่นนี้ แต่เป็นน้ำตาของความไม่สมใจของเจ้าบ่าวที่ร้องไห้จนน้ำตานองหน้าตลอดพิธี บรรยากาศในพิธีเต็มไปด้วยความตึงเครียด ผู้ร่วมพิธีแต่งงานและงานเลี้ยงฉลองต่างพากันกระอักกระอ่วนไปหมด คงไม่ต้องถามว่าเจ้าสาวนั้นจะรู้สึกขยะแขยง อับอาย และรู้สึกเหมือนโดนดูถูกมากขนาดไหน
1
คืนเข้าห้องหอไม่ใช่ความลับ ทั้งคู่ไม่อายที่จะเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นฟัง เจ้าชายจอร์จย้อมใจตัวเองด้วยเหล้าและคิดถึงเงิน 600,000 ปอนด์ที่จะได้รับเพื่อทำภารกิจในคืนนั้น (ถ้าคิดเป็นค่าเงินปัจจุบันก็อยู่ที่ราว 46 หรือไม่ก็ 74 ล้านปอนด์) ส่วนเจ้าหญิงแคโรไลน์เล่าว่าในคืนนั้นเจ้าชายจอร์จปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จและเมาจนล้มตัวลงนอนที่พื้น
ทั้งคู่ปฏิบัติหน้าที่ในการสร้างรัชทายาทในคืนต่อมา (เจ้าชายจอร์จบอกว่าทรงพยายามปฏิบัติภารกิจอยู่ 3 ครั้ง และเป็นโชคดีที่ทำให้ท้องได้) จากนั้นก็ไม่ยอมข้องเกี่ยวอะไรกันอีก พูดง่าย ๆ คืออยู่ด้วยกันแค่ 2-3 อาทิตย์แล้วก็ไม่ยุ่งกันเลย จากที่แค่ไม่ชอบกันก็กลายเป็นเกลียดชังกันแทน และในอีก 9 เดือนต่อมา รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวคือเจ้าหญิงชาร์ล็อตต์ (Princess Charlotte) ก็ประสูติเมื่อวันที่ 17 มกราคม ปี 1796
1
ทั้งคู่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันประมาณปีเดียว คือที่ Carlton House แต่ชีวิตในตอนนั้นก็แทบจะไม่วิสาสะกัน พอมีทายาทสืบบัลลังก์แล้วก็แยกกันอยู่อย่างเป็นทางการและตลอดไป เจ้าชายจอร์จบอกว่าจะไม่ทรงเข้าหาเจ้าหญิงแคโรไลน์(ผู้ที่ไม่ทำความสะอาดหรือเช็ดส่วนใดของร่างกายตัวเอง)อีกเลยในชีวิตนี้
1
เจ้าชายจอร์จหลีกเลี่ยงที่จะเจอเจ้าหญิงแคโรไลน์ ส่วนเจ้าหญิงเองก็ถูกจำกัดไม่ได้ไปไหนหรือเจอใครมากนั้น ซึ่งสร้างความทุกข์ใจแก่เจ้าหญิงแคโรไลน์มาก ในปีเดียวกับที่ให้กำเนิดรัชทายาททั้งคู่ก็ตกลงแยกกันอยู่และคงความเป็นสามีภรรยาไว้เพียงในนามเท่านั้น โดยเจ้าชายจอร์จเป็นฝ่ายเขียนจดหมายบอกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเจ้าหญิงอีกและถ้าอยากจะทำอะไรก็ทำ เจ้าหญิงก็ทรงเขียนจดหมายตอบโต้และถือว่าพระองค์สามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการมานับแต่บัดนั้น
3
การ์ตูนเสียดสีกษัตริย์จอร์จที่ 4 ที่เอาแต่ดื่มสุราและเคล้านารี (Image: Pinterest)
ภาพวาดพิธีอภิเษกระหว่างเจ้าชายจอร์จกับเจ้าหญิงแคโรไลน์แห่งบรันสวิก (Image: Historic UK)
• ศึกระหว่างผัวเมีย
เจ้าหญิงแคโรไลน์แยกตำหนักออกไปอยู่ที่อื่น เจ้าหญิงชาร์ล็อตต์ต้องอยู่กับพระบิดา เจ้าหญิงแคโรไลน์ไม่เคยอยู่กับเจ้าหญิงชาร์ล็อตต์ตามลำพัง เวลาเจอกันต้องมีพระพี่เลี้ยงอยู่ด้วยเสมอ พระองค์จึงรับเด็กมาเลี้ยงซึ่งอาจจะเพื่อทดแทนพระธิดาที่ไม่ได้อยู่กับพระองค์
3
และพอต่างคนต่างมีชีวิตตัวเองเจ้าหญิงแคโรไลน์ก็เริ่มพบปะผู้คนมากมาย ทรงเต้นรำโชว์เนื้อหนังมังสา จนมีข่าวลือว่าเจ้าหญิงเองก็มีคู่รักจำนวนไม่น้อยที่เป็นแขกมาพบปะเยี่ยมเยือน เจ้าหญิงชอบเฟลิร์ตกับแขกที่มาพบปะ พระองค์เคยคุยโวเองว่าพระองค์นั้นมีคู่นอนได้มากเท่าที่พระองค์ต้องการ (ก่อนหน้าที่จะมาเป็นเจ้าสาวของอังกฤษ มีข่าวลือว่าเจ้าหญิงก็มีชู้รักอยู่ไม่ต่างอะไรกับเจ้าชายจอร์จ)
พอแยกกันอยู่แล้วใช่ว่าแต่ละคนจะต่างคนต่างอยู่ของใครของมันไป ตรงกันข้าม ทั้งคู่เปิดศึกกันไม่ได้ว่างเว้นทั้งในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะทุกครั้งที่มีโอกาส ซึ่งเจ้าหญิงแคโรไลน์ก็มีพฤติกรรมชอบเรียกร้องความสนใจแบบผิด ๆ เช่น แสร้งว่าคลอดลูกจนคนเข้าใจผิดว่าเด็กชายที่พระองค์รับมาเลี้ยงนั้นเป็นลูกจริง ๆ หรือคุยโวว่าทรงไม่ขาดคู่นอน จนทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับของราชวงศ์อังกฤษ
1
พอข่าวลือเรื่องการประพฤติตัวอันเลินเล่อของเจ้าหญิงแคโรไลน์เริ่มหนาหูขึ้นในปลายปี 1804 ก็เป็นโอกาสอันดีของเจ้าชายจอร์จที่พยายามแอบรวบรวมหลักฐานเพื่อยื่นฟ้องหย่าจากเจ้าหญิง มีการไต่สวนเกิดขึ้นในปี 1906 ในข้อหาที่เจ้าหญิงมีชู้ และอ้างว่าเด็กชายที่ชื่อวิลเลียม ออสติน (William Austin) ที่เจ้าหญิงรับมาเลี้ยงตั้งแต่ตอนเป็นเด็กทารกเมื่อปี 1802 แท้จริงแล้วเป็นลูกที่เกิดจากการคบชู้ของเจ้าหญิง
1
แน่นอนว่าเรื่องนี้อื้อฉาวไปทั่วราชอาณาจักร แต่เจ้าชายจอร์จก็หย่าจากเจ้าหญิงแคโรไลน์ไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานใดมาเอาผิดว่าเจ้าหญิงคบชู้จริง ส่วนเด็กชายคนนั้นก็มีหลักฐานว่าเขาเป็นลูกของคนงานท่าเรือที่ตกงานผู้หนึ่ง แต่การที่เจ้าหญิงประพฤติตัวเลินเล่อจึงทำให้ถูกห้ามไม่ให้ติดต่อใด ๆ กับเจ้าหญิงชาร์ล็อตต์พระธิดา
1
พอพ้นจากการกล่าวหานี้พระองค์ไปเยี่ยมเจ้าหญิงได้สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น เจ้าหญิงแคโรไลน์มองว่าพระองค์นั้นต้องมาชดใช้บาปที่เกิดจากการแต่งงานนี้ พระองค์เป็นเจ้าหญิงแต่ไม่ได้เป็นเจ้าหญิง เป็นหญิงแต่งงานแล้วแต่ไร้สามี ไม่มีใครต้องทนมีชะตากรรมเฉกเช่นพระองค์
หลังจากที่ต้องทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวถูกกันออกมาจากชีวิตวงในของราชสำนักอังกฤษเกือบ 20 ปี เจ้าหญิงแคโรไลน์ในวัย 46 ปีก็ทรงตัดสินใจเดินทางออกจากอังกฤษเมื่อปี 1814 เพื่อเดินทางท่องส่วนภาคพื้นทวีปยุโรปโดยมีผู้ติดตามไปเป็นจำนวนหนึ่ง และมีสายลับของเจ้าชายจอร์จคอยติดตามเก็บข้อมูลอย่างลับ ๆ ที่ยุโรปพระองค์ก็มีความสัมพันธ์กับชายหนุ่มไร้ชั้นทางสังคมผู้อ่อนวัยกว่าพระองค์และมีเมียแล้วชื่อว่าบาร์โทโลมิว เปอร์กามี (Bartolomeo Pergami)
การเดินทางออกจากอังกฤษทำให้พระองค์ไม่ได้เข้าร่วมพิธีแต่งงานของเจ้าหญิงชาร์ล็อตต์ในปี 1816 และไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างพระธิดาในวาระสุดท้ายเมื่อเจ้าหญิงชาร์ล็อตต์สิ้นพระชนม์ในระหว่างคลอดบุตรเมื่อปี 1817 เพราะเจ้าชายจอร์จไม่ได้แจ้งพระองค์ เจ้าหญิงทราบจากผู้อื่น เมื่อได้รับข่าวนี้เจ้าหญิงแคโรไลน์ถึงกับเป็นลม และการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงชาร์ล็อตต์ทำให้ทั้งสองต่างเปิดศึกโจมตีซึ่งกันและกันอีก
1
พอสิ้นไร้รัชทายาท เจ้าชายจอร์จก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะคงชีวิตสมรสไว้ พระองค์จึงทรงเปิดศึกเพื่อหาเรื่องหย่าอีกครั้งในปี 1818 โดยส่งคณะกรรมาธิการไปสอบสวนความประพฤติของเจ้าหญิงแคโรไลน์ถึงยุโรป แม้จะถูกเตือนว่าพระองค์เองก็มีเมียน้อยนับไม่ถ้วนซึ่งจะทำให้เจ้าหญิงแคโรไลน์ย้อนกลับเอา แต่เจ้าชายจอร์จก็ทรงไม่นำพาคำเตือนนี้ ในปี 1819 คณะรัฐมนตรีตัดสินใจตัดสินว่าเจ้าหญิงแคโรไลน์ไม่ได้คบชู้
การ์ตูนล้อเลียนเจ้าหญิงแคโรไลน์กับเปอร์กามีชู้รักของพระองค์ที่เจนัว (Image: The Regency Looking Glass)
การ์ตูนล้อเลียนกษัตริย์จอร์จที่ 4 ที่มีเมียน้อยมานวดเท้าที่เป็นเกาต์ให้โดยมีราชินีแคโรไลน์มาส่องดู (Image: All About History)
• จากเจ้าชายผู้สำเร็จราชการแผ่นดินสู่กษัตริย์
2
กษัตริย์จอร์จที่ 3 แห่งอังกฤษ ทรงพระประชวรทางจิต ดังนั้นเจ้าชายจอร์จผู้เป็นโอรสจึงทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระบิดาตั้งแต่ปี 1811 จวบจนกระทั่งถึงปี 1820 ที่กษัตริย์จอร์จที่ 3 สิ้นพระชนม์ เจ้าชายผู้สำเร็จราชการแผ่นดินจึงได้ขึ้นครองราชย์ต่อเป็นกษัตริย์จอร์จที่ 4 เมื่อตอนมีอายุได้ 57 ปี
ช่วงเวลานั้นเรียกว่าเป็นยุครีเจนซี่อันรุ่มรวยของอังกฤษ เพราะมาจากคำเรียก Regency ที่แปลว่าการปกครองโดยมีผู้สำเร็จราชการ ในยุคนั้นอังกฤษรุ่งเรืองไปด้วยด้านต่าง ๆ ทั้งสถาปัตยกรรม วรรณกรรม วัฒนธรรม เครื่องแต่งกาย และการเมือง แม้ชีวิตส่วนพระองค์ของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินนั้นจะตรงกันข้ามก็ตาม
1
พอกษัตริย์จอร์จที่ 3 สิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงแคโรไลน์ก็เดินทางกลับอังกฤษเพื่อมาเรียกสิทธิ์การเป็นราชินี พระองค์ทรงได้รับการต้อนรับจากประชาชนอย่างล้นหลาม พร้อมกล่าวคำสรรเสริญพระราชินีว่า “God Save the Queen” ไปตลอดการเดินทางกลับสู่ลอนดอน
3
ประชาชนไม่นิยมกษัตริย์จอร์จที่ 4 ราชินีแคโรไลน์จึงกลายเป็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนที่ถูกระบอบกษัตริย์กดขี่ข่มเหงและถูกกระทำอย่างหน้าไหว้หลังหลอกโดยกษัตริย์ผู้มีเมียน้อยนับไม่ถ้วน ในยุคนั้นมีการวาดภาพการ์ตูนการเมืองเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงมีการ์ตูนวาดเพื่อเสียดสีกษัตริย์จอร์จที่ 4 อย่างมหาศาล ดังที่จะเห็นได้จากภาพประกอบที่เอามาลงให้ดูกันบางส่วน
แต่เมื่อเจ้าชายจอร์จกลายเป็นกษัตริย์ พระองค์ไม่มีทางทำให้เจ้าหญิงได้สมหวังในการมานั่งเคียงข้างบัลลังก์คู่กับพระองค์ กษัตริย์จอร์จที่ 4 ประสงค์เพียงแต่การหย่าเท่านั้น พระองค์จึงผลักดัน Bill of Pains and Penalties อันอื้อฉาวผ่านรัฐสภาเพื่อลงโทษราชินีแคโรไลน์ในข้อหาคบชู้ โดยให้ยุติการสมรส และเพิกถอนตำแหน่งราชินีและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ไปให้หมด ราชินีแคโรไลน์ตอบโต้ด้วยการเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงกษัตริย์จอร์จที่ 4 โดยเอาไปลงหนังสือพิมพ์เพื่อโต้แย้งข้อกล่าวหาต่อพระองค์
1
การไต่สวนดำเนินไปอยู่ 16 วัน และใช่ว่าจะมีคนเห็นดีเห็นงามกับกษัตริย์จอร์จที่ 4 เพราะแม้กระทั่งพันธมิตรของพระองค์ยังเห็นว่าสิ่งที่พระองค์กระทำไว้นับไม่ถ้วนจะถูกลากออกมาประจานเสียเอง สาธารณชนก็เห็นอกเห็นใจราชินีแคโรไลน์แม้จะทรงมีพฤติกรรมไม่ดีเช่นนี้แต่ก็เพราะเป็นผลมาจากตัวกษัตริย์จอร์จที่ 4 ที่กระทำต่อพระนางอย่างไร้คุณธรรม
2
สุดท้ายรัฐบาลก็ถอนร่างนี้ออกไป เพราะสาธารณชนสนับสนุนราชินีทั้งประท้วงและลงนามคัดค้านร่างนี้เป็นล้านคน ประชาชนเกลียดกษัตริย์ผู้ไร้ศีลธรรมที่ละลายเงินมหาศาลไปกับชีวิตอันหรูหรา ทั้งเครื่องแต่งกาย พระราชวัง งานเลี้ยงดื่มกิน และเลี้ยงเมียน้อยนับไม่ถ้วน ในขณะที่ประชาชนกลับอยู่อย่างยากลำบากเพราะรัฐบาลเอาเงินไปถลุงกับการทำสงครามกับนโปเลียนด้วย ราชินีแคโรไลน์จึงมีชัยไปอีกยก
กษัตริย์จอร์จที่ 4 ทรงแค้นพระทัยมากที่เล่นงานราชินีแคโรไลน์ไม่ได้ จึงทรงหาทางมิให้ราชินีแคโรไลน์มาเข้าร่วมในพิธีราชาภิเษกเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ปี 1821 ที่วิหาร Westminster Abbey โดยทรงจ้างคนมาเฝ้าประตูและปิดประตูไม่ให้ราชินีแคโรไลน์เข้าร่วมพิธีได้ ในวันนั้นราชินีแต่งตัวดีที่สุดแต่เข้าไปไม่ได้ พระนางทุบประตูอย่างโกรธเกรี้ยวพร้อมกับตะโกนว่า “ปล่อยชั้นเข้าไปเดี๋ยวนี้ ชั้นคือราชินีของเจ้านะ ชั้นคือราชินีแห่งอังกฤษ!”
1
มหาดเล็กจึงเปิดประตู แต่ทหารยามข้างในประตูยืนใช้ดาบปลายปืนขวางไม่ให้พระองค์เข้าไป เพราะองค์ถูกเยาะเย้ยถากถางไล่ให้ออกไป และถูกปิดประตูใส่หน้า
2
ราชินีแคโรไลน์จึงไม่ได้เข้าร่วมพิธีสวมมงกุฎ พระองค์ทรงจัดงานเลี้ยงตอนเย็นขึ้นเพื่อกลบความโศกเศร้าขมขื่นใจ หลังจากที่พยายามทำตัวให้รื่นเริงและหัวเราะ แต่สุดท้ายองค์ราชินีก็ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาด้วยความขมขื่น แขกที่มาร่วมงานต่างเป็นประจักษ์พยานถึงบาดแผลอันแสนเจ็บปวดที่พระองค์ได้รับ
1
การ์ตูนล้อเลียนชัยชนะของราชินีแคโรไลน์เหนือกษัตริย์จอร์จที่ 4 ที่ต้องการหย่า (Image: National Archives)
ภาพวาดพิธีราชาภิเษกกษัตริย์จอร์จที่ 4 (Image: Westminster Abbey)
• การตายจากกัน
หลังจากพิธีราชาภิเษกได้ไม่ถึงเดือน ราชินีแคโรไลน์ก็ทรงประชวรในวันที่ 30 กรกฎาคม และอาการทรุดหนักอย่างรวดเร็ว แพทย์พบว่าไม่สามารถช่วยชีวิตพระองค์ได้ พอรู้ตัวว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานพระองค์เผาจดหมายและไดอารีหมด แล้วก็เขียนพินัยกรรมใหม่ พร้อมทั้งบอกรายละเอียดถึงการฝังศพของพระองค์
ในวันที่ 8 สิงหาคม ปี 1821 ราชินีแคโรไลน์ผู้ไร้มงกุฎก็สิ้นพระชนม์ด้วยวัย 53 ปี สิ้นสุดชีวิตการสมรสที่ไร้สุขมาตลอดเวลาหลายสิบปี โดยมีวิลเลียม ออสติน ลูกบุญธรรมนั่งร้องไห้อยู่ข้างประตูห้องนอนของพระองค์ โดยแพทย์วินิจฉัยว่าพระนางมีอาการลำไส้อุดตัน แต่ความเห็นในปัจจุบันเชื่อว่าพระนางน่าจะเป็นมะเร็ง ในตอนนั้นเกิดข่าวลือว่าพระนางถูกวางยาพิษด้วย
ราชินีได้สั่งเสียให้นำพระศพของพระองค์กลับไปฝังที่บ้านเกิดที่แคว้นบรันสวิก กษัตริย์จอร์จที่ 4 ทรงได้รับข่าวนี้ในระหว่างที่ทรงล่องเรือยอร์ช พอทราบข่าวพระองค์ก็ไปเก็บตัวเงียบในห้องตลอดทั้งวันนั้นโดยไม่มีใครรู้ว่าพระองค์ทำอะไร มีการไว้ทุกข์ในราชสำนักเป็นเวลา 3 สัปดาห์ แต่ไม่มีการสั่งให้ไว้ทุกข์ทั่วประเทศ
ถึงแม้กระนั้น ประชาชนก็มาร่วมขบวนแห่พระศพของราชินีแคโรไลน์ผู้น่าสงสารจากลอนดอนไปลงเรือที่ท่าเรืออย่างคับคั่งท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมา ซึ่งตอนแรกจะนำพระศพของพระนางเลี่ยงผ่านกลางเมือง แต่ถูกฝูงชนกักให้ผ่านเส้นใจกลางกรุงลอนดอนและวิหารเวสมินสเตอร์ เกิดความวุ่นวายโกลาหลขึ้น ทหารยามที่ชักกระบี่มาเพื่อจะควบคุมฝูงชนก็ถูกขว้างปาก้อนหินและก้อนอิฐใส่ไม่ยั้ง มีคนตายจากความวุ่นวายนี้สองคน
1
กษัตริย์จอร์จที่ 4 มีอายุยืนยาวกว่าราชินีแคโรไลน์อยู่ 9 ปี ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ปี 1830 ด้วยอายุ 67 ปี พระองค์มีโรคภัยจากการดื่มจัดและความอ้วน มีเรื่องตลกร้ายว่าในวันฝังพระศพของพระองค์นั้นคนฝังศพก็เมาเช่นเดียวกัน
ประชาชนจดจำพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์ที่อ้วนฉุ แต่งตัวเกินพอดี บ้าเซ็กซ์ หน้าไหว้หลังหลอกเรื่องศีลธรรม โลภตะกละตะกลาม เป็นไอ้ขี้เมา เป็นเสือผู้หญิง และสมรสซ้อน
การ์ตูนล้อเลียนกษัตริย์จอร์จที่ 4 ที่คนวาดระบุว่าพระองค์เป็น “ผู้มัวเมาในกามกิเลสและความหรูหราภายใต้ความสยดสยองของการย่อยอาหาร” (Image: National Portrait Gallery, London)
การ์ตูนล้อเลียนการสาดโคลนไปมาระหว่างราชินีแคโรไลน์กับกษัตริย์จอร์จที่ 4 (Image: All Things Georgian)
ภาพวาดของแคโรไลน์แห่งบรันสวิก (Image: Wikipedia)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา