"พระสูตรที่เกี่ยวข้อง ... เมื่อรอคอยการทำกาละ"
พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนถึงการปฏิบัติ
สำหรับการเตรียมตัวตายเอาไว้
คือ ให้เจริญสติปัฏฐาน ๔ และ สัมปชัญญะ
จากนั้นให้พิจารณาเวทนาทางกาย กับเวทนาทางใจ
ใจที่เนื่องกับกายที่ไม่เที่ยง อาศัยปัจจัยปรุงแต่งขึ้น
จะมีความสุขที่ยั่งยืนได้อย่างไร
จากนั้นสอนให้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่
ตามเห็นความเสื่อม ความจางคลายอยู่
ตามเห็นความดับไป
ความสลัดคืน อยู่ในกายและในสุขเวทนา ไปตามลำดับ
จนสุดท้าย เกิดการรู้ชัดว่า
เวทนาทั้งปวงอันเรา "ไม่เพลิดเพลิน" แล้ว
จักเป็นของ "เย็น" ในอัตตภาพนี้นั่นเทียว
จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต
เพราะการแตกทำลายแห่งกาย
:
คำว่านั่งสมาธิให้ผ่านเวทนา ไม่ได้หมายถึงทำให้เวทนาดับหายไป
เพราะเวทนา คือ วิบาก อย่างไรก็จะยังคงมีอยู่ ในลักษณะไตรลักษณ์
จนกว่ากายจะแตกทำลาย
แต่หมายถึงประโยคนี้
ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ทำนองว่า
"ปุถุชนผู้มิได้สดับ เมื่อเกิดเวทนาทางกาย
... จะเกิดเวทนาทางใจ
อริยชนผู้สดับ เมื่อเกิดเวทนาทางกาย
... จะไม่เกิดเวทนาทางใจ"
เปรียบเหมือนคนถูกยิงด้วยลูกศร
ปุถุชนจะเสมือนโดนยิงลูกศร 2 ดอก ทั้งกายและใจ
อริยชนจะเสมือนโดนยิงลูกศร 1 ดอก แค่กาย
ความปวดทั้งหลายจึงเป็นเพียง "สภาพ"
ส่วนคำว่า "ดับ" ในวงจรปฏิจจสมุปบาท
หมายถึง ดับจากความยึดมั่นถือมั่น เกิดการสลัดคืน
.
ไม่มีใครตาย มีแต่กายแตกทำลาย สลายคืนสู่ธรรมชาติ
เป็นเพียงธาตุทั้ง 6 กอง หรืออีกนัยยะคือ กองขันธ์ทั้ง 5
ประชุมรวมกันชั่วคราว อาศัยเหตุปัจจัยกันเกิดขึ้น
ดินสู่ดิน น้ำสู่น้ำ ไฟสู่ไฟ ลมสู่ลม คืนอากาศ คืนวิญญาน
ทุกสิ่งเป็นสมบัติของธรรมชาติ
สลัดทุกสิ่งคืนให้กับธรรมชาติ ...
อ้างอิง :