23 ก.ค. 2021 เวลา 15:03 • ประวัติศาสตร์
Princess Deokhye : โศกนาฏกรรมของเจ้าหญิงเกาหลีองค์สุดท้าย
2
ตอนนี้ในขณะที่หลายๆคนกำลัง Work from home เนื่องจากสถานการณ์โควิด หนึ่งในสิ่งที่หลาย ๆ คนทำเพื่อคลายเครียดก็เห็นจะหนีไม่พ้นการได้ดูซีรี่ย์เกาหลีดีดีซักเรื่องใช่มั้ยครับ และซีรี่ย์เกาหลีก็มาในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นซีรี่ย์รักกุ๊กกิ๊กหวานแหวว สืบสวนสอบสวนฆาตกรรม หรือดราม่าแฟนตาซี และหลายเรื่องมีเนื้อหาที่เกิดขึ้นในสมัยที่เกาหลียังปกครองโดยระบอบกษัตริย์อยู่
8
แต่ในปัจจุบันราชวงศ์เกาหลีไม่ได้ปกครองเกาหลีอีกต่อไป เรื่องราวของพวกเขาตอนนี้ก็มีอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้น คนไทยอาจจะรู้จักกษัตริย์เซจง ผู้คิดค้นภาษาเกาหลี พระราชินีซอนด็อก พระราชินีมิน แต่หนึ่งในสมาชิกของราชวงศ์ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือเจ้าหญิงด๊อกฮแย เจ้าหญิงองค์สุดท้ายของราชวงศ์เกาหลี
15
ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย และสามารถแสดงถึงประวัติศาสตร์ของชาติเกาหลีในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี แม้เธอจะเกิดมาในชีวิตที่ดูเหมือนจะโชคดี แต่หารู้ไม่ว่าโศกนาฏกรรมต่าง ๆ กำลังรอเธออยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ครอบครัว และการโดนดูถูกเหยียดหยามจากคนในชาติด้วยกันเอง วันนี้ Kang’s Journal ขอพาทุกคนไปรู้จักกับชีวิตของเธอกันครับกับ Princess Deokhye : โศกนาฏกรรมของเจ้าหญิงเกาหลีองค์สุดท้าย
6
เจ้าหญิงด็อกฮเย เจ้าหญิงองค์สุดท้ายของเกาหลี (Source: Tumblr)
เหตุการณ์ก่อนหน้า
ก่อนที่จะเข้าใจชีวิตของเจ้าหญิงด็อกฮเย ขอกล่าวถึงสภาพสังคมของเกาหลีในยุคนั้นก่อน เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเธอต้องประสบกับโศกนาฏกรรมในแบบที่เธอต้องเผชิญ
6
ย้อนกลับไปในปี 1864 ยุวกษัตริย์โกจอง เสด็จขึ้นครองราชย์ แต่เนื่องจากพระองค์ยังมีพระชันษาน้อยอยู่ บิดาของพระองค์นามว่า อี ฮาอึง จึงทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน เขาสามารถที่จะกำจัดอิทธิพลท้องถิ่นได้ และสามารถรวบรวมอำนาจการปกครองเกาหลีให้เข้ามาอยู่กับราชวงศ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
3
อี ฮาอึง ผู้สำเร็จราชการของยุวกษัตริย์โกจอง (Source: Wikipedia)
แต่ในช่วงปี 1865-1870 เกาหลีกลับมีนโยบายปิดประเทศ ไม่ค้าขายกับต่างชาติ ชาวคริสต์และชาวต่างชาติมากมายถูกจับกุมและทรมานอย่างสาหัส ซึ่งส่งผลให้ฝรั่งเศสและอเมริกา ตัดสินใจที่จะบุกเข้ามาในดินแดนเกาหลีในเวลาต่อมา
5
ในปี 1873 ยุวกษัตริย์โกจอง พร้อมแล้วที่จะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์โกจอง กษัตริย์องค์ที่ 27 ของราชวงศ์โจซอนแห่งเกาหลี แต่อำนาจในการบริหารกลับไม่ได้อยู่ในมือของพระองค์ แต่ไปอยู่กับพระราชินีมิน ภรรยาของพระองค์แทน
3
กรุงโซลปี 1890 คลองที่เห็นคือคลอง ชอง เกตชอล ที่ปัจจุบันกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว (Source: https://www.researchgate.net)
พระราชินีมิน หรือ Queen Min อภิเษกสมรสกับกษัตริย์โกจองตอนที่ทั้งสองพระองค์อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น แต่แทนที่จะปฏิบัติตนตามขนบธรรมเนียมของสตรีเกาหลีที่ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว และทำตามคำสั่งของสามี เธอกลับเป็นคนที่ทะเยอทะยาน และใฝ่รู้ใฝ่เห็น เธอแทบจะไม่เรียนรู้งานบ้าน แบบที่สตรีชาววังพึงกระทำ แต่เธอกลับสนใจกับการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับการเมืองและปรัชญา
5
พอเธออายุได้ 20 ปี เธอเริ่มเข้ามามีบทบาททางการเมือง เธอเริ่มที่จะชักชวนหาพรรคพวก ตั้งแต่ขุนนาง ทหาร และเจ้าหน้าที่ชั้นสูงให้สนับสนุนเธอ จนสุดท้ายเธอก็สามารถปลด อีฮาอึง ผู้สำเร็จราชการคนเก่าจากตำแหน่งได้ และเธอก็มอบตำแหน่งในการปกครองหลัก ๆ ให้กับญาติสนิท และคนที่เธอไว้ใจ เมื่อกษัตริย์โกจองขึ้นครองราชย์ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการปกครองต่าง ๆ ก็คือพระราชินีมินนั่นเอง
12
สมเด็จพระราชินีมิน (Source: Getty Images)
นโยบายของเธอชัดเจนคือ เธอต้องการให้เกาหลีไม่อยู่ภายใต้การรุกรานของญี่ปุ่น ซึ่งตอนนั้นกำลังคืบคลานขยายอำนาจอยู่ในประเทศจีนที่กำลังอ่อนแอ แต่แล้วในปี 1894-1895 เกิดสงคราม Sino-Japanese War ครั้งที่ 1 ขึ้น เป็นการรบระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ซึ่งความโชคร้ายคือเกาหลีอยู่ตรงกลางระหว่างประเทศทั้งสองพอดี ดังนั้นการสู้รบส่วนใหญ่จึงเกิดขึ้นบนแผ่นดินเกาหลี
8
ผลของการรบคือจีนพ่ายแพ้อย่างยับเยิน เกาหลีซึ่งสนับสนุนฝ่ายจีนจึงถูกบังคับให้เซ็นสนธิสัญญากังฮวากับญี่ปุ่น ซึ่งอนุญาตให้ญี่ปุ่นมีสิทธินอกอาณาเขตในดินแดนเกาหลี และบังคับให้เกาหลีเปิดท่าเรือที่เมืองอินชอน ปูซาน และวอนซัน เพื่อทำการค้าขาย
4
สงคราม Sino-Japanese ครั้งที่ 1 ที่จบลงด้วยชัยชนะของญี่ปุ่น (Source: https://the-new-order-last-days-of-europe.fandom.com)
ญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาทในสังคมเกาหลีขึ้นมากเรื่อย ๆ ตามนโยบายขยายดินแดนขององค์พระจักรพรรดิ แต่พระราชินีมินก็ยังพยายามที่จะหาทางพาเกาหลีให้เป็นอิสระจากการรุกรานของญี่ปุ่นอยู่ จนสุดท้ายในปี 1895 รัฐบาลญี่ปุ่นในเกาหลีตัดสินใจบุกเข้าไปในพระราชวังเคียงบ็อคและสังหารเธออย่างเลือดเย็น
4
หลังการสังหาร สังคมเกาหลีตกอยู่ในภาวะวุ่นวายทันที มีการทำรัฐประหาร และประท้วงทั่วประเทศ จนกระทั่งเหล่าบรรดาราชวงศ์เกาหลี รวมไปถึงกษัตริย์โกจองต้องลี้ภัยไปยังสถานฑูตรัสเซีย และอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานถึง 1 ปี
3
เกาหลีหลังจากถูกญี่ปุ่นผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ (Source: blogspot)
ในปี 1897 กษัตริย์โกจองตัดสินใจเดินทางกลับมายังพระราชวังด็อกซู ในกรุงโซล และประกาศสถาปนาจักรวรรดิเกาหลี (Empire of Korea) ขึ้น และสถาปนาตนเองขึ้นมาเป็นจักรพรรดิโกจอง จักรพรรดิองค์ที่หนึ่งของจักรวรรดิเกาหลี พระองค์เลือกที่จะขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย เพื่อที่จะนำพาเกาหลีสู่ความทันสมัย แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะสายไปเสียแล้ว
6
ธงชาติของจักรวรรดิเกาหลี (Source: Wikipedia)
สุดท้ายในปี 1904-1905 กองทัพญี่ปุ่น สามารถเอาชนะกองทัพรัสเซียในสงคราม Russo-Japanese ได้ ชัยชนะครั้งนี้เรียกได้ว่าช็อคโลก เพราะกองทัพของพระเจ้าซาร์อันยิ่งใหญ่ กลับต้องมาพ่ายแพ้ให้กับกองทัพจากเอเชีย ที่แทบจะไม่มีใครรู้จักเลยด้วยซ้ำ ซึ่งการพ่ายแพ้ของรัสเซียก็หมายถึงความพ่ายแพ้ของเกาหลีด้วยเช่นกัน
5
กษัตริย์โกจอง แห่งราชวงศ์โจซอน ที่กลายมาเป็นจัดรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิเกาหลี (Source: Wikipedia)
และหลังจากสงครามครั้งนี้ญี่ปุ่นจึงตัดสินใจผนวกเกาหลีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิญี่ปุ่น จักรพรรดิโกจองพยายามที่จะเรียกร้องนานาชาติให้ช่วยเหลือจักรวรรดิของพระองค์ แต่ก็ไม่เป็นผล รัฐบาลญี่ปุ่นส่งคนของตนเองเข้ามาปกครองเกาหลี ส่งผลให้เกาหลีเข้าสู่ยุคมืด ยุคที่ชาวเกาหลีต้องทนทุกข์ทรมาน และกลายมาเป็นความบาดหมางของทั้งสองชาติจนถึงปัจจุบัน
6
ส่วนจักรพรรดิโกจองก็โดนปลดออกจากตำแหน่ง โอรสองค์โตของพระองค์ มกุฎราชกุมารซุนจอง กลายมาเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ แต่ไม่นานราชวงศ์โจซอนของเกาหลีก็เดินทางมาถึงจุดจบในปี 1910 ปิดฉาก 518 ปี แห่งการปกครองดินแดนเกาหลี หลังจากที่ญี่ปุ่นไม่ยอมรับการปกครองโดยราชวงศ์อีกต่อไป
6
เจ้าหญิงด็อกฮเย เกิดมาในสมัยที่ราชวงศ์เกาหลี เป็นเพียงหุ่นเชิดของรัฐบาลญี่ปุ่น (Source: naver)
ชีวิตวัยเด็ก
เจ้าหญิงด็อกฮเยเกิดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 1912 ช่วงเวลาที่เกาหลีตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น และอยู่ในยุคมืดพอดี พ่อของเธอคืออดีตจักรพรรดิโกจอง และพระสนมของพระองค์นามว่า ยาง กวีอิน ในตอนที่เธอเกิดนั้น พ่อของเธอมีอายุมากถึง 60 ปีแล้ว และไม่ได้เป็นจักรพรรดิของเกาหลีอีกต่อไป
4
ตอนที่เกิดมานั้น เธอไม่ได้มีตำแหน่งใดใดในราชวงศ์เลย เนื่องจากเธอเป็นลูกสาวของนางสนมหางแถว เธอไม่ได้รับการรับรองด้วยซ้ำว่าเป็นลูกของอดีตจักรพรรดิจนกระทั่งอายุ 5 ขวบ ดังนั้นเธอจึงได้รับการดูแลเลี้ยงดูแบบไม่ได้รับการเอาใจใส่มากนัก
4
เจ้าหญิงด็อกฮเย ในวัยแบเบาะ (Source: historyofyesterday.com)
อย่างไรก็ตามด้วยความน่ารัก สดใสของเธอ ทำให้เธอสามารถเอาชนะใจของพ่อเธอได้ เมื่อเธออายุได้ 5 ขวบ ในปี 1917 พ่อของเธอตัดสินใจเสนอชื่อของเธอให้เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกราชวงศ์เกาหลีและรองรับเธอเป็นลูกอย่างเป็นทางการ พร้อมกับมอบตำแหน่งเจ้าหญิงให้กับเธอ พร้อมกับชื่อด็อกฮเย
5
แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อของเธอต้องการคือ การที่จะทำให้เธอไม่กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของญี่ปุ่น เธอจะต้องเป็นตัวแทนของเกาหลี และมีสายเลือดเกาหลีบริสุทธิ์ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจสร้างโรงเรียนอนุบาลในพระราชวังด็อกซูในกรุงโซล เพื่อให้เธอและเหล่าบรรดาลูกขุนนางได้มีโอกาสเรียนหนังสือในแผ่นดินแม่ ที่สอนโดยครูชาวเกาหลี เรียนภาษาเกาหลี ไม่ได้ถูกบังคับให้เรียนในโรงเรียนที่ตั้งโดยทหารญี่ปุ่นที่เข้ามาปกครอง
7
กษัตริย์โกจอง (ตรงกลาง) และเจ้าหญิงด็อกฮเย (ขวาสุด) กับเหล่าบรรดาราชวงศ์ (Source: Pinterest)
และในปี 1919 พ่อของเธอพยายามให้เธอได้หมั้นหมายกับคนเกาหลี เพื่อที่จะเป็นการการันตีว่าลูกของเธอจะมีเชื้อสายเกาหลี 100% เพื่อสืบสายเลือดราชวงศ์อันบริสุทธิ์ต่อไป ซึ่งคนที่เขาเลือกคือหลานชายของขุนนางคนหนึ่งที่มีชื่อว่า คิม จางฮัน
4
แน่นอนว่าเจ้าอาณานิคมอย่างญี่ปุ่นพยายามกีดกันทุกวิถีทางไม่ให้การแต่งงานนั้นเกิดขึ้น และพวกเขาก็ทำสำเร็จ ชะตาชีวิตของเจ้าหญิงด็อกฮเยได้กำหนดไว้แล้วว่าเธออจะต้องแต่งงานกับคนญี่ปุ่น เพื่อที่จะทำให้ราชวงศ์เกาหลีกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นอย่างสมบูรณ์
12
ในปี 1921 หลังจบชั้นอนุบาล เธอก็เข้าเรียนโรงเรียนประถมในกรุงโซล ที่นี่คุณครูบอกว่าเจ้าหญิงเป็นเด็กที่ร่าเริง สดใส ช่างพูดคุย และชอบทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นอย่างมาก ถือว่าเธอมีชีวิตวัยเด็กที่ไม่เลวเลยทีเดียว แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งนั้นกำลังจะเปลี่ยนไปในไม่ช้า
4
เจ้าหญิงด็อกฮเยสมัยเรียนที่โรงเรียนประถมในกรุงโซล (Source: Tumblr)
สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
1
ในปี 1919 พ่อของเธออดีตกษัตริย์โกจองเสียชีวิตลง ว่ากันว่าพระองค์โดนวางยาพิษโดยทหารญี่ปุ่น เพราะพวกเขาต้องการขจัดเสี้ยนหนามในราชวงศ์เกาหลีให้หมดสิ้น ตอนนี้เมื่อพระองค์ตายจากไป ก็ไม่มีใครคอยปกป้องเจ้าหญิง และเธอก็จะกลายมาเป็นเบี้ยตัวหนึ่งของรัฐบาลญี่ปุ่นได้อย่างสมบูรณ์
3
เจ้าหญิงด็อกฮเย ตอนอายุ 10 ปี ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปญี่ปุ่นได้ไม่นาน (Source: Pinterest)
เมื่อเธออายุครบ 13 ปี รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจส่งเธอไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น เหมือนกับที่ทำกับเหล่าบรรดาลูกหลานทุกคนของราชวงศ์โจซอน แม้จะมีแรงต่อต้านจากราชวงศ์เกาหลีมากเท่าไร แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้มาก เจ้าหญิงวัยแรกรุ่นต้องเดินทางจากอ้อมอกแม่ และเพื่อนชาวเกาหลีของเธอ ไปยังสถาบันการศึกษา Peer’s School ในกรุงโตเกียว ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ลูกของบรรดาขุนนางญี่ปุ่นเข้าศึกษาโดยเฉพาะ
4
เจ้าหญิงด็อกฮเย สมัยเรียนอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น (Source: naver)
การต้องพรากจากครอบครัวมีผลกระทบต่อจิตใจของเธอเป็นอย่างมาก ที่นี่จากเด็กสาวที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เจ้าหญิงด็อกฮเยกลายเป็นเด็กที่เงียบ เก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร เพื่อนในชั้นเรียนของเธอบอกว่าเธอดูเหมือนจะกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าจะมีใครมาทำร้ายเธอ และเธอจะถือกระติกน้ำดื่มไปโรงเรียนเองทุกครั้ง เพราะเธอกลัวว่าจะมีคนวางยาพิษ
3
เวลาผ่านไป 4 ปี หลังจากที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมา ในปี 1929 แม่อันเป็นที่รักของเธอก็เสียชีวิตลง โดยที่เธอไม่มีโอกาสได้กล่าวร่ำลาด้วยซ้ำ เจ้าหญิงด็อกฮเยได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับมาเข้าร่วมในพิธีศพได้ แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้สวมชุดของราชวงศ์ในการเข้าร่วมพิธีศพ รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการที่จะให้สิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ในการที่จะบอกว่าตอนนี้เกาหลีเป็นส่วนหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น และเจ้าหญิงของพวกเขาก็กลายเป็นคนญี่ปุ่น 100% แล้ว
16
เจ้าหญิงด็อกฮเยในชุดกิโมโน (Source: Tumblr)
สำหรับสาวน้อยด็อกฮเย เรื่องทำให้เธอรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมแค่การเคารพศพแม่ของเธอ เธอจะสวมใส่เสื้อผ้าที่เธออยากใส่เพื่อเป็นเกียรติกับแม่ของเธอไม่ได้
4
มาถึงตอนนี้จิตใจของเจ้าหญิงเปราะบางมาก ว่ากันว่าหลังพิธีศพจบลงและเธอเดินทางกลับญี่ปุ่น คนที่มารอรับเธอบอกว่า เจ้าหญิงเป็นเหมือนกับคนแก่ ที่ผ่านความโศกเศร้าในชีวิตมาเป็นเวลานาน ไม่มีเค้าความเป็นเด็กสาววัยรุ่นอยู่เลย
4
ต่อมาเธอเริ่มมีอาการทางจิต เหตุการณ์นี้เริ่มตั้งแต่ช่วงปี 1930 โดยเริ่มจากการที่เธอเริ่มเดินละเมอไปมาขณะนอนหลับ จากนั้นเธอก็เริ่มที่จะลืมรับประทานอาหารและดื่มน้ำ ซึ่งทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอลงไปทุกวัน แพทย์ที่รักษาเธอวิเคราะห์ว่าเธอมีภาวะสมองเสื่อม ซึ่งเกิดได้น้อยมากในคนอายุแบบเธอ (ในปัจจุบันคาดว่าเธอมีอาการทางจิตรูปแบบหนึ่ง ที่มีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจอย่างรุนแรง ไม่ได้มาจากภาวะสมองเสื่อมแต่อย่างใด)
10
ช่วงชีวิตวัยรุ่นของเจ้าหญิงด็อกฮเย จะมีเจ้าหน้าที่ชาวญี่ปุ่นคอยมองดูเธอทุกฝีก้าว (Source: Tumblr)
อย่างไรก็ตามในปีเดียวกันนั้นเอง เธอย้ายไปอยู่ที่พระราชวังคิงยี ในกรุงโตเกียว ร่วมกับมกุฏราชกุมารอึน พี่ชายต่างมารดาของเธอ อาจจะเป็นเพราะเธอได้มีโอกาสอยู่ร่วมกับญาติที่เธอวางใจ ทำให้ในปีถัดมา อาการทางจิตของเธอดูเหมือนจะดีขึ้น
2
การแต่งงาน และสงครามโลกครั้งที่ 2
ตอนนี้เจ้าหญิงด็อกฮเยอายุได้ 17 ปีแล้ว ซึ่งสิ่งที่เธอพึงกระทำก็คือการหาคู่ครอง ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมาจากการจัดการของรัฐบาลญี่ปุ่น และชายหนุ่มผู้นั้นคือขุนนางญี่ปุ่นนามว่า โช ทาเคยุกิ จริง ๆ แล้วการแต่งงานควรเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1930 แล้ว แต่เนื่องจากสภาพทางจิตของเธอที่ไม่มั่นคง ทำให้การแต่งงานถูกเลื่อนออกไปเป็นปี 1931 หลังจากที่เธอมีอาการดีขึ้น
3
โช ทาเคยูกิ และเจ้าหญิงด็อกฮเย ในวันแต่งงาน (Source: Pinterest)
พี่ชายของเธอพยายามคัดค้านการแต่งงานในครั้งนี้ แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะทำอะไรได้ ทุกอย่างได้ถูกตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเมื่อเจ้าหญิงเริ่มมีอาการดีขึ้น เธอก็ได้รับคำสั่งให้แต่งงานกับขุนนางท่านนี้ทันที
7
ถ้ามองกันดีดี จะเห็นว่าเป็นการลดลำดับขั้นการแต่งงานอย่างเห็นได้ชัด เพราะจริง ๆ ฐานะเจ้าหญิงของเธอ ควรจะได้แต่งงานกับสมาชิกของราชวงศ์ญี่ปุ่น ไม่ใช่กับขุนนางชั้นรองอย่างทาเคยูกิ นี่คือการกระทำอีกอย่างของญี่ปุ่น ที่พยายามจะทำให้สมาชิกของราชวงศ์เกาหลีมีฐานะเป็นสามัญชนธรรมดา
7
โช ทาเคยูกิมาจากตระกูลขุนนางเก่า ที่ดูแลปกครองเกาะสึชิมะ เกาะขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กับคาบสมุทรเกาหลีมากที่สุด โดยเกาะแห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองปูซานเพียง 50 กิโลเมตรเท่านั้น และเป็นเกาะที่มีส่วนสำคัญในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีและญี่ปุ่น เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวรรณกรรมอังกฤษจากมหาวิทยาลัยโตเกียว
8
โช ทาเคยูกิ และเจ้าหญิงด็อกฮเย (Source: Wikipedia)
ในเดือนสิงหาคม 1932 ลูกสาวคนแรกและคนเดียวของทั้งคู่ลืมตาดูโลกขึ้น เธอมีชื่อว่า มาซาเอะ และชื่อเกาหลีของเธอคือ จองฮเย ทั้งสามกลายมาเป็นครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีความสุข มีการบันทึกไว้ว่าทั้งสามมักจะเดินทางไปปีนเขาด้วยกัน ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน
2
หนูน้อยมาซาเอะทำให้เจ้าหญิงด็อกฮเย มีเป้าหมายใหม่ในการใช้ชีวิต เธอจะต้องดูแลเลี้ยงดูลูกสาวของเธออย่างสุดความสามารถ เพราะอย่างน้อยเธอคือเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์โจซอนของเกาหลี
2
อย่างไรก็ตามในปี 1933 อาการทางจิตของเธอกำเริบขึ้นอีกครั้ง ทำให้เธอถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในกรุงโตเกียวเพื่อเข้ารับการรักษา ทำให้เธอไม่มีโอกาสเลี้ยงดูมาซาเอะในวัยแบเบาะ และสิ่งนี้เองที่ทำให้มาซาเอะ ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดี และไม่ได้รู้สึกสนิทกับแม่ของเธอมากนัก
5
หนูน้อยมาซาเอะ ลูกสาวของทั้งคู่ (Source: naver)
นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลก็เริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ โชคดีที่สามีของเธอเป็นผู้มีอันจะกิน เรื่องนี้จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ปัญหาต่อมาที่เกิดขึ้นมาจากตัวหนูน้อยมาซาเอะเอง เพราะเธอถูกล้อจากเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนว่าเป็นเด็กลูกครึ่ง จากดินแดนที่แสนล้าหลัง
และแล้วราวกับโชคชะตาจะยังกลั่นแกล้งเธอไม่พอ ในปี 1940 ประเทศญี่ปุ่นเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ ในตอนแรกดูเหมือนว่าญี่ปุ่นจะสามารถชนะดินแดนต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายทั้งดินแดนในจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประชาชนชาวญี่ปุ่นต่างดีใจและสนับสนุนองค์จักรพรรดิอย่างเต็มที่
เหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นทิ้งระเบิดโจมตี Pearl Harbor ที่ฮาวายในเดือนธันวาคม 1941 (Source: Wikipedia)
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ญี่ปุ่นเริ่มที่จะสูญเสียกองกำลัง ดินแดนต่าง ๆ ที่ยึดมาได้ ถูกยึดกลับคืนไป จนสุดท้ายเมื่อระเบิดปรมาณูสองลูกทิ้งลงที่เมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ ญี่ปุ่นก็กลายมาเป็นผู้แพ้สงคราม นอกจากบ้านเมืองจะเสียหายยับเยิน เศรษฐกิจพังพินาศแล้ว ญี่ปุ่นยังต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลอีกด้วย
3
สภาพเมืองฮิโรชิมา หลังถูกระเบิดปรมาณูถล่ม (Source: Wikipedia)
สังคมญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นคือการยกเลิกตำแหน่งต่าง ๆ ทั้งหมดรวมไปถึงตำแหน่งขุนนางของโซ ทาเคยูกิด้วย ที่ดินที่มีในครอบครองต้องมีการเสียภาษีให้กับรัฐบาล และพวกเขาจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลอีกต่อไป ชีวิตของครอบครัวพ่อแม่ลูก เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแทบจะในทันที พวกเขาไม่มีเงินพอที่จะมีบ้านหลังใหญ่ หรือมีคนรับใช้หลายคนอีกต่อไป และตอนนี้เงินที่ทาเคยูกิ จะต้องจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลของเจ้าหญิงด็อกฮเยก็ร่อยหรอลงไปอย่างมาก
9
แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ ตอนนี้เกาหลีได้รับเอกราชจากญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีสิทธิ์ในการกำหนดทิศทางชีวิตของชาวเกาหลีอีกต่อไป รวมไปถึงเจ้าหญิงด็อกฮเยด้วย
3
ตอนนี้การแต่งงานเพื่อที่จะดองราชวงศ์เกาหลีกับอาณาจักรญี่ปุ่น ดูจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามีเริ่มที่จะเลวร้ายลง ประกอบกับอาการทางจิตของเธอที่กลับมารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายในปี 1953 ทั้งสองก็หย่าขาดจากกัน
3
เจ้าหญิงด็อกฮเย (สามจากขวา) กับเหล่าบรรดาราชวงศ์เกาหลีและคู่สมรสชาวญี่ปุ่น (Source: Tumblr)
หลังการหย่า เจ้าหญิงด็อกฮเยถูกพาตัวไปรักษาในโรงพยาบาลบ้ายาวนานถึง 15 ปีเลยทีเดียว ภายใต้การดูแลของลุงของเธอ ส่วนทาเคยูกิก็แต่งงานใหม่ในปี 1955 กับหญิงสาวชาวญี่ปุ่นและทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน
4
คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเห็นจะเป็นมาซาเอะ ลูกสาวของทัั้งคู่ ครอบครัวพ่อแม่ลูกที่เคยมีความสุข กลับต้องมาแตกแยกกัน และเธอก็ไม่สามารถเข้ากับแม่เลี้ยงคนใหม่ของเธอได้ เธอเข้าศึกษาต่อในคณะวรรณกรรมภาษาอังกฤษเช่นเดียวกับพ่อของเธอ ที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ ที่นี่เธอได้พบกับซูซูกิ โนโบรุ และทั้งสองแต่งงานกันในปี 1955
9
กรุงโตเกียวในปี 1955 (Source: Flickr)
แต่เหมือนว่าชีวิตคู่ของทั้งสองจะไปด้วยกันได้ไม่ดีนัก และเหมือนว่าเธอจะเป็นโรคซึมเศร้า จนสุดท้ายในปี 1956 เพียง 1 ปีหลังการแต่งงาน เธอทิ้งจดหมายเอาไว้พร้อมกับบอกเป็นนัย ๆ ว่าเธอจะเดินทางไปยังภูเขาโคมากาทาเกะ ที่อยู่ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 100 กิโลเมตร เพื่อทำการฆ่าตัวตาย
2
เมื่อสามีและพ่อของเธอทราบเรื่องเข้า พวกเขารีบบอกตำรวจ และปฏิบัติการค้นหาตัวมาซาเอะก็เริ่มต้นขึ้นทันที แต่เนื่องจากตอนนั้นมีพายุไต้ฝุ่นในบริเวณนั้นพอดี ทำให้การค้นหาต้องถูกดีเลย์ออกไป แต่สุดท้ายไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ไม่มีใครเจอตัวเธอ และจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีใครพบเธอ หรือศพของเธอ เธอกลายเป็นบุคคลสาบสูญโดยสมบูรณ์
3
การสูญเสียลูกสาวเพียงคนเดียว และการหย่าร้างกับสามี ทำให้อาการทางจิตของเธอยิ่งกำเริบขึ้นไปอีก เธอใช้ชีวิตหลังการหย่าอยู่ในสถานบำบัดจิต ซึ่งในตอนนั้นเรื่องของการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตยังไม่ได้รับการพัฒนามากนัก ความเข้าใจในตัวผู้ป่วยยังไม่มีเหมือนสมัยนี้ ทำให้อาการของเธอไม่ได้รับการรักษาได้อย่างเต็มที่
7
เจ้าหญิงด็อกฮเย ในชุดกิโมโน (Source: naver.com)
กลับสู่มาตุภูมิ
หลังจากหย่าขาดจากกันในปี 1953 เจ้าหญิงด็อกฮเยยังไม่ได้เดินทางกลับเกาหลีในทันที เพราะเกาหลีเพิ่งจะผ่านสงครามเกาหลีมาหมาด ๆ ทำให้เกาหลีแบ่งออกเป็นสองส่วน คือเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะที่เรียกได้ว่าพังราบคาบ ทุกอย่างต้องถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด และไม่มีใครคิดที่จะมาสนใจเจ้าหญิงจากราชวงศ์เกาหลีที่แทบจะไม่มีใครจำได้
2
ชุดของเจ้าหญิงด็อกฮเย ในวัยเด็กที่ปัจจุบันถูกเก็บไว้ในพิพิธภํณฑ์ (Source: historyofyesterday.com)
อีกอย่างที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือทัศนคติของชาวเกาหลีที่มีต่อญี่ปุ่น ตอนที่ญี่ปุ่นเข้ามาปกครองเกาหลีนั้น ชาวเกาหลีมากมายถูกกดขี่ ทรมาน ใช้แรงงานอย่างสาหัส หลายคนสูญเสียทรัพย์สิน ที่ดิน สิ้นเนื้อประดาตัวจากการที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามายึดครอง ผู้หญิงหลายคนถูกข่มขืน และหลายคนจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย ก่อให้เกิดทัศนคติในแง่ลบสุดขีดกับญี่ปุ่นที่มีมาจนถึงปัจจุบันนี้
4
ราชวงศ์เกาหลีถูกมองว่าเป็นตัวการที่ทำให้เกาหลีถูกญี่ปุ่นเข้ามายึดครองเพราะการไร้ความสามารถในการปกครองประเทศ พวกเขาถูกมองว่าไปเข้าข้างกับญี่ปุ่น ชายชาติ ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองอยู่รอด และทรยศความไว้วางใจของพสกนิกรเกาหลี ดังนั้นราชวงศ์ที่ไปมีสัมพันธ์กับคนญี่ปุ่นอย่างเจ้าหญิงด็อกฮเยก็คือคนร้ายในสายตาของชาวเกาหลีนั่นเอง
8
ชุดของเจ้าหญิงด็อกฮเย ในวัยเด็กที่ปัจจุบันถูกเก็บไว้ในพิพิธภํณฑ์ (Source: historyofyesterday.com)
หลังจากสงครามเกาหลีจบลง มีความพยายามของคนบางกลุ่มที่จะนำราชวงศ์เกาหลีกลับมายังมาตุภูมิ แต่ทางรัฐบาลเกาหลีใต้ในตอนนั้น เห็นว่าการนำตัวพวกเขากลับมาอาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในประเทศได้
2
จนกระทั่งปี 1962 หลังจากหมดวาระของประธานาธิบดีซึง มันรี ซึ่งเป็นคนต่อต้านการนำราชวงศ์เกาหลีกลับสู่ประเทศ เจ้าหญิงด๊อกฮเยจึงมีโอกาสที่จะได้เดินทางกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง (ส่วนเกาหลีเหนือนั้นไม่ต้องพูดถึง เรื่องราวของกษัตริย์ถูกลบออกไปจากหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ชาติเกาหลีเลยด้วยซ้ำ)
4
ในตอนนั้นกระแสนิยมเรื่องความเป็นเกาหลีกำลังมาแรง ผู้คนอยากให้วัฒนธรรมและความเป็นเกาหลีถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเกาหลีก็คือราชวงศ์โจซอน ดังนั้นชาวเกาหลีจึงเริ่มเรียกร้องคือการนำสมาชิกของราชวงศ์เกาหลีที่ยังเหลืออยู่กลับสู่มาตุภูมิ แต่ปัญหาคือตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าหญิงด็อกฮเยอยู่ที่ไหน
8
ประธานาธิบดีซึง มันรีของเกาหลีใต้ที่คัดค้านการยำตัวราชวงศ์เกาหลี กลับสู่มาตุภูมิ (Source: Wikipedia)
หลังจากการพยายามตามหามาเป็นเวลานาน ในที่สุดนักข่าวคนหนึ่งได้ทำการตามหาตัวเจ้าหญิงจนพบ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่านักข่าวคนนี้ที่มีนามว่า คิม อุลฮัน ซึ่งเป็นน้องชายแท้ ๆ ของ คิม จางฮัน คนที่พ่อของเธอต้องการให้เธอแต่งงานด้วยตอนเธอยังเด็กนั่นเอง
5
วันที่ 26 มกราคม 1962 เครื่องบินลำหนึ่งร่อนลงจอดที่สนามบินกิมโป ในกรุงโซล มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินลงมาจากเครื่องบิน เธอดูอ่อนแอ และมีสุขภาพไม่แข็งแรงนัก เธอคนนี้คือเจ้าหญิงด็อกฮเย ที่ได้มีโอกาสกลับมายังบ้านเกิดของเธออีกครั้ง หลังจากที่ต้องจากไปนานถึง 38 ปี
2
ว่ากันว่าตอนที่เธอเห็นแผ่นดินเกาหลีเป็นครั้งแรก น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มไหลออกมาทันที และแม้ว่าเธอจะกลับมาในฐานะประชาชนเกาหลีธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่สนามบินเหล่าบรรดาคนรับใช้ และพระสนมเก่า ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่างมาต้อนรับเธออย่างเอิกเกริก เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว เธอยังคงเป็นเจ้าหญิงด็อกฮเยตัวน้อยสำหรับพวกเขาอยู่เสมอ
5
เจ้าหญิงด็อกฮเย เดินทางกลับมายังเกาหลี หลังจากที่ต้องจากบ้านไปนานถึง 38 ปี (Source: Wikipedia)
แต่ไม่ได้มีแค่เหล่าบรรดาคนรับใช้และนางสนมที่มารอรับ เหล่าบรรดานักข่าว และช่างภาพต่างก็มาทำข่าวเจ้าหญิงองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โจซอนกันอย่างล้นหลาม ทุกคนพยายามจะถามคำถาม บอกให้เธอโพสท่าถ่ายภาพ แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับกลับมาคือความเงียบ เธอจ้องมองเหล่าบรรดานักข่าวด้วยสายตาอันว่างเปล่า เธอไม่ตอบคำถามใดใด จริง ๆ แล้วเธอดูเหมือนเด็กหญิงอายุน้อยที่ดูตื่นกลัวและไม่รู้ประสา
6
และไม่นานความจริงก็ถูกเปิดเผยว่าเจ้าหญิงด็อกฮเย มีอาการทางจิตประสาท เธอถูกพาตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโซลทันที และเธอต้องเข้าออกโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นเวลานานถึง 10 ปีเลยทีเดียว
6
ในที่สุดเธอก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเธอมีอาการ Aphasia ซึ่งเป็นอาการที่จะทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการเข้าใจภาษา ทำให้ในช่วงปลายชีวิตของเธอ เจ้าหญิงด็อกฮเยมีร่างกายที่แข็งแรง แต่กลับไม่สามารถพูด อ่าน หรือเขียนได้ และเธอต้องอยู่ภายใต้การดูแลของพยาบาลตลอดเวลา
7
เจ้าหญิงด็อกฮเย (ขวา) ในงานเลี้ยงงานหนึ่งที่ถูกจัดขึ้นในพระราชวีงชางด็อก (Source: naver.com)
เมื่อไม่อยู่ที่โรงพยาบาลเจ้าหญิงด็อกฮเยจะอาศัยอยู่ที่ พระราชวังชางด็อก พระราชวังเก่าของราชวงศ์ พร้อมกับเหล่าบรรดาญาติ ๆ ซึ่งรวมไปถึงมกุฎราชกุมารอึนด้วย ซึ่งตอนนี้ทุกคนมีฐานะเป็นประชาชนธรรมดา และได้รับค่าเลี้ยงดูจากรัฐบาลเป็นเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น
8
เธอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างเงียบ ๆ ภายใต้การดูแลของพยาบาลอย่างใกล้ชิด และเรื่องที่น่าสนใจคือแม้ว่าเธอจะมีอาการทางจิต และสมองเสื่อม แต่มีการบันทึกไว้ว่าเธอยังสามารถจำมารยาท และขั้นตอนต่าง ๆ ของชีวิตในวังได้เป็นอย่างดี
6
เจ้าหญิงด็อกฮเย (สองจากซ้าย) ในช่วงบั้นปลายชีวิต (Source: naver)
ในปี 1972 10 ปีหลังเดินทางกลับมายังเกาหลี วันหนึ่งมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินทางมายังพระราชวังชางด็อก เมื่อโดนถามว่ามาทำอะไร เขาตอบว่าเขาต้องการขอเข้าพบเจ้าหญิงด็อกฮเย และเมื่อถามว่าเขาคือใคร เขาตอบว่าเขาคือ โช ทาเคยูกิ อดีตสามีของเธอนั่นเอง เป็นที่น่าเสียดายที่รัฐบาลเกาหลีไม่อนุญาตให้ทั้งสองได้มีโอกาสพบหน้ากัน และภายหลังการเสียชีวิตของทั้งคู่ มีการค้นพบเอกสารเก่า ๆ ที่มีกลอนรักที่ทาเคยูกิ เขียนให้กับเจ้าหญิงด็อกฮเยอยู่ แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยเขาก็ยังเคยรักเธอในฐานะภรรยาคนหนึ่ง แม้ว่าตอนหลังทั้งคู่จะต้องหย่าร้างจากกันก็ตาม
11
เจ้าหญิงด็อกฮเยเสียชีวิตในวันที่ 21 เมษายน 1989 ในพระราชวังชางด็อก จากโรคหวัดแทรกซ้อนด้วยในวัย 76 ปี ร่างของเธอถูกฝังไว้ในสุสานในพระราชวังชาง
ด็อกที่เธอรัก ก่อนเสียชีวิตว่ากันว่าคำพูดท้าย ๆ ของเธอที่เธอพูดไว้กับพยาบาลของเธอคือ “ฉันคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนของฉัน แม้ว่าฉันจะได้กลับมาอยู่ที่บ้านเกิดของฉันแล้วก็ตาม” ซึ่งถ้าลองคิดดูอาจจะหมายความว่า เกาหลีในตอนที่เธอกลับมานั้น ช่างแตกต่างไปจากเกาหลีในสมัยวัยเด็กที่เธอจำได้ เธอคงคิดถึงช่วงเวลาในตอนนั้น ช่วงเวลาที่ครอบครัวของเธอยังอยู่พร้อมหน้ากันทั้งพ่อ แม่ ลูก ช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ช่วงเวลาที่ดูเหมือนว่าจะมีอนาคตที่สดใสรอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ น่าเสียดายที่เธอไม่มีโอกาสได้พบกับอนาคตที่สดใสนั้นเลย
24
จดหมายสุดท้ายของเจ้าหญิงด็อกฮเย มีใจความว่า เธออยากจะอยู่ที่พระราชวังชางด็อกตลอดไป และเธอคิดถึงพ่อ แม่ และประเทศของเธอ (Source: naver.com)
บทสรุป
และนี่คือเรื่องราวของเจ้าหญิงด็อกฮเย เจ้าหญิงองค์สุดท้ายของราชวงศ์เกาหลีนะครับ ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรม เริ่มตั้งแต่ที่เธอเกิดมาในยุคที่ราชวงศ์เกาหลีเป็นเพียงเครื่องมือของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ถูกกำหนดให้ทำหน้าที่ตามที่ญี่ปุ่นต้องการ จากนั้นเธอก็โดนพรากจากอ้อมอกแม่ไปยังต่างบ้านต่างเมือง โดยที่เธอไม่เต็มใจ
3
เจ้าหญิงด็อกฮเยในวัยเด็ก (Source: Tumblr)
จากนั้นคนรอบตัวเธอก็เริ่มเสียชีวิตจากเธอไปเรื่อย ๆ ทั้งพ่อ แม่ และญาติ ๆ ของเธอ จากนั้นเธอก็ถูกบังคับให้แต่งงาน ซึ่งถึงแม้จะมีความสุขในช่วงแรก สุดท้ายสงครามก็พรากทุกอย่างไปจากเธออีกครั้ง แผ่นดินแม่ที่เธอหวังว่าจะต้อนรับกลับปฏิเสธเธออย่างไร้เยื่อใย ประกอบกับการหย่าร้าง และการสูญเสียลูกสาวคนเดียวไปตลอดกาล ทุกอย่างล้วนแล้วแต่กระทบจิตใจเธออย่างรุนแรง ส่วนปัญหาทางจิตที่เธอก็ไม่ได้รับการรักษาเยียวยาอย่างถูกวิธี
6
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็มีสาเหตุหลักมาจากการล่าอาณานิคม ซึ่งมักจะทำให้ประเทศที่ถูกล่าต้องทนรับความทุกข์ทรมานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั่นเอง
6
หลุมศพของเจ้าหญิงด็อกฮเยในพระราชวังชางด็อก(Source: naver.com)
โชคดีที่อย่างน้อยเธอก็ได้มาใช้ชีวิตบั้นปลายในบ้านเกิดเมืองนอนที่เธอรัก แม้สภาพแวดล้อมจะต่างไปจนเธอแทบจำไม่ได้แล้วก็ตาม เธอมีคนดูแล และอย่างน้อยครั้งหนึ่งเธอก็เคยมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข ได้เป็นแม่คน และมีผู้ชายคนหนึ่งที่รักเธอ
3
ครั้งหน้า ถ้าใครมีโอกาสเดินทางไปยังกรุงโซล อย่าลืมแวะไปที่พระราชวังชางด็อกนะครับ สถานที่ที่ราชวงศ์เกาหลีใช้เป็นที่อยู่อาศัยในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามาปกครองเกาหลี และเป็นที่อยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเหล่าบรรดาสมาชิกราชวงศ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ส่วนใครอยากชมเรื่องราวของเธอในรูปแบบภาพยนตร์ แนะนำให้ไปดูเรื่อง The Last Princess ออกฉายในปี 2016 แล้วอย่าลืมเตรียมทิชชู่ไว้ซับน้ำตาเยอะ ๆ ด้วยละกันนะครับ
6
ดูตัวอย่างของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ที่นี่นะครับ
1
ภาพยนตร์เรื่อง The Last Princess เป็นภาพยนตร์อัตชีวประวัติของเจ้าหญิงด็อกฮเย (Source: patsonic)
ครั้งหน้า Kang's Journal จะพาไปท่องโลกประวัติศาสตร์ผ่านเหตุการณ์ หรือเรื่องราวชีวิตของบุคคลสำคัญคนไหนอีก อย่าลืมติดตามชมกันนะครับ
5

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา