18 ก.ค. 2021 เวลา 13:17 • ประวัติศาสตร์
Lola Montez : นางโลม โค่นบัลลังก์
1
การที่กษัตริย์ในสมัยก่อน (หรือแม้แต่ในสมัยนี้) จะมีภรรยาหรือนางสนมหลายคนคงไม่ใช่เรื่องแปลก กษัตริย์ของราชวงศ์ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา อาจจะมีราชินีได้เพียงองค์เดียว แต่นางสนมนั้นอาจจะมีได้หลายคน
2
Lola Montez คือหนึ่งในนางสนมเหล่านั้น แต่เธอไม่ใช่นางสนมธรรมดา ๆ เธอเป็นสาวงามที่มีชื่อเสียง (หรือเสีย?) ไปทั่วทั้งทวีปยุโรป และเธอได้ใช้เสน่ห์ของเธอมัดใจกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรบาวาเรียเอาไว้จนอยู่หมัด
1
แต่แล้วก็ด้วยชื่อเสียง (หรือเสีย?) ของเธออีกเช่นกันที่สุดท้ายก็หันกลับมาทำร้ายเธอ และไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้น แต่รวมไปถึงกษัตริย์พระองค์นั้นจนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พระองค์ต้องถึงกับสละราชบัลลังก์เลยทีเดียว
1
เธอเป็นใคร มาจากไหน เธอใช้อะไรในการมัดใจกษัติรย์ แล้วเหตุใดกษัตริย์ที่มาหลงรักเธอถึงกับต้องสละราชบัลลังก์ และสุดท้ายจุดจบของเธอจะเป็นอย่างไร วันนี้มาร่วมเดินทางไปกับ Kang’s Journal กับเรื่องราวของเธอกันครับ Lola Montez : นางโลม โค่นบัลลังก์
3
Lola Montez : นางโลม โค่นบัลลังก์ (Source: Wikipedia)
ชีวิตวัยเด็ก
Lola Montez มีชื่อเดิมว่า Eliza Rosanna Gilbert พ่อของเธอเป็นทหารอังกฤษนามว่า Ensign Edward Gilbert ส่วนแม่ของเธอคือ Elizabeth Oliver ลูกสาวของสมาชิกวุฒิสภาในไอร์แลนด์ ทั้งคู่แต่งงานกันในเดือนเมษายน 1820 ตอนที่ Elizabeth อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น และมีข่าวลือกันอย่างหนาหูว่าทั้งคู่แต่งงานเพราะ Elizabeth เกิดท้องก่อนแต่งขึ้นมา ซึ่งเด็กที่อยู่ในท้องนั้นก็คือ Eliza นั่นเอง
1
Eliza เกิดในเมือง Sligo ประเทศไอร์แลนด์ (ซึ่งตอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอังกฤษ) พวกเขาย้ายมาอาศัยอยู่ที่เมือง Liverpool ในช่วงต้นปี 1823 และในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน ครอบครัวของเธอก็ย้ายไปอยู่ที่อินเดีย
2
เมือง Sligo ประเทศไอร์แลนด์ บ้านเกิดของ Lola ในช่วงปี 1820 (Source: http://www.askaboutireland.ie)
สิ่งที่เป็นปริศนาของเธอมาโดยตลอดก็คือวันเกิดที่แท้จริง เพราะบันทึกต่าง ๆ ที่มีการกล่าวถึงวันเกิดของเธอนั้นมักจะไม่ค่อยตรงกัน วันเกิดที่ได้รับการจารึกลงไปบนแผ่นป้ายหลุมศพของเธอคือวันที่ 23 มิถุนายน 1818 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่พ่อและแม่ของเธอจะแต่งงานกัน จึงเป็นไปไม่ได้เลยว่านี่คือวันเกิดที่แท้จริงของเธอ
สุดท้ายแล้ว มีการไปพบเอกสารของโบสถ์ที่เธอได้รับพิธีศีลจุ่ม ซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนว่า Eliza Rossana Gilbert เกิดวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1821 ที่เมือง Sligo เป็นเวลานานถึงกว่า 120 ปีเลยทีเดียวกว่าที่วันเกิดที่แท้จริงของเธอจะได้รับการเปิดเผย
1
เมื่อเดินทางมาถึงประเทศอินเดียได้ไม่นาน หนูน้อย Eliza ซึ่งตอนนั้นอายุเพียง 2 ขวบ ก็ต้องสูญเสียพ่อของเธอไปด้วยโรคอหิวาตกโรค แม่ของเธอซึ่งตอนนั้นอายุเพียง 19 ปีกลายมาเป็นแม่ม่ายสาวสวย ลูกติด และเธอแต่งงานใหม่อย่างรวดเร็วกับร้อยโท Patrick Craigie ทหารที่ประจำอยู่ที่ประเทศอินเดียในขณะนั้น
3
สภาพบ้านเมืองของประเทศอินเดียที่ Lola อาศัยในสมัยวัยเด็ก (Source: https://wiki.fibis.org)
โชคดีที่ Craigie เอ็นดู Eliza เหมือนลูกแท้ ๆ แต่เธอเป็นเด็กที่ซนมาก เธอถูกสปอยและมักจะทำอะไรตามใจตนเองโดยไม่สนคำเตือนของใคร และมักจะมีนิสัยห่ามเหมือนกับเด็กผู้ชาย ซึ่งนำความปวดหัวมาให้กับแม่ และพ่อเลี้ยงของเธอเป็นอย่างมาก
ดังนั้นไม่นาน Eliza จึงถูกส่งตัวกลับไปยัง Scotland เพื่อไปอยู่กับปู่ของเธอ และจากการที่เธอเติบโตมาในประเทศอินเดีย เธอจึงได้ฉายาในทันทีว่า “Queer wayward little Indian girl : นังเด็กหญิงอินเดียสุดประหลาดแสนเอาแต่ใจ” และเป็นที่รู้กันว่าเธอมักจะก่อปัญหาไปทั่ว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอเอาดอกไม้ไปเสียบในวิกของชายชราคนหนึ่งตอนทำพิธีในโบสถ์ และเธอยังเคยแก้ผ้าวิ่งไปตามถนนในหมู่บ้านอีกด้วย ส่วนครูของเธอที่โรงเรียนก็บอกว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ถูกสปอยจนเสียนิสัย
ภาพวาดล้อเลียนของ Lola Montez สมัยเป็นเด็กว่าเธอไม่สามารถเต้นตามจังหวะเพลงได้ (Source: https://historyofyesterday.com)
ในที่สุดปู่ของเธอก็ทนไม่ไหว พอ Eliza อายุได้ 10 ขวบ เธอถูกส่งตัวไปอยู่กับป้าของเธอที่เมือง Sunderland ป้าของเธอเป็นเจ้าของโรงเรียนกินนอนแห่งหนึ่งในเมือง และทุกคนก็หวังว่ากฎระเบียบอันเคร่งครัดของโรงเรียนแห่งนี้ จะช่วยให้เธอกลายมาเป็นกุลสตรีที่ดีได้
และแน่นอนว่าทุกคนคิดผิด ครูของเธอบันทึกไว้ว่า Eliza เป็นคนเอาแต่ใจ ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบใดใด แต่ก็เป็นคนที่โดดเด่นและทะเยอทะยาน และเพียง 1 ปีต่อมา เธอก็ถูกส่งไปยัง Camden Place ที่เมือง Bath เพื่อได้รับการศึกษาที่ “เหมาะสมกับกุลสตรี” มากขึ้น ที่นี่เธอได้เรียนวิชาต่าง ๆ ที่กุลสตรีควรจะได้ร่ำเรียน รวมไปถึงภาษาฝรั่งเศส ซึ่งจะมีประโยชน์มากกับเธอในอนาคต
Camden Place ที่เมือง Bath ประเทศอังกฤษในช่วงปี 1830 (Source: https://www.bathintime.co.uk)
จากหนังสืออัตชีวประวัติของเธอ (ที่เธอเขียนเอง) ที่เมือง Bath นี่เองที่แม่ของเธอกลับมาจากอินเดีย เธอดีใจมากที่ในที่สุดเธอก็ได้เจอแม่ที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบทศวรรษ แต่เมื่อพบหน้ากัน สิ่งที่แม่ของเธอบอกเธอคือ เธอจะต้องแต่งงานกับนายทหารคนหนึ่งที่ประจำการอยู่ที่ประเทศอินเดีย จริง ๆ แล้วเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ปัญหา เพราะเธอก็อายุ 15 ปี แล้ว แต่นายทหารคนนั้นมีอายุมากถึง 64 ปี แถมซ้ำร้ายเขายังเป็นเพื่อนของพ่อเลี้ยงเธออีกต่างหาก
1
ดังนั้นเมื่อ Eliza อายุได้ 16 ปี ในปี 1837 เธอหนีไปอยู่กินกับร้อยโท Thomas James นายทหารอายุ 32 ปีที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากอินเดีย ทั้งคู่แต่งงานกันและเดินทางไปกลับยังเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย เธอวาดฝันไว้ว่าการเดินทางในครั้งนี้จะพาเธอหนีออกจากชีวิตอันแสนน่าเบื่อในอังกฤษ ไปยังดินแดนที่เธอเคยใช้ชีวิตตอนเด็ก เธอจะได้มีอิสระมากขึ้น สามารถทำอะไรก็ได้ที่เธออยากทำ และได้อยู่กินกับสามีที่ไม่ใช่คนแก่หง่อมแบบที่แม่ของเธอต้องการให้แต่งงานด้วย
2
ภาพวาดของ Lola สมัยยังเป็นวัยรุ่น (Source: Wikiwand)
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เธอคิด ความทรงจำเกี่ยวกับอินเดียในวัยเด็กของเธอถูกกลบด้วยเสียงอันวุ่นวาย กลิ่นเหม็นของกองขยะ อากาศร้อนชื้นเหนียวเหนอะหนะ มิหนำซ้ำสามีของเธอยังถูกโยกย้ายให้ไปประจำการในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ทำให้เอาสาวน้อยรักสนุกอย่าง Eliza รู้สึกเบื่อหน่าย จนกระทั่งพอเวลาผ่านไป 5 ปี ทั้งสองก็แยกทางกัน
1
ตอนแรก Eliza หวังว่าจะไปอยู่กับแม่ของเธอในประเทศอินเดีย แต่แม่ของเธอปฏิเสธ เธอจึงตัดสินใจที่จะเดินทางกลับอังกฤษเพื่อไปอยู่กับญาติของฝั่งพ่อเลี้ยง เธอขึ้นเรือเดินสมุทรจากกัลกัตตา เพื่อเดินทางไปยังกรุงลอนดอน ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้จะกินเวลานานถึงเดือนกว่า ๆ เลยทีเดียว
2
เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดียในช่วงปี 1830 (Source: https://journals.openedition.org)
บนเรือเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งนายทหาร นักธุรกิจ เศรษฐี และชนชั้นสูง Eliza ในวัย 20 ปี ที่ยังสวยสะพรั่งเป็นที่ถูกตาต้องใจของหนุ่ม ๆ หลายคนบนเรือ และในที่สุดหนึ่งในนั้นก็มีสัมพันธ์เป็นชู้กับเธอจนได้ ว่ากันว่าทั้งสองไม่ได้ปิดบังเรื่องความสัมพันธ์เลย ผู้โดยสารคนอื่นต่างซุบซิบนินทาถึงเรื่องนี้กันอย่างสนุกปาก
1
และแน่นอนว่าเรื่องซุบซิบนินทา ย่อมเดินทางไวอยู่แล้ว ไม่นาน Thomas James ก็รับรู้เรื่องที่ Eliza คบชู้กับผู้ชายคนนึงบนเรือ ทำให้เขาตัดสินใจฟองหย่าเธอทันที ซึ่งผลของการฟ้องหย่าครั้งนี้คือ ทั้งคู่จะไม่สามารถแต่งงานใหม่ได้ จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเสียชีวิต
3
ชีวิตนางโลม
เมื่อถึงลอนดอน ครอบครัว Craigie เลือกที่ไม่สนใจสาวน้อยใจแตก เพราะตอนนี้เธอได้สร้างความเสื่อมเสียให้กับตระกูลเป็นอย่างมากจากการคบชู้ Eliza ที่ตอนนี้โดนสามีฟ้องหย่าต้องหางานทำเพื่อมาเลี้ยงดูตนเอง ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจใช้เสน่ห์ ความสวย และความสาวที่เธอมี เริ่มทำงานเป็นนักเต้นรำและนักแสดงสมัครเล่น รวมไปถึงอยู่กับผู้ชายมากหน้าหลายตา หรีอพูดง่าย ๆ ก็คือเธอเริ่มขายตัวนั่นเอง ว่ากันว่าหนึ่งในเศรษฐีที่เธอคบหาด้วย เป็นคนที่ส่งเธอไปยังประเทศสเปนเพื่อที่จะไปเรียนรู้วิธีการเต้นรำ เพื่อกลับมาทำอาชีพนักเต้น
1
Lola Montez (Source: Pinterest)
เธอมีโอกาสเรียนรู้ภาษาสเปน วัฒนธรรมสเปน และการเต้นรำแบบสเปน แต่การเรียนรู้ต่าง ๆ ก็เป็นการเรียนรู้แบบผิวเผินเท่านั้น และไม่นานเธอก็เดินทางกลับมายังประเทศอังกฤษเพื่อมาเปิดการแสดง
เธอใช้ชื่อทางการแสดงว่า “Lola Montez : The Spanish Dancer” ซึ่งชื่อใหม่ก็ต้องมาพร้อมกับเรื่องราวใหม่ ๆ เธออ้างว่าเธอเกิดในเมือง Seville ประเทศสเปน เธอเรียนภาษาอังกฤษจากพี่เลี้ยงของเธอ และเธอไม่เคยเห็นกรุงลอนดอนมาก่อน และเธอเคยมาอยู่อังกฤษเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 2-3 เดือนเท่านั้น โชคดีที่ Lola มีผิวค่อนข้างเข้ม ทำให้หลายคนเชื่อในเรื่องราวที่ถูกแต่งขึ้นนี้
Lola Montez : The Spanish Dancer (Source: anothermag.com)
การแสดงครั้งแรกของเธอถูกจัดขึ้นที่กรุงลอนดอน โดยเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแสดงอื่นเท่านั้น ลักษณะคล้าย ๆ กับเป็นการแสดงคั่นกลางของการแสดงใหญ่อีกทีหนึ่งนั่นเอง หลังจากการแสดงจบลง วันรุ่งขึ้นมีบทวิจารณ์เธอในหนังสือพิมพ์ว่า “Lola เป็นผู้หญิงสวย เธอคือตัวแทนความงามของสเปน แต่การเต้นของเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการกระทีบเท้าไปมาเท่านั้น”
2
และไม่นานนักก็เริ่มมีคนจำเธอได้ว่าจริง ๆ แล้ว Lola Montez คือ Eliza ภรรยาของ Thomas James ที่เพิ่งมีเรื่องฟ้องหย่ากันไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยว่ากันว่าหนึ่งในคนที่ออกมาเปิดโปงเธอคือชายคนหนึ่งที่ Lola ไม่รับรักเขานั่นเอง ทำให้อาชีพนักเต้นของเธอในลอนดอนเกิดสะดุดทันที
Lola Montez (Source: Pinterest)
ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจเดินทางไปยังกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน ที่ซึ่งไม่น่าจะมีคนรู้จักเธอ เมื่อเธอเปิดการแสดง ปรากฏว่าการแสดงของเธอได้รับการวิจารณ์ว่า “Lola เป็นคนสวย แต่การเต้นของเธอ ไม่อาจจะนับว่าเป็นการเต้นได้ มันเป็นเพียงแค่การเชื้อเชิญโดยใช้เรือนกายเท่านั้น” ซึ่งถ้าอ่านมาถึงตอนนี้ หลายคนอาจจะพอเดาได้แล้วว่าเธอไม่ได้มีความสามารถด้านการเต้นสักเท่าไรนัก
5
แต่ด้วยเสน่ห์อันล้นเหลือ ทำให้เธอได้มีโอกาสได้แสดงต่อหน้าคนดังหลายคน รวมไปถึงการแสดงต่อหน้าพระพักตร์ของกษัตริย์ Frederick Wilhelm ที่ 4 ของอาณาจักรปรัสเซีย และพระเจ้า Tsar Nicholas ที่ 1 ของรัสเซีย ว่ากันว่าเธอแอบมีความสัมพันธ์แบบลับ ๆ กับทั้งคู่ด้วย
2
กษัตริย์ Frederick Wilhelm ที่ 4 ของอาณาจักรปรัสเซีย ที่มีข่าวว่ามีสัมพันธ์กับ Lola (Source: Wikipedia)
และที่เบอร์ลินนี่เอง ที่เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น ซึ่งจะกลายมาเป็นการกระทำที่เรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของเธอในอนาคต มีอยู่วันหนึ่งในขณะที่กษัตริย์ Wilhelm Frederick กำลังตรวจสอบกองทัพของพระองค์อยู่นั้น Lola ขี่ม้าของเธอเข้ามาในเขตหวงห้าม เธอสั่งให้ทหารที่รักษาการณ์อยู่เปิดทางให้เธอเข้าไป ซึ่งเขาปฏิเสธ เธอจึงตัดสินใจใช้แส้ม้า ฟาดลงไปที่ทหารนั้นอย่างจัง จนเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
2
เหตุการณ์นี้โด่งดังไปทั่วเบอร์ลิน เธอโดนฟ้องในข้อหาทำร้ายร่างกาย จากนั้นเธอออกเดินทางไปยังกรุงวอร์ซอร์ ประเทศโปแลนด์ ที่นี่เธอเริ่มที่จะไปพัวพันกับกลุ่มต่อต้านรัสเซีย ซึ่งตอนนั้นปกครองโปแลนด์อยู่ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตัดสินใจกำจัดเธอด้วยการส่งสายสืบเข้าไปในการแสดงของเธอ เพื่อส่งเสียงโห่ขับไล่เธอเมื่อการแสดงจบลง
Lola Montez พร้อมกับแส้ม้าในมือ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เธอมักจะนำติดตัวเสมอ (Source: Pinterest)
แต่ผลปรากฏคือเหล่าบรรดาคนที่ชื่นชอบเธอไม่ยอม ทำให้เกิดการทะเลาะกันขึ้นทันที และเมื่อ Lola รู้ว่าหัวหน้าตำรวจเป็นผู้ที่ส่งเสียงโห่เธอ เธอก็ประกาศต่อหน้าทุกคนทันทีว่าที่เขาทำเยี่ยงนั้น เพราะเธอไม่ยอมรับรักจากเขา จากนั้นเธอก็เข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่อต้านรัสเซียมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเธอก็ถูกขับไล่ออกจากประเทศในที่สุด
2
สุดท้ายเธอเดินทางมายังเมือง Dresden ที่ซึ่งเธอได้มีโอกาสพบกับชายที่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล เขาคนนั้นมีนามว่า Franz Liszt นักประพันธ์ดนตรีชื่อดังจากฮังการี เธอกลายมาเป็นเมียน้อยของเขา และเขาคือคนที่พาเธอเข้าสู่วงสังคมชั้นสูงของยุโรป
Franz Liszt นักประพันธ์ดนตรีชื่อดังจากฮังการี ที่ทำให้ Lola ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไฮโซของยุโรป (Source: Twitter)
ในปี 1844 เธอเปิดการแสดงที่กรุงปารีสที่ Paris Opera House ซึ่งถือว่ายิ่งใหญ่มาก เพราะโรงละครแห่งนี้ จะรับแต่การแสดงที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ Lola เคยเปิดการแสดงเล็ก ๆ เพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น แถมยังมีแต่การวิจารณ์ในแง่ลบอีกต่างหาก แต่ด้วยเส้นสายของเธอ เธอจึงสามารถเปิดตัวการแสดงของเธอที่นี่ได้ เธอเริ่มเป็นที่รู้จักกันในนาม Lola Montez ไม่มีใครรู้ถึงเบื้องหลังของเธอ ไม่มีใครรู้ว่าเธอเกิดที่ไหน เคยเป็นใครมาก่อน และชื่อ Eliza ก็ถูกลืมเลือนไป ตอนนี้เหลือเพียง Lola Montez นักเต้นระบำสเปนเท่านั้น
1
อย่างไรก็ตามการแสดงครั้งแรกของเธอที่ปารีสไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก เสียงวิจารณ์ก็ยังคงเหมือนเดิมคือ Lola Montez เป็นคนสวย แต่เธอไม่สามารถเต้นได้ และเธอมีประวัติไม่ค่อยดีนัก จากการกระทำต่าง ๆ ของเธอที่ผ่านมาทั้งที่เบอร์ลิน และวอร์ซอร์
1
ภาพวาดล้อเลียนของ Lola Montez ที่แสดงถึงผู้ชมที่ไม่ปลื้มการแสดงของเธอนัก (Source: https://www.factinate.com)
หลังจากการแสดงที่ปารีสเธอเริ่มเดินทางแสดงไปทั่วทวีปยุโรป แต่ไม่นานเธอก็ตัดสินใจที่จะอยู่ที่กรุงปารีส ที่นี่เธอได้รับการต้อนรับเป็นส่วนหนึ่งของวงสังคมของบรรดาศิลปินและผู้มีความรู้ ว่ากันว่าเธอมีสัมพันธ์กับ Alexandre Dumas นักเขียนนวนิยายชื่อดัง เจ้าของผลงานอย่าง The Count of Monte Cristo และ The Three Musketeers
1
Alexandre Dumas นักเขียนชื่อดัง หนึ่งในชายที่มีสัมพันธ์กับ Lola (Source: Wikipedia)
แต่คนที่ทำให้ Lola กลายมาเป็นนักเต้นที่มีชื่อเสียง เห็นจะเป็น Alexander Dujarier เจ้าของหนังสือพิมพ์ที่มียอดพิมพ์มากที่สุดในยุคนั้น และเป็นนักเขียนคอลัมน์วิจารณ์ศิลปะ Lola รู้ว่าเธอจะต้องใช้เสน่ห์ของเธอมัดใจเขาไว้ให้ได้ เพราะถ้าเธอสามารถทำได้ อาชีพนักเต้นของเธอจะต้องได้รับความนิยมอย่างแน่นอน
และด้วยทักษะการยั่วยวนและมารยาต่าง ๆ เธอก็สามารถมัดใจ Dujarier ไว้ได้ ทั้งคู่กลายมาเป็นคู่รักที่ตัวติดกันไปทุกที่ และการแสดงของเธอก็ได้รับความนิยมขึ้นมาในทันที จากบทวิจารณ์ดีดีมากมายที่ออกมาสู่สายตาของชาวปารีส
ภาพวาดของ Lola Montez (Source: https://pixels.com)
แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จบลง Dujarier และ Lola ไปงานเลี้ยงด้วยกันงานหนึ่ง และที่นี่ Dujarier ได้พบกับ Jean-Baptiste Rosemond de Beauvallon ผู้ที่มีปัญหาหนี้สินกับเขา ทั้งสองมีปากเสียงกัน และด้วยความเมามายของทั้งคู่ ทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะตัดสินการทะเลาะกันในครั้งนี้ด้วยการดวลปืน
Lola ตกใจมาก เธอมั่นใจว่า Dujarier จะต้องแพ้อย่างแน่นอนเพราะเขาใช้ปืนไม่เป็น Lola พยายามที่จะสอนเขา แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ ศักดิ์ศรีความเป็นชายคงจะค้ำคอของเขาอยู่ และสุดท้ายเมื่อวันท้าดวลมาถึง Dujarier ก็เพลี่ยงพล้ำ และเสียชีวิตลงในที่สุด
1
การดวลปืนที่ทำให้ Alexandre Dujarier ผู้อุปถัมภ์ของ Lola เสียชีวิต (Source: https://www.imago-images.de)
สู่การเป็นนางสนม
Lola ไม่คิดที่จะเสียใจนาน ในปี 1846 Lola ในวัย 25 ปีตัดสินใจเดินทางไปยังกรุงมิวนิค ราชอาณาจักรบาวาเรีย สถานที่ที่จะเปลี่ยนชีวิตเธอจากหน้ามือเป็นหลังมืออีกครั้ง
เธอได้มีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงสังคมไฮโซของมิวนิค ซึ่งหนึ่งในคนที่เธอได้มีโอกาสพบคือกษัตริย์ Ludwig ที่ 1 แห่งบาวาเรีย ซึ่งตอนนั้นพระองค์อายุมากถึง 60 ปี และสิ่งที่พระองค์โปรดที่สุดในเวลานั้นคือวัฒนธรรมสเปน และผู้หญิง ซึ่ง Lola Montez ลงล็อคทุกอย่างที่พระองค์ปรารถนาพอดี
กษัตริย์ Ludwig ที่ 1 แห่งบาวาเรีย ผู้หลงใหลในวัฒนธรรมสเปน และผู้หญิง (Source: eefshp.org)
ว่ากันว่าตอนที่ทั้งสองพบกันครั้งแรกนั้น พระองค์ชี้ไปที่หน้าอกของเธอแล้วถามเธอต่อหน้าธารกำนัลว่า “Nature or Art? : ธรรมชาติหรือศิลปะ” ถ้าเป็นผู้หญิงทั่วไปคงจะอาย หรือรู้สึกไม่พอใจกับคำถามที่แสนหยาบคายเช่นนี้ แต่ไม่ใช่ Lola สิ่งที่เธอทำคือ เธอคว้ากรรไกรที่วางอยู่แถวนั้น แล้วตัดเสื้อผ้าของเธอออก เผยหน้าอกให้พระองค์ได้เห็นกับตาตนเอง พร้อมกับถามว่า “พระองค์คิดว่าอย่างไรหละเพคะ” ไม่น่าแปลกใจที่พระองค์หลงเสน่ห์สาวน้อยนักเต้นระบำจากสเปนทันที และไม่นานเธอก็ได้มาเป็นพระสนมคนโปรด
2
กษัตริย์ Ludwig สั่งให้มีการวาดภาพของเธอไว้ใน Gallery of Beauty ห้องที่เก็บรวบรวมภาพวาดของหญิงที่สวยที่สุดในยุโรปไว้ พระองค์ซื้อของขวัญและที่ดินในชื่อของเธอ และให้เงินเธอใช้มากถึง 10,000 ฟลอรีนต่อปี ซึ่งมากกว่าคนที่ทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีซึ่งได้เงินเพียงแค่ 6,000 ฟลอรีนต่อปีเท่านั้น
3
ภาพล้อเลียนทางการเมืองของกษัตริย์ Ludwig ที่ 1 และ Lola Montez (Source: http://humor-dance.raftis.org)
ส่วน Lola ก็มอบของขวัญชื้นหนึ่งให้กับพระองค์เช่นกัน สิ่งนั้นคือรูปหล่อปูนปลาสเตอร์รูปเท้าของเธอนั่นเอง เพราะเธอบอกว่ากษัตริย์ Ludwig หลงใหลในเท้าของเธอเป็นอย่างมาก จริง ๆ แล้วถ้าลองมานึกกันดี ๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการให้รูปปั้นเท้ากับกษัตริย์ถือว่าเป็นสิ่งที่หลู่เกียรติเป็นอย่างมาก
แต่พระองค์ไม่โกรธ พระองค์เขียนจดหมายตอบกลับ Lola ทันที พร้อมกับบอกว่าพระองค์ชอบของขวัญชิ้นนี้มาก และพระองค์ได้พรมจูบรูปหล่อเท้านั้นไปเป็นล้าน ๆ ครั้ง และส่งรูปปั้นปูนปลาสเตอร์รูปมือของพระองค์ไปให้กับเธอเป็นการตอบแทน น้าเสียดายที่ในปัจจุบันรูปปั้นทั้งสองนั้นสูยหายไปแล้ว
3
Lola Montez และกษัตริย์ Ludwig ที่ 1 แห่งบาวาเรีย (Source: https://www.bavariannews.com)
จริง ๆ แล้วถ้าเธอทำตัวเงียบ ๆ สงบเสงี่ยม ชีวิตของเธออาจจะมีความสุขตลอดไปก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่ Lola อิทธิพลของเธอเริ่มส่งผลต่อการตัดสินใจของกษัตริย์ Ludwig เธอมักจะคุยโวโอ้อวดอยู่เสมอว่าเธอรู้เรื่องต่าง ๆ ของรัฐบาลก่อนใคร เธอมักจะจัดงานเลี้ยงที่มีบรรดาชายหนุ่มมากหน้าหลายตามาเป็นแขกเหรื่ออยู่เป็นประจำ และเธอก็ยังคงหลับนอนกับชายคนอื่นอยู่ ถ้าหากว่าเธอพึงพอใจในตัวเขา
1
ว่ากันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งปล่อยให้เธอรอเก้อ เธอจึงตัดสินใจเดินทางไปยังอพาร์ทเมนท์ที่เขาอาศัยอยู่ พร้อมกับกดกริ่งและเคาะประตูห้องทุกห้องที่อพาร์ทเมนต์หลังนั้น พร้อมกับประจานชายคนนั้นไปทั่ว นอกจากนี้เธอยังมีชื่อเสียงในเรื่องการทะเลาะเบาะแว้ง มีหลายครั้งที่เธอทะเลาะกับเหล่าบรรดาตำรวจ และเจ้าหน้าที่รัฐบาล แต่สุดท้ายความเป็นสนมคนโปรดก็ทำให้เธอรอดตัวมาได้ทุกครั้ง
2
Lola Montez (Source: Pinterest)
นอกจากนี้ เธอยังมีกลุ่ม Bodyguard ส่วนตัว ซึ่งประกอบไปด้วยเด็กหนุ่ม ๆ และตำรวจหลายนายที่หลงใหลในตัวเธอ พวกเขาจะคอยปกป้องเธอเวลาเธอเดินทางไปไหนมาไหน
แต่สิ่งที่สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบาวาเรียมากที่สุดเห็นจะเป็นการที่เธอเริ่มเข้ามามีอิทธิพลทางการเมือง โดยเธอมีจุดยืนอย่างชัดเจนว่าเธอเป็นพวกไม่เอาศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิค เธอเป็นพวกเสรีนิยม และไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ถือว่า “รับไม่ได้” อย่างมากในอาณาจักรที่ทุกอย่างทั้งกฎหมายและจารีตต่าง ๆ ถูกกำกับด้วยศาสนา เธอสามารถควบคุมการตัดสินใจของกษัตริย์ได้ ถึงขนาดที่ว่าพระองค์ถึงกับไล่รัฐมนตรีคนหนึ่งนามว่า Karl Von Abel ออก เพราะเขาคือผู้นำในการคัดค้านไม่ให้พระองค์มอบสัญชาติบาวาเรียและตำแหน่ง Countess (คุณหญิง) ให้กับ Lola
3
ส่วนพสกนิกรชาวบาวาเรียคนอื่นต่างรับไม่ได้ที่อยู่ ๆ กษัตริย์ของพวกเขาจะเอานักเต้นระบำ ที่มีแต่ข่าวเสีย ๆ หาย ๆ มามีตำแหน่งเป็นคุณหญิง แต่สุดท้ายในวันที่ 25 สิงหาคม 1847 เธอก็ได้รับการพระราชทานตำแหน่ง Countess of Landsfeld และจากตำแหน่งนี้ ทำให้เธอได้รับเงินประจำปีจำนวนมหาศาลอีกด้วย คณะรัฐบาลของพระองค์คัดค้านการพระราชทานตำแหน่งในครั้งนี้ด้วยการลาออกยกชุด ซึ่งทุกคนถูกแทนที่ด้วยคนหัวสมัยใหม่ แต่ไร้ความสามารถที่ Lola มีส่วนร่วมในการคัดเลือกด้วยตัวเธอเอง เรียกได้ว่าอิทธิพลของเธอก้าวไกลไปเกินคำว่าสนมธรรมดา ๆ แล้ว
2
ภาพล้อเลียนทางการเมืองตอนที่กษัตริย์ Ludwig โปรโมท Lola ขึ้นมารับตำแหน่ง Countess of Landsfeld (Source: http://humor-dance.raftis.org)
อีกกลุ่มคนที่ไม่พอใจเหตุการณ์เหล่านี้คือเหล่าบรรดานักศึกษาที่มหาวิทยาลัยมิวนิค พวกเขาแสดงความไม่เห็นด้วยด้วยการประท้วง และก่อจลาจล Lola ผู้ซึ่งรำคาญนักศึกษาเหล่านี้ที่บังอาจมาต่อต้านเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พยายามบอกให้กษัตริย์ Ludwig สั่งปิดมหาวิทยาลัยซะ ซึ่งในที่สุดพระองค์ก็ยอมทำตาม และนี่ก็คือฟางเส้นสุดท้ายที่พสกนิกรชาวมิวนิคจะยอม
1
ภาพล้อเลียนทางการเมืองถึง Lola ที่กำลังถือร่มที่เธอมักใช้ทำร้ายผู้คน และกษัตริย์ Ludwig ที่ 1 ที่เป็นเหมือนสุนัขของเธอ (Source: https://allthatsinteresting.com)
ในเดือนกุมภาพันธ์ 1848 ประชาชนชาวมิวนิคกว่า 1000 คนออกมาเดินประท้วง พร้อมกับลากตัว Lola และขับไล่เธอออกไปจากมิวนิค กษัตริย์ Ludwig พยายามที่จะออกคำสั่งไปยังหัวหน้ากองทัพให้นำทหารออกมากำจัดบรรดาผู้ประท้วง ซึ่งพระองค์ได้รับคำตอบว่า “ถ้าพระองค์ยืนยันที่จะทำเช่นนั้น หม่อมฉันจะเดินไปห้องข้าง ๆ แล้วฆ่าตัวตายซะ”
1
ในเดือนมีนาคม 1848 หลังจากแรงกดดันจากทุกฝ่าย กษัตริย์ Ludwig สั่งเปิดมหาวิทยาลัยขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งการประกาศสละราชบังลังก์ของพระองค์ โดยโอรสของพระองค์ มกุฎราชกุมาร Maximillian ที่ 2 ขึ้นครองราชย์แทน กษัตริย์ที่เคยได้รับความนิยมอย่างมากจากพสกนิกรของพระองค์ ต้องมาปิดฉากการครองราชย์อย่าง
น่าอนาถ เพียงเพราะอิทธิพลและความทะเยอทะยานของสตรีคนหนึ่ง
ภาพล้อเลียนทางการเมือง ตอนที่ Lola ถูกขับไล่ออกจากมิวนิค (Source: http://humor-dance.raftis.org)
เมื่อผู้อุปถัมภ์ของเธอหมดอำนาจ อำนาจของเธอก็หมดลงเช่นกัน เธอต้องลี้ภัยไปยังสวิสเซอร์แลนด์ ที่ที่เธอรออดีตกษัตริย์ Ludwig ให้มาพบเธอ แต่ ณ เวลานั้นอาณาจักรของพระองค์อยู่ในความวุ่นวาย ประกอบกับพระองค์อาจจะเริ่มคิดได้แล้วว่าจริง ๆ แล้ว Lola อาจจะไม่ใช่สตรีที่เหมาะสมกับพระองค์นัก และสุดท้ายทั้งสองก็เพียงแต่เขียนจดหมายโต้ตอบกันไปมาเท่านั้น
ถึงเวลาที่เธอต้องตัดสินใจว่าจะจัดการชีวิตตัวเองต่อไปอย่างไร ตอนนี้เธออายุ 27 ปี เธอแต่งงาน หย่า เป็นเมียน้อย และทำให้กษัตริย์คนหนึ่งต้องสละบัลลังก์มาแล้ว เธอตัดสินใจเดินทางไปยังกรุงลอนดอนในปี 1848 ที่ซึ่งเธอได้พบกับทหารหนุ่มชาวอังกฤษอายุ 21 ปี นามว่า Trafford Heald ผู้ที่เพิ่งได้รับมรดกก้อนโตมาเมื่อไม่นานมานี้ และทั้งคู่ตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน
Lola Montez หลังจากต้องลี้ภัยออกจากมิวนิค (Source: https://pixels.com)
เมื่อเรื่องนี้ถึงหูของอดีตกษัตริย์ พระองค์โกรธมาก และตัดสินใจหยุดจ่ายค่าเลี้ยงดู Lola ทันที มิหนำซ้ำครอบครัวของ Heald ก็ยังจองล้างจองผลาญเธออย่างไม่จบสิ้น พร้อมฟ้องร้องเธอด้วยข้อหา Bigamy เพราะจริง ๆ แล้วตอนนั้น Lola ฝ่าฝืนคำสั่งศาลที่บอกว่าเธอห้ามแต่งงาน ถ้าสามีเก่าของเธอยังไม่เสียชีวิตนั่นเอง
1
ทั้งคู่ตัดสินใจหนีคดีฟ้องร้องไปประเทศสเปน แต่ภายในเวลา 2 ปี นิสัยเอาแต่ใจและขี้โมโหของเธอ ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องพังทลายลง ทั้งคู่แยกทางกัน และมีบันทึกครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับ Heald คือเขาเสียชีวิตลงในปี 1856 จากการจมน้ำ
1
Lola Montez ในวัย 27 ปี (Source: https://allthatsinteresting.com)
ชีวิตใหม่ในอเมริกา
หลังความสัมพันธ์กับ Heald จบลง ในปี 1851 Lola ตัดสินใจเดินทางไปเริ่มชีวิตใหม่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และจนถึงปี 1853 เป็นเวลา 2 ปี เธอทำงานในฐานะนักเต้นและนักแสดงในฝั่งตะวันออกของประเทศ หนึ่งในการแสดงของเธอมีชื่อว่า “Lola Montez in Bavaria” ซึ่งก็คงจะไม่ต้องใช้ความสามารถมากนัก เพราะเธอก็แสดงเป็นตัวของเธอเอง เนื้อหาก็เป็นเนื้อเรื่องของตัวเธอที่นำแนวคิดเรื่องเสรีนิยมเข้าไปเผยแพร่ในบาวาเรีย ซึ่งการแสดงของเธอไม่ได้เป็นเพียงการแสดงคั่นการแสดงหลักอีกต่อไป การแสดงของเธอคือการแสดงที่มีเธอเป็นตัวเอกจริง ๆ
ภาพโปรโมทการแสดงของ Lola Montez ในอเมิรกา (Source: Pinterest)
และทุกอย่างก็เหมือนเดิมอีกครั้ง เมื่อนักวิจารณ์จากหนังสือพิมพ์ New York Times เขียนวิจารณ์เธอเอาไว้ ซึ่งพอสรุปเป็นใจความได้ว่า “การแสดงของเธอนัันน่าผิดหวังเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าชีวิตการแสดงของเธอประสบความสำเร็จในอเมริกา ก็แปลว่ามาตรฐานทางรสนิยมของพวกเราต่ำเหลือเกิน” แต่ถึงแม้คำวิจารณ์จะย่ำแย่เพียงใด เธอก็ยังคงออกสายเดินทางเปิดการแสดงอยู่จนกระทั่งที่เมืองสุดท้ายที่เมือง New Orleans ที่นี่หนึ่งในคนรับใช้ของเธอตัดสินใจที่จะลาออก Lola และสาวน้อยคนนั้นทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนเหตุการณ์บานปลาย จนต้องมีการเรียกตำรวจมาระงับเหตุในครั้งนี้
2
ภาพของ Lola Montez กับหัวหน้าชนเผ่าอินเดียนแดง เป็นหนึ่งในภาพที่เธอใช้โปรโมทการแสดงของเธอในอเมริกา (Source: Wikipedia)
เมื่อตำรวจมาถึง เธอคว้าขวดแก้วที่มีฉลากเขียนว่า “ยาพิษ” แล้วกระดกของเหลวในนั้นลงคอทันที ทุกคนรวมถึงตำรวจตกใจมากและรีบพาเธอส่งโรงพยาบาล แต่แน่นอนว่าเธอไม่ตาย ของเหลวในขวดนั้นคงเป็นแค่น้ำธรรมดา ๆ ซึ่งคงเดาได้ไม่ยากว่าที่เธอทำลงไปนั้น ก็เพียงเพื่อต้เองการที่จะสร้างดราม่าเท่านั้น
1
ในเดือนพฤษภาคมปี 1853 เธอตัดสินใจเดินทางไปยังแคลิฟอร์เนีย ทางฝั่งตะวันตกของประเทศอเมริกาบ้าง ที่ซึ่งการแสดงของเธอประสบความสำเร็จพอสมควร โดยที่นี่เองที่การแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอคือ Spider Dance ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
2
ภาพวาดล้อเลียน Spider Dance ของ Lola (Source: redbubble.com)
วิธีการเต้น Spider dance คือ เธอจะสวมกระโปรงเหนือเข่า ซึ่งถือว่าค่อนข้างโป๊ในสมัยนั้น เมื่อเพลงบรรเลงขึ้น เธอจะยกกระโปรงขึ้นและสะบัดกระโปรงไปมา เหมือนกับว่ามีแมงมุมกำลังไต่ใต้กระโปรงของเธออยู่ จากนั้นเพลงจะเร่งจังหวะมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็จะสะบัดกระโปรงเร็วขึ้น และสูงขึ้น เรื่องของเรื่องก็คือเธอจะไม่ใส่อะไรเลยภายใต้กระโปรงนั้้น ดังนั้นเมื่อกระโปรงถูกยกสูงขึ้น อะไรต่อมิอะไรที่อยู่ภายใต้กระโปรงก็เปิดเผยต่อหน้าผู้ชมทั้งหมดนั่นเอง และการแสดงก็จะจบลงด้วยการที่เธอกระทืบแมงมุมในจินตนาการของเธอทิ้ง
4
ถ้าใครอยากดูตัวอย่างการเต้น Spider Dance ก็สามารถดูได้ที่นี่นะครับ
2
และไม่นานหลังจากย้ายมาที่แคลิฟอร์เนีย เธอได้แต่งงานกับนักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นนามว่า Patrick Hull และย้ายไปอยู่ที่เมือง Grass Valley แต่ไม่นานนัก ชีวิตคู่ของทั้งสองก็ไปไม่รอดอีก ทั้งคู่หย่าขาดจากกันโดยมีมูลเหตุมาจากการที่ Lola มีชู้เป็นนายแพทย์คนหนึ่ง ซึ่งหลังจากคดีฟ้องหย่าไม่นาน นายแพทย์คนนั้นก็เสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรมปริศนา
1
ภาพของ Lola Montez และ Patrick Hull ทั้งสองนั่งอยู่บนรถม้า (Source: https://pixels.com)
Lola ยังคงอาศัยอยู่ใน Grass Valley ต่อไป ว่ากันว่าเธอเริ่มสนใจในเรื่องของจิตวิญญาณ และเริ่มที่จะศึกษาเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง นอกจากนี้เธอยังได้มีโอกาสพบกับเพื่อนบ้านของเธอ หญิงสาวที่มีนามว่า Lotta Crabtree ผู้ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการเป็นนักแสดงจาก Lola ทั้งสองมักจะไปมาหาสู่กัน และ Lola ก็สอนวิธีการเต้นรำและการแสดงให้กับเธอ จนกระทั่งเธอได้มาเป็นนักแสดงจริง ๆ ในเวลาต่อมา
บ้านของ Lola Montez ใน Grass Valley ที่ปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน (Source: https://www.cardcow.com)
เดินทางสู่ดินแดนจิงโจ้
สองปีต่อมา ในปี 1855 เธอออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อไปเปิดการแสดงให้กับนักแสวงโชคที่เดินทางไปขุดทองที่ประเทศออสเตรเลีย
1
ที่ Theatre Royal ที่กรุงเมลเบิร์น เธอแสดงการเต้น Spider Dance อันแสนโด่งดังต่อหน้าผู้ชมมากมาย ซึ่งมีการบันทึกไว้ว่า “วิธีการเต้นของเธอคือ เธอจะถกกระโปรงของเธอขึ้น ซึ่งจะเผยให้เห็นส่วนล่างของเธอซึ่งไม่สวมใส่อะไรเลย การเต้นของเธอนั้นขัดต่อหลักจารีตและศีลธรรมอันดีทุกข้อ” การแสดงของเธอทำให้บรรดาชนชั้นสูงในเมลเบิร์นโกรธมาก และพวกเขาก็พากัน Boycott โรงละคร Theatre Royal แห่งนี้ ถึงขนาดที่โรงละครแห่งนี้แทบล้มละลายเลยทีเดียว
ข่าวหนังสือพิมพ์โปรโมทการแสดงของ Lola Montez ที่ Theatre Royale ในกรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย (Source: https://performingartscollection.wordpress.com)
แต่เรื่องอื้อฉาวของเธอก็ยังไม่หมด เธอเดินทางไปเปิดการแสดงต่อไปเรื่อย ๆ จนมาถึงที่เมือง Ballarat และหลังจากที่เธอได้มีโอกาสอ่านคำวิจารณ์การแสดงในหนังสือพิมพ์ท้องถื่นชื่อว่า The Ballarat Times ที่วิจารณ์การแสดงของเธอไปในทางเสียหาย วันหนึ่งเธอได้ยินมาว่าบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเดินทางมาที่โรงแรมที่เธอพักอยู่พอดี เธอเดินลงไปยังล้อบบี้โรงแรมพร้อมกับแส้ม้าในมือ และเมื่อเธอพบกับเขา ทั้งสองมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง และใช้แส้ฟาดกันไปมา จนทำให้คนรอบตัวทั้งสองต้องรีบมาห้ามทั้งคู่เป็นการด่วน
Lola Montez มีชื่อเสียงมากเรื่องการที่เธอมักจะใช้แส้ม้าฟาดไปยังคนที่วิจารณ์เธอในทางเสียหาย (Source: Pinterest)
เธอเดินสายเปิดการแสดงไปยังเมืองขุดทองต่าง ๆ และทุกครั้งเธอจะบอกให้เหล่าบรรดานักขุดทองให้โยนเหรียญทองขึ้นมาบนเวที แทนเงินเพื่อเป็นค่าทิปของเธอ ในปี 1856 เธอเปิดการแสดงที่เมือง Castlemaine ต่อหน้านักขุดทองกว่า 400 คน สมาชิกสภาเมืองถึงกับยอมเลิกการประชุมให้เร็วขึ้น เพื่อมาชมการแสดงของเธอ และหลังจากที่การแสดง Spider Dance ของเธอจบลง เธอได้รับเสียงปรบมืออย่างล้นหลาม เหมือนการแสดงของเธอในเมืองนี้จะไปได้ด้วยดี แต่ปรากฎว่าเริ่มมีคนในโรงละครตะโกนแซวเธอ หรือล้อเลียนเธอเสีย ๆ หาย ๆ จึงทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้น และนั่นก็ถือว่าเป็นการแสดงครั้งท้าย ๆ ของเธอในประเทศออสเตรเลีย
1
เมื่อเธอตัดสินใจเดินทางกลับอเมริกา เธอทิ้งทุกอย่างไว้ที่ออสเตรเลีย รวมไปถึงคณะเดินทางของเธอด้วย ทุกคนต่างตกตะลึงกับการกระทำนี้เพราะตามสัญญาแล้ว ลูกจ้างของเธอทุกคนจะได้รับเงินค่าตั๋วเพื่อเดินทางกลับอเมริกาหลังการแสดงที่ออสเตรเลียจบลง
1
แต่เธอก็อ้างว่า ชื่อจริงของเธอไม่ใช่ Lola Montez ดังนั้นชื่อในสัญญาจึงไม่มีความหมายอะไร และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำเช่นนี้ สุดท้ายทีมงานของเธอก็ถูกทิ้งให้ดูแลตัวเอง ส่วนเธอก็ขึ้นเรือเพื่อกลับไปยังอเมริกา
1
ชีวิตบั้นปลาย
เธอเดินทางกลับมายังซาน ฟรานซิสโก ในปี 1856 ในระหว่างการเดินทางนั้น ผู้จัดการของเธอเกิดเมา และพลัดตกลงไปจากเรือ ยังความเสียใจมาสู่ Lola เป็นอย่างมาก
Lola Montez (Source: Pinterest)
เมื่อกลับมาถึงอเมริกา เธอพยายามเปิดการแสดงตามเมืองต่าง ๆ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ท่าเต้น Spider Dance อันโด่งดัง อาจจะทำให้ผู้ชมตะลึงเมื่อแรกเห็นก็จริง แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ และไม่ได้มีเสน่ห์ถึงขนาดที่คนจะต้องกลับไปดูซ้ำอีกครั้ง
1
ในปี 1857 เหมือนกับว่าเธอสามารถนึกอะไรได้ เธอเลิกเต้น เธอเลิกแสดง และหันมาเป็นผู้บรรยายด้านจริยธรรมให้กับบาทหลวงคนหนึ่งแทน และใช้ชีวิตที่เหลือของเธอในงานการกุศลเพื่อช่วยเหลือเพื่อนสตรีด้วยกัน ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาทแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่แน่ว่าเธออาจจะรู้สึก “ปลง” กับชีวิตแล้วก็เป็นได้ นอกจากนี้เธอยังเขียนอัตชีวประวัติของตนเองอีกด้วย โดยในหนังสือจะมีรายละเอียดถึงชีวิตรักของเธอ รวมถึงคู่มือการดูแลตัวเองของผู้หญิง
3
หนังสือแนะนำความงามให้กับผู้หญิงเขียนโดย Lola Montez ที่ได้รับการตีพิมพ์มาจนถึงวันนี้ (Source: https://www.vialibri.net)
ในเดือนพฤศจิกายน 1859 หนังสือพิมพ์ Philadelphia Press กล่าวถึง Lola Montez ว่า “Lola ใช้ชีวิตเงียบ ๆ อยู่ใจกลางเมือง และไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนัก เพื่อนศิลปินของเธออาจจะแวะมาหาเธอบ้างเป็นครั้งคราว และแม้ว่าเธอมักจะพูดถึงความรู้สึกและชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันของเธออย่างสวยงาม สุดท้ายหลังจากที่บทสนทนาเริ่มดำเนินไป เมื่อเธอเริ่มจุดบุหรี่สูบ เธอก็จะเริ่มพูดถึงความหลังและอดีตอันสวยงามของเธอ แต่สิ่งที่เธอไม่เคยพูดถึงเลยคือเรื่องของอนาคต”
1
ในปี 1860 Lola เริ่มมีอาการป่วยจากโรคซิฟิลิส ร่างกายเธออ่อนแอและทรุดลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งสุดท้ายเธอก็เสียชีวิตลงในวันที่ 17 มกราคม 1861 ด้วยวัยเพียง 39 ปีเท่านั้น ปิดฉากชีวิตอันแสนโลดโผนของเธอ ที่เคยเป็นทั้งนักเต้นที่ไม่ประสบความสำเร็จ นางโลม นางสนมกษัตริย์ จนกระทั่งมาประสบความสำเร็จในฐานะนักเต้น และสุดท้ายคือการทำงานการกุศล ร่างของเธอถูกฝังไว้ที่สุสานที่เมืองบรูคลิน รัฐนิวยอร์ค มาจนถึงทุกวันนี้
ป้ายหลุมศพของ Lola Montez ที่มีสองด้าน ด้านหนึ่งคือชื่อ Lola Montez ส่วนอีกด้านหนึ่งคือชื่อเดิมของเธอ (Source: Wikipedia)
บทสรุป
1
เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องราวของ Lola Montez จะว่าไปเธอก็คือผู้หญิงอีกคนที่กล้าแหวกขนบธรรมเนียมที่ดีของหญิงในสมัยนั้น เธอเป็นคนที่รักอิสระ ชอบทำอะไรตามใจตนเอง และเธอก็รู้ว่าเธอสามารถใช้เสน่ห์ของเธอให้เป็นประโยชน์ได้
3
เธอเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งกับผู้หญิงที่ประนามหยามเหยียดเธอว่า "ผู้หญิงที่มัวแต่ทำงานบ้านงก ๆ ทั้งวันก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นขี้ผึ้ง และสิ่งนี้นี่แหละที่จะทำให้พวกผู้ชายดูถูกพวกเรา พวกคุณก็แค่อิจฉาที่ฉันสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจ เป็นอิสระ และสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้"
1
และเธอก็ทำได้ตามนั้นจริง ๆ ประวัติศาสตร์มักจะบอกว่าเธอคือนางโลม และนักเต้นที่ไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าเรามองกลับกัน เธอสามารถทำให้กษัตริย์ต้องถึงกับสละราชบัลลังก์ จะมีผู้หญิงในประวัติศาสตร์ซักกี่คนที่สามารถทำเช่นนั้นได้ เธอได้ออกเดินสายเปิดการแสดงไปทั่วโลก ที่แม้จะได้รับการวิจารณ์ในแง่ลบ แต่ก็สามารถสร้างรายได้มากมายให้กับเธอ และหลังจากเธอเสียชีวิตไป เรื่องราวของเธอยังถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และละคอนเวทีอีกด้วย
2
ภาพยนตร์อัตชีวประวัติของ Lola Montez ออกฉายในปี 1955 (Source: Wikipedia)
ครั้งหน้า Kang's Journal จะพาทุกคนไปท่องโลกประวัติศาสตร์จากเรื่องราวของคนสำคัญคนไหนอีก อย่าลืมติดตามกันนะครับ :)
1
Podcast:
- Stuff You Missed in History Class "Lola Montez"
- Irish History Podcast "The Scandalous Life of Lola Montez"

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา