25 มิ.ย. 2021 เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์
Mata Hari : ดาวยั่ว โสเภณี หรือสายลับ
ในโลกของสายลับ อาจจะมีหลายอย่างที่คุณคาดไม่ถึง คนบางคนที่คุณเดินสวนบนถนน นั่งข้าง ๆ คุณบนรถไฟฟ้า หรือนั่งทานอาหารโต๊ะข้าง ๆ กันในร้านอาหาร อาจจะเป็นสายลับขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง ที่กำลังเฝ้าสังเกตการณ์เป้าหมาย เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่างก็เป็นได้
2
และหนึ่งในความสามารถที่จำเป็นที่สุดของการเป็นสายลับก็เห็นจะหนีไม่พ้นความ “เนียน” เนียนไปกับสภาพแวดล้อมรอบตัว เนียนในการพูดคุยเพื่อล้วงข้อมูล หรือเนียนในการใช้เสน่ห์บางอย่างเพื่อที่จะนำมาซึ่งความลับที่มีประโยชน์ และหนึ่งในอาชีพที่น่าจะทำให้ “ล้วง” ความลับได้เนียนที่สุดก็คือดาวยั่ว หรือในสมัยก่อนก็คือนักเต้นระบำ (Dancer) นั่นเอง
2
เรื่องราวที่ Kang’s Journal จะขอนำเสนอเป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอาชีพเป็นนักเต้นระบำแบบ Exotic หรือพูดง่าย ๆ ก็คือดาวยั่ว แต่เบื้องหลังลีลาการเต้นอันเร่าร้อนของเธอ คือการเป็นสายลับ แต่เธอเป็นสายลับที่ประสบความสำเร็จหรือไม่ เธอจับพลัดจับผลู่มาเป็นสายลับได้ยังไง และสุดท้ายเธอจะโดนจับได้หรือไม่ หรือจริง ๆ แล้วเธอเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่กล้าแหวกขนบธรรมเนียมของ “สตรีที่ดี” ในยุคนั้น และทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอ เป็นสิ่งที่เธอต้องจ่ายให้กับการใช้ชีวิตแบบอิสระที่เธอต้องการ
2
ไปติดตามเรื่องราวของเธอกันครับ Mata Hari : ดาวยั่ว โสเภณี หรือสายลับ
Mata Hari : ดาวยั่ว โสเภณี หรือสายลับ (Source: https://g.cz)
ชีวิตวัยเด็ก
Mata Hari มีชื่อเดิมว่า Margaretha Geertruida Zelle เธอเกิดในวันที่ 7 สิงหาคม 1876 ที่เมือง Leeuwarden ประเทศเนเธอร์แลนด์ พ่อของเธอมีชื่อว่า Adam Zelle เป็นเจ้าของร้านขายหมวก และร่ำรวยจากการลงทุนในธุรกิจน้ำมัน ส่วนแม่ของเธอคือ Antje Van De Meulen เธอเป็นพี่สาวคนโตของครอบครัว และมีน้องชาย 3 คน
2
Margaretha เติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะ ในภาพคือพ่อของเธอซื้อรถเทียมลาให้เธอเป็นของขวัญ (Source: https://www.ft.com)
เนื่องจากพ่อของเธอเป็นคนร่ำรวย เธอและพี่น้องจึงมีโอกาสเข้ารับการศึกษาอย่างดีจนกระทั่งอายุ 13 ปี ตอนอยู่โรงเรียนนั้น เธอเป็นเด็กสาวที่โดดเด่นกว่าคนอื่น ด้วยหน้าตาที่ดูแปลกจากชาวยุโรปทั่วไป จนเพื่อน ๆ ของเธอให้ฉายาเธอว่า “ดอกกล้วยไม้ ในดงหมู่ดอกแดนดิไลออน” แต่โชคร้ายที่พ่อของเธอต้องมาล้มละลายในปี 1889
5
Margaretha (คนยืนขวาสุด) และเพื่อนรวมชั้นเรียนของเธอ (Source: https://oldspirituals.com/tag/dutch-east-indies)
จากชีวิตที่ร่ำรวยสุขสบาย Margaretha ต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากจนลง พ่อแม่ของเธอเริ่มทะเลาะกัน จนสุดท้ายแม่ของเธอก็ตัดสินใจหย่ากับพ่อของเธอ และเสียชีวิตในปี 1891
พ่อของเธอแต่งงานใหม่ในปี 1893 กับหญิงสาวนามว่า Susanna ซึ่งแม่ใหม่ของเธอกับ Magaretha เองนั้น ไม่ถูกกันและมักจะทะเลาะกันเป็นประจำ สุดท้ายเธอจึงถูกส่งให้ไปอยู่กับพ่อทูนหัวของเธอที่เมืองเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า Sneek ต่อมาเธอเข้าศึกษาต่อเพื่อที่จะเรียนเป็นครูโรงเรียนอนุบาล และได้รับการบรรจุให้เข้าทำงานที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง
ด้วยความที่ Margaretha เป็นคนสวย มีสเน่ห์ และกำลังอยู่ในวัยแรกแย้มพอดี ทำให้อาจารย์ใหญ่ประจำโรงเรียนเริ่มเข้ามาสนใจเธอ จีบเธอ และเริ่มลวนลามเธอ จนสุดท้าย Margaretha ก็ทนไม่ไหว (ว่ากันว่าเธออาจจะโดนอาจารย์ใหญ่ข่มขืนด้วยซ้ำ) จนสุดท้ายเธอถูกส่งตัวไปอยู่กับลุงของเธอที่กรุง Hague เมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งของประเทศเนเธอร์แลนด์
1
กรุง Hague ประเทศเนเธอร์แลนด์ ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เมืองที่ Mata Hari ใช้ชีวิตวัยรุ่นตอนต้น (Source: https://www.christies.com)
เดินทางสู่ดินแดนอันไกลโพ้น
และแล้วเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาลก็เดินทางมาถึง ด้วยอายุ 18 ปี Margaretha อยู่ในวัยสาวสะพรั่งและพร้อมที่จะแต่งงาน ประกอบกับตอนนั้นร้อยเอก Rudolf MacLeod ซึ่งทำงานให้กับบริษัท Dutch East Indies กำลังประกาศหาภรรยาในหน้าหนังสือพิมพ์พอดี
1
ร้อยเอก Rudolf MacLeod (Source: Pinterest)
บริษัท Dutch East Indies เป็นบริษัทของเนเธอร์แลนด์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อค้าขายกับต่างชาติ โดยมีเหตุผลแอบแฝงคือการล่าอาณานิคม และหนึ่งในอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ในสมัยนั้นคืออินโดนีเซีย หมู่เกาะแห่งเครื่องเทศ ที่ทำกำไรมหาศาลให้กับรัฐบาลเนเธอร์แลนด์
1
เหล่าบรรดาทหารที่ทำงานให้กับบริษัท Dutch East Indies ไม่มีเวลาจะหาภรรยาเนื่องจากต้องไปประจำอยู่ในดินแดนอันไกลโพ้น ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะลงโฆษณาหาภรรยาในหนังสือพิมพ์แทน สาวคนไหนที่ต้องการหาสามีที่มีตำแหน่งและหน้าที่การงานที่ดี มีใจรักในการผจญภัย และพร้อมที่จะเดินทางไปยังประเทศที่แทบไม่มีใครรู้จักก็สามารถตอบรับโฆษณาเหล่านี้ได้
1
แผนที่ของดินแดน Dutch East Indies (Source: Pinterest)
Margaretha และ MacLeod แต่งงานกันที่กรุง Amsterdam ในปี 1895 หลังจากที่พบกันเพียง 6 วัน ด้วยอายุที่ต่างกันถึง 21 ปี และเนื่องจากครอบครัวของ MacLeod เป็นตระกูลขุนนางเก่า ทำให้ Margaretha ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไฮโซของเนเธอร์แลนด์ไปโดยปริยาย และทำให้ฐานะทางการเงินของเธอกลับมามั่นคงอีกครั้ง
1
Margaretha และ MacLeod แต่งงานกันด้วยอายุที่ต่างกันถึง 21 ปี (Source: https://curioushistorian.com)
ในเดือนพฤษภาคม 1897 เธอและสามีขึ้นเรือเพื่อเดินทางไปยังเมือง Malang ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางด้านตะวันออกของเกาะชวา พร้อมกับความหวังของสาวน้อย Margaretha ว่าดินแดนแสนอัศจรรย์อันไกลโพ้น จะทำให้ชีวิตอันแสนน่าเบื่อของเธอในเนเธอร์แลนด์ กลับมามีสีสันอีกครั้ง
1
คณะเดินทางไปยัง Dutch East Indies โดยมีคู่สามีภรรยา MacLeod (ล่างซ้ายสุด และบนสองจากซ้าย) เดินทางไปด้วย (Source: Wikipedia)
ชีวิตติดเกาะ
แต่ชีวิตบนเกาะชวาไม่ได้เป็นไปตามที่เธอหวัง แม้ว่าทั้งสองจะมีลูกด้วยกัน 2 คน คือลูกชายชื่อว่า Norman-John MacLeod และลูกสาวชื่อว่า Louise Jeanne MacLeod ชีวิตการแต่งงานของทั้งคู่ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง Margaretha พบว่าสามีของเธอเป็นพวกติดเหล้า และมักจะทำร้ายเธออยู่เสมอ เขามักจะโทษเธอว่าเป็นสาเหตุที่เขาไม่ได้รับการโปรโมทให้เลื่อนตำแหน่ง และเขายังเป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจ เขามีผู้หญิงอื่นหรือพูดง่าย ๆ ก็คือมีเมียน้อยอย่างเปิดเผย เพราะในขณะนั้นเป็นเรื่องปกติของวัฒนธรรมอินโดนีเซียที่ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคน
3
Louise Jeanne MacLeod ลูกสาวของทั้งคู่ทางด้านซ้าย และ Norman-John MacLeod และ MacLoed ทางด้านขวา (Source: https://oldspirituals.com)
ในเมื่อไม่มีความสุขกับชีวิตแต่งงาน Margaretha จึงตัดสินใจแยกทางกับ MacLeod โดยเธอหนีไปอยู่กับเจ้าหน้าที่ของบริษัท Dutch East Indies อีกคนหนึ่ง ในตอนนี้เองที่เธอเริ่มศึกษาวัฒนธรรมของอินโดนีเซียอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องของภาษาและการเต้น ถึงขนาดที่เธอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคณะเต้นรำของคนพื้นเมืองเลยทีเดียว
2
ในตอนนี้นี่เองที่คณะเต้นรำของเธอให้ชื่อในการแสดงของเธอว่า “Mata Hari” ซึ่งแปลว่า “Eye of the day: ดวงตาแห่งวัน” ซึ่งสื่อถึงพระอาทิตย์ในภาษามาเลย์
Margaretha เริ่มใช้เวลาที่ไม่ได้อยู่กับสามี ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย (Source: Pinterest)
เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้าย Margaretha หรือ Mata Hari ก็ย้ายกลับไปอยู่กับสามีของเธอตามคำขอร้องของ MacLeod แต่คำสัญญาของ MacLeod ที่บอกว่าจะพยายามทำตัวเป็นสามีที่ดีขึ้น กลับไม่เป็นไปตามนั้น เขายังคงติดเหล้าและทุบตีเธออยู่เป็นประจำ ทำให้ Mata Hari หมกมุ่นอยู่กับการศึกษาวัฒนธรรมอินโดนีเซียเข้าไปอีก เธอเรียนภาษาและฝึกการเต้นรำไปเรื่อย ๆ
3
อย่างไรก็ตาม ในปี 1899 ลูกทั้งสองของเธอมีอาการป่วยกะทันหัน โดยแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากโรคซิฟิลิสที่ทั้งสองได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ของตนเอง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากว่าเมียเก็บคนใดคนหนึ่งของเขาเป็นพาหะนำโรคนี้มาให้กับ MacLeod บางเรื่องก็บอกว่า เนื่องจาก MacLeod เป็นคนที่มีศัตรูค่อนข้างมาก และมักจะชอบทำร้ายคนรับใช้ชาวอินโดนีเซียของตนเป็นประจำ จึงเป็นไปได้ว่าลูกของทั้งคู่อาจจะโดนวางยาพิษจากคนรับใช้ก็เป็นได้
2
Mata Hari ในวัยสาว (Source: https://nation.com.pk)
สุดท้ายแล้ว Jeanne ลูกสาวของทั้งคู่กลายเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต ส่วนลูกชาย Normal-John นั่นเสียชีวิตด้วยอายุเพียง 2 ขวบ การตายของลูกชายเพียงคนเดียวของทั้งคู่ นำความเสียใจมาสู่ Mata Hari เป็นอย่างมาก ความสัมพันธ์ที่เลวร้ายระหว่าง Mata Hari และ MacLeod ที่แย่อยู่แล้ว ก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก จนกระทั่งเมื่อทั้งคู่กลับมาที่ Amsterdam ทั้งคู่ก็หย่าขาดจากกันในเดือนสิงหาคม 1902 และการหย่าก็สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในปี 1906
5
ศาลได้ตัดสินให้ Jeanne อยู่ในความดูแลของ Mata Hari โดย MacLeod มีหน้าที่ในการจ่ายค่าเลี้ยงดูทุกเดือน ซึ่งเขาก็ไม่เคยจ่ายเลย
5
เวลาผ่านไปไม่นาน มีอยู่วันหนึ่ง MacLeod มาเยี่ยมลูกสาวของตนเอง แล้วตัดสินใจพาตัวเธอกลับไปกับเขา Mata Hari โกรธมาก แต่เธอก็ไม่มีทรัพย์สินเงินทองที่จะมาดำเนินคดีกับสามีเก่าของเธอ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจให้ Jeanne ไปอยู่ในความดูแลของ MacLeod ซึ่งเธอให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า “ถึงเขาจะเป็นสามีที่ไม่ดี แต่เขาก็เป็นพ่อที่ดี” และสุดท้าย Jeanne ก็เสียชีวิตลงด้วยอายุเพียง 21 ปีในเวลาต่อมา
1
Rudolf MacLeod และลูกสาว Louise Jeanne MacLeod (Source: https://twitter.com)
สู่แสงสีศิวิไลซ์
ในปี 1903 Mata Hari ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ปารีสโดยแทบไม่มีทรัพย์สินติดตัวเลย เธอพยายามหางานเป็นนางแบบ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนสุดท้ายเธอเข้าทำงานกับคณะละครสัตว์ โดยมีตำแหน่งเป็นหญิงสาวขี่ม้า และใช้ชื่อในการแสดงว่า Lady MacLeod ซึ่งทำให้ตระกูล MacLeod ของสามีเธอไม่พอใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เธอยังเริ่มที่จะทำอาชีพเป็นนักเต้นระบำอีกด้วย โดยเธอประยุกต์การเต้นแบบอินโดนีเซีย ที่ต้องมีการส่ายเอว สะโพก และท้องที่มีเอกลักษณ์ มาผสมผสานกับการเต้นแบบยุโรป เพื่อให้ตนเองแตกต่างไปจากนักเต้นคนอื่น ๆ
3
Mata Hari ตอนที่เดินทางมายังปารีสใหม่ ๆ (Source: Pinterest)
จากการเต้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยั่วยวนไม่เหมือนใครนี้เอง ที่ทำให้เธอเริ่มมีความโดดเด่นและชื่อเสียงขึ้นมา โดยในปี 1904 จากฐานะ Dancer หรือนักเต้นระบำธรรมดา เธอกลายมาเป็น Exotic Dancer หรือนักเต้นระบำแบบตะวันออก ซึ่งจริง ๆ แล้วก็คือนักเต้นระบำแบบยั่วยวน หรือดาวยั่วนั่นเอง
ต้องบอกก่อนว่าในตอนนั้นมีนักเต้นที่มีชื่อเสียงมากมายที่มีการนำการเต้นจากทางฝั่งตะวันออกไม่ว่าจะเป็นระบำหน้าท้องอินเดีย ระบำจากตุรกี หรือ อียิปต์ เข้ามาผสมผสานกับการเต้นแบบยุโรป ซึ่งถือว่าเป็นจุดกำเนิดของการเต้นแบบ Modern Dance หรือการเต้นแบบร่วมสมัยในปัจจุบัน ซึ่ง Mata Hari ถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้ว เธอจะไม่ได้มีความสามารถและความรู้ในการเต้นมากขนาดนั้น ก็ได้ประโยชน์จากเทรนด์การเต้นนี้อย่างมาก
3
หนึ่งในภาพที่โด่งดังที่สุดของ Mata Hari ในชุดเครื่องประดับแบบชวา (Source: bbc)
และการที่จะมีชื่อเสียงได้ ก็ต้องมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ นักเต้นหลายคนในสมัยนั้นต่างคิดค้นอุปโลกน์เรื่องราวของตนเองขึ้นมา เพื่อให้ตัวเองดูลึกลับ น่าหลงใหล และ Mata Hari ก็คือหนึ่งในนั้น เพราะแค่คำว่า Mata Hari ก็ทำให้ชายทั่วยุโรปต่างสงสัยกันแล้วว่าเธอมาจากที่ไหนกันแน่
2
Mata Hari ที่รังสรรเรื่องราวของเธอว่า เธอคือเจ้าหญิงชวาที่สืบเชื้อสายมาจากนักบวชชาวฮินดูอันสูงส่ง (Source: http://www.helmut-schmidt-online.de)
Mata Hari และผู้จัดการของเธอพยายามรังสรรเรื่องราวของเธอว่า เธอคือเจ้าหญิงจากชวา เป็นลูกสาวที่สืบเชื้อสายมาจากนักบวชชาวฮินดูอันสูงส่ง และเธอได้รับการฝึกในศิลปะการร่ายรำของฮินดูเพื่อบูชาทวยเทพตั้งแต่เด็ก ซึ่งการที่เธอสามารถพูดภาษาชวาได้ และมีความรู้เรื่องวัฒนธรรมอินโดนีเซีย ประกอบกับในตอนนั้น ไม่มีใครรู้จักดินแดนอินโดนีเซียเท่าไรนัก (บริษัท Dutch East Indies มีชื่อเสียงแค่ในประเทศเนเธอร์แลนด์เท่านั้น) ตบท้ายด้วยหน้าตาที่ไม่เหมือนคนยุโรปทั่วไปของเธอ ทำให้เรื่องราวของเธอยิ่งน่าเชื่อถือเข้าไปใหญ่
2
เธอเริ่มเปิดตัวในฐานะนักเต้นรำแบบ Exotic อย่างเป็นทางการในวันที่ 13 มีนาคม 1905 ที่ Musee Guimet สถานที่แสดงงานศิลปะชั้นนำของปารีส ในวันนั้นเธอเปิดตัวด้วยการเต้นแบบยั่วยวน ที่ทำให้เธอดังเป็นพลุแตกภายในคืนเดียว
4
Mata Hari กับการแสดงอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเธอที่ Musee Guimet (Source: Pinterest)
การเต้นที่เป็น Signature ของเธอคือเธอจะแต่งตัวเหมือนเป็นเจ้าหญิงจากดินแดนชวาอันลี้ลับ จากนั้นเธอจะค่อย ๆ เปลื้องผ้าที่คลุมตัวเธออยู่ออกทีละชิ้น ๆ จนกระทั่งเหลือแต่เพียงชุดชั้นในตัวจิ๋วที่ทำจากอัญมณี ที่ปิดเพียงทรวงอกของเธอ และเครื่องประดับหัวบางชิ้นเท่านั้น ในตอนแรก ๆ เธอใส่ Body Stocking หรือถุงน่องที่คลุมร่างกาย และมีสีเหมือนกับผิวร่างกายของเธอ ซึ่งหลังจากที่เธอเปิดการแสดงไปได้ซักพักหนึ่ง เธอก็เลิกใส่ และเปิดเผยผิวกายที่แท้จริงของเธอแทน
1
Mata Hari ในชุดที่เธอสวมใส่เพื่อขึ้นแสดง (Source: https://historyofyesterday.com)
ว่ากันว่าสิ่งที่ทำให้การแสดงของ Mata Hari ประสบความสำเร็จนั้นเป็นเพราะว่าการแสดงของเธอเป็นการยกระดับ Exotic Dance หรือการเต้นระบำที่เน้นความยั่วยวน ให้ดูมีคลาสและรสนิยม ดูเป็นศิลปะมากกว่าการแสดง ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าเกลียดหรือเป็นสิ่งที่ผู้หญิง "ไร้ศีลธรรม" (โสเภณี) เท่านั้นที่จะทำกัน การเต้นของเธอดูมีรูปแบบ และเอกลักษณ์ที่ต้องได้รับการฝึกฝน ไม่ใช่เป็นเพียงการเปลื้องผ้าธรรมดา ๆ (เพราะไม่มีใครรู้มาก่อนว่าจริง ๆ แล้วการเต้นรำแบบชวาเป็นยังไง ก็เลยคิดว่าสิ่งที่เธอทำคือการเต้นที่ถูกต้องแล้วนั่นเอง) ประกอบกับเรื่องราวเบื้องหลังที่ดูลึกลับ แต่น่าเชื่อถือ และนิสัยของเธอที่เป็นคนเปิดเผย ชอบหว่านเสน่ห์ ถ้าใช้ภาษาง่าย ๆ ก็คือเซ็กซี่ขี้เล่น ส่งผลให้นักข่าวทั่วยุโรปต่างพากันเดินทางมายังปารีสเพื่อมาชมการแสดงของเธอ
4
Mata Hari มักจะสวมเครื่องประดับแบบตะวันออกขึ้นแสดงเสมอ (Source: vintage.es)
นักข่าวหลายคนชื่นชมถึงความแปลกใหม่ และเสน่ห์อันยั่วยวนยากจะต้านทานของเธอ ส่งผลให้ Mata Hari มีโอกาสเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วยุโรปมากมายเพื่อเปิดการแสดง หลายครั้งที่เธอมีโอกาสแสดงต่อหน้านักการเมือง เศรษฐี รวมไปถึงต่อหน้าพระพักตร์ของเชท่อพระวงศ์หลายคน เวลาเธอไปตามงานปาร์ตี้ในสวน เธอก็จะพันตัวด้วยผ้าบาง ๆ แล้วขี่ม้าสีขาวเข้ามา สร้างเสียงฮือฮาในหมู่ผู้มางานเลี้ยงเป็นอย่างมาก และไม่นานเธอก็ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมชั้นสูงของปารีสอย่างรวดเร็ว
3
ถ้าการเต้นทำให้เธอมีชื่อเสียง ผู้มีอิทธิพลที่มาดูเธอร่ายรำก็คือคนที่ทำให้เธอร่ำรวย เธอมีสัมพันธ์กับนักการเมืองและผู้มีอิทธิพลมากมาย เธอได้มีโอกาสอยู่ในโรงแรมชั้นสูง ซื้อเสื้อผ้าหรูหรา เครื่องประดับราคาแพง ทานอาหารในร้านอาหารระดับ 5 ดาว ทุกอย่างในชีวิตของเธอดูจะไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว ค่าตัวที่สูงที่สุดที่เธอได้รับตอนเปิดแสดงที่ The Olympia โรงละคอนของปารีสนั้นสูงถึง 10,000 ฟรังหรือประมาณ 50,000 ดอลล่าร์เลยทีเดียว
3
หนึ่งในภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงของ Mata Hari (Source: https://historyofyesterday.com)
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้ Mata Hari มีชื่อเสียงโด่งดังถึงขีดสุดถึงขนาดที่มีชื่อของเธอบนกล่องขนม มีโปสการ์ดรูปเธอวางขายอยู่ทั่วกรุงปารีส มีคำพูดหนึ่งที่มีชื่อเสียงของเธอคือ “ฉันอยากจะมีชีวิตที่มีสีสัน เหมือนดั่งผีเสื้อในแสงอาทิตย์” ซึ่งในตอนนี้เธอก็ทำได้จริง ๆ เธอคือดอกกล้วยไม้แสนแปลกตา ในดงหมู่นักเต้นระบำธรรมดา ๆ ทั่วยุโรป
1
นอกจากนี้เธอยังมักจะเป็นแบบถ่ายภาพให้กับศิลปินมากมาย โดยภาพของเธอนั้นมักจะใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นหรือบางทีก็เปลื้องหมดเลย และภาพของเธอก็ได้รับการตีพิมพ์กระจายไปทั่วทวีปยุโรป และไปไกลถึงอเมริกา ยิ่งทำให้เธอมีชื่อเสียงในระดับสากล แต่สิ่งที่กลับมาทำร้ายเธอคือ MacLeod ใช้รูปเหล่านี้เป็นข้ออ้างที่จะกล่าวหาเธอว่าเธอไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอในการที่จะเป็นแม่คนอีกต่อไป
2
หนึ่งในภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงของ Mata Hari (Source: https://historyofyesterday.com)
อย่างไรก็ตาม ในปี 1910 เริ่มมีนักเต้นรำที่เริ่มเลียนแบบการร่ายรำของ Mata Hari ทำให้การเต้นของเธอเริ่มที่จะ “เกร่อ” หาชมได้ง่าย และนักวิจารณ์หลายคนเริ่มมองว่าสิ่งที่เธอทำนั้นไม่ได้มีคุณค่าทางศิลปะ และเธอเป็นเพียงนักเต้นเปลื้องผ้าคนหนึ่งแค่นั้นเอง
1
ชีวิตนักเต้นของเธอเริ่มตกต่ำลงในปี 1912 หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมชีวิตในฐานะนักเต้นของเธอค่อนข้างสั้น เพราะปกติอาชีพนี้จะมีอายุงานอย่างน้อย 10-15 ปี แต่ของเธอมีเพียง 7 ปีเท่านั้น ซึ่งเหตุผลเป็นเพราะว่าเธอเริ่มต้นอาชีพนักเต้นของเธอด้วยอายุ 26 ปี ซึ่งถือว่ามากสำหรับอาชีพนี้
2
อีกหนึ่งในภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงของ Mata Hari (Source: https://www.etsy.com)
สุดท้ายแล้วน้ำหนักของเธอก็เริ่มเพิ่มขึ้นจนกระทั่งการเต้นของเธอไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป เธอขึ้นเวทีในฐานะนักเต้นครั้งสุดท้ายในวันที่ 13 มีนาคม 1915 แต่ความนิยมของเธอในฐานะนักเต้นที่หมดไป ไม่ได้หมายความว่าชีวิตสังคมของเธอจะหมดไปด้วย เพราะพอถึงตอนนั้นเธอมีชื่อเสียงในฐานะเป็น Courtesan แล้ว
1
คำว่า Courtesan ในภาษาไทยแปลตรง ๆ ว่าโสเภณี แต่จะเป็นโสเภณีชั้นสูง ที่จะมีลูกค้าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง เศรษฐีผู้มั่งคั่ง หรือผู้มีอิทธิพลเท่านั้น ซึ่ง Mata Hari ไม่ได้มีชื่อเสียงในด้านความสวย แต่สิ่งที่เธอมีชื่อเสียงคือทักษะการยั่วยวน และความแปลกของเธอมากกว่า หลายคนมองว่าเธอคือศิลปินที่มีจิตใจอิสระ และใช้ชีวิตแหวกขนบของผู้หญิงทั่วไป โดยไม่สนใจว่าใครจะว่าอะไร
4
Mata Hari กับหนึ่งในชุดที่เธอใช้ขึ้นแสดง (Source: https://historyofyesterday.com)
แต่แล้วความสัมพันธ์ของเธอกับผู้มีอิทธิพลจากหลายประเทศที่หลายคนมองว่าน่าจะเป็นเรื่องดี กลับทำให้เธอถูกมองว่าเป็นผู้หญิงสำส่อน ที่อาจจะกำลังพยายามล้วงความลับบางอย่างจากคนที่เธอมีสัมพันธ์ด้วย และสิ่งนี้เองที่จะกลับมาทำร้ายเธอในอนาคต เพราะตอนนี้ไอของสงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังลอยอบอวลอยู่ทั่วยุโรปแล้ว
4
เมื่อการแสดงของเธอหมดความนิยม เธอก็มีชื่อเสียงในฐานะโสเภณีชั้นสูง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (Source: https://medium.com)
ชีวิตสายลับ
ก่อนสงครามเริ่มต้นไม่นาน Mata Hari ได้รับข้อเสนอให้เดินทางยังเปิดการแสดงที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน ในตอนนั้นชีวิตนักเต้นของเธอกำลังมาถึงบั้นปลายเต็มทีแล้ว เธอจึงตกลงรับข้อเสนอนั้นทันที
1
เธอโดยสารรถไฟจากปารีสสู่กรุงเบอร์ลิน พร้อมกระเป๋าและทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่เธอมี เพราะในเมื่อการแสดงที่เบอร์ลินอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของเธอ เธอก็จะต้องแสดงอย่างสุดฝีมือ แต่ในขณะที่เธอเดินทางผ่านพรมแดนเข้าสู่เยอรมัน เธอเริ่มสังเกตว่ามีทหารมากมายกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังพรมแดนฝรั่งเศส เธอพอรู้มาบ้างว่ามีการสังหารมกุฎราชกุมารของอาณาจักรออสโตร-ฮังการี แต่ในตอนนั้นการสังหารราชวงศ์ก็ดูจะเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ไม่ได้น่าวิตกอะไร
2
เหตุการณ์สังหารมกุฎราชกุมาร Franz Ferdinand ที่เป็นชนวนเหตุของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 (Source: https://traderlife.co.uk)
สิ่งที่เธอไม่รู้คือในตอนนั้น เยอรมันเตรียมจะประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสแล้ว เมื่อเธอเดินทางมาถึงเบอร์ลิน เธอเข้าพักในโรงแรมและรอวันที่เธอจะได้ขึ้นแสดง ซึ่งวันนั้นไม่เคยมาถึง ผู้ว่าจ้างเธอบอกให้เธอรีบหนีจากเบอร์ลินกลับไปยังเนเธอร์แลนด์ บ้านเกิดของเธอให้เร็วที่สุดเพื่อภัยหนีสงคราม เพราะเยอรมันได้ประกาศสงครามกับฝรั่งเศสเป็นที่เรียบร้อยแล้วในเดือนสิงหาคม 1915 สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังจะอุบัติขึ้นแล้ว
3
เธอต้องเดินทางอย่างรวดเร็วจนแทบไม่มีเวลา เงิน เสื้อผ้า และของมีค่าทุกชิ้นถูกทิ้งไว้ที่เบอร์ลินพร้อมคำสัญญาว่าสิ่งของทุกอย่างจะถูกส่งตามมาในภายหลัง
1
Mata Hari (Source: http://www.helmut-schmidt-online.de)
ต้องขอกล่าวก่อนว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศเนเธอร์แลนด์บ้านเกิดของ Mata Hari เป็นประเทศที่วางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าข้างกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอสามารถเดินทางข้ามประเทศได้อย่างอิสระ การเดินทางไปมาหาสู่กับผู้ทรงอิทธิพล และคนในรัฐบาลมากมายสามารถทำได้อย่างเสรี
Mata Hari เดินทางกลับมาอยู่ที่กรุงเฮก โดยที่นี่เธอใช้ชีวิตเป็นเมียเก็บของเศรษฐีคนหนึ่ง จริง ๆ แล้ว ถ้าเธอตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ ต่อไป ทุกอย่างก็อาจจะจบลงได้อย่างสวยงาม แต่เพราะ Mata Hari คือ Mata Hari ความรักอิสระ และต้องการเป็นดาวเด่นของเธอไม่เคยจางหายไป
เธอออกเดทกับเจ้าหน้าที่ของสถานกงศุลเยอรมัน ประจำประเทศเนเธอร์แลนด์นามว่า Karl Kroemer ซึ่งภายใต้หน้ากากนักการฑูต เขาคือสายลับให้กับองค์ Kaiser หรือกษัตริย์ของเยอรมัน Kroemer เห็นประโยชน์ของ Mata Hari ที่สามารถเดินทางข้ามพรมแดนได้อย่างอิสระ และรู้จักคนมีอิทธิพลในรัฐบาลของฝรั่งเศสมากมาย ดังนั้น Kroemer จึงตัดสินใจลองเลียบเคียง Mata Hari ให้มาเป็นสายลับให้กับรัฐบาลเยอรมันโดยมีค่าตอบแทนสูงถึง 20,000 ฟรังค์
1
ในตอนนี้เองที่เรื่องราวเริ่มมีความสับสน แต่เรื่องที่คนยอมรับมากที่สุดคือ เธอรับเงิน 20,000 ฟรังค์ และตกปากรับคำที่จะเป็นสายลับให้กับเยอรมัน แต่จริง ๆ แล้วที่เธอทำอย่างนั้นก็เพื่อที่จะรับเงิน 20,000 ฟรังค์เท่านั้น เพราะข้าวของและสมบัติของเธอที่อยู่ที่เยอรมันทั้งหมดไม่เคยถูกส่งมาให้เธอเลย ส่วนข่าวสารที่เธอมอบให้กับทางการเยอรมันก็มีแค่ข่าวซุบซิบนินทาตามร้านเสริมสวย เช่นใครนอนกับใคร อะไรแบบนี้เท่านั้น ไม่ได้มีข้อมูลที่มีประโยชน์ทางด้านการทหารเลย
3
เมื่อเธอตกปากรับคำ เธอเดินทางกลับไปยังฝรั่งเศสในเดือนมกราคม 1916 และเธอก็กลับมาใช้ชีวิตสวยหรูกับผู้มีอิทธิพลของฝรั่งเศสอีกครั้ง และในช่วงนี้เองที่เธอเริ่มสานสัมพันธ์กับนักบินหนุ่มชาวรัสเซียวัย 23 ปีนามว่า Vladimir de Masloff เขาเป็นทหารจากรัสเซียที่มาช่วยฝรั่งเศสร่วมรบ
1
Vladimir de Masloff ทหารอากาศจากรัสเซียที่มาร่วมรบกับฝรั่งเศส และเป็นคนรักของ Mata Hari (Source: Pinterest)
แต่ไม่นานหลังจากพบกัน ก็เกิดเรื่องร้ายขึ้น เครื่องบินของ Masloff โดนฝ่ายเยอรมันยิงตก และถึงแม้ว่าเขาจะรอดชีวิต แต่เขาก็ต้องสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างไป Mata Hari พยายามที่จะขอร้องทางฝรั่งเศสให้เธอเข้าเยี่ยมคนรักของเธอที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่แนวหน้า แต่คำขอของเธอได้รับการปฏิเสธเนื่องจากว่าเธอมาจากประเทศที่วางตัวเป็นกลาง และประชาชนที่มาจากประเทศที่วางตัวเป็นกลาง จะไม่สามารถเดินทางไปยังแนวหน้าได้
1
Mata Hari รู้สึกผิดหวัง และพยายามทุกวิถีทางที่จะไปหา Masloff ให้ได้ จนในที่สุด เธอก็ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของหน่วยข่าวกรองฝรั่งเศสนามว่าร้อยโท Georges Ladoux ผ่านทางคนรักเก่าของเธอ โดยเขาเสนอให้เธอเป็นสายลับให้กับฝรั่งเศส เพื่อแลกกับการที่จะได้พบกับคนรัก พร้อมกับสินน้ำใจอีก 1 ล้านฟรังค์ Ladoux ก็อยากจะใช้ประโยชน์จากความสามารถในการเดินทางอย่างเสรีของเธอเช่นกัน และยิ่งกว่านั้นเธอยังเคยแสดงต่อหน้าพระพักตร์ของมกุฎราชกุมาร Wilhelm โอรสองค์โตของกษัตริย์ Kaiser Wilhelm ที่ 2 แห่งจักรวรรดิเยอรมัน ศัตรูของฝรั่งเศสอีกด้วย ดังนั้นเธอจีงน่าจะสามารถล้วงความลับจากเขาได้
2
ร้อยโท Georges Ladoux ที่เสนอให้่ Mata Hari เป็นสาบลับให้กับฝรั่งเศส (Source: https://www.thetimes.co.uk)
แน่นอนว่า Mata Hari ตกปากรับคำ ถ้าเธอทำสำเร็จเธอจะได้ทั้งคนรัก และเงินจำนวนมากที่จะทำให้เธอสามารถอยู่อย่างสุขสบายไปได้ทั้งชีวิต และนี่เองที่ทำให้เธอกลายเป็นสายลับสองหน้าไปในทันที
ภารกิจของ Mata Hari คือ เธอจะต้องเข้าไปตีสนิทกับองค์มกุฎราชกุมารด้วยวิธีอะไรก็แล้วแต่ แล้วล้วงความลับทางการทหารของเยอรมันมาให้ได้มากที่สุด แผนนี้ดูเหมือนจะไม่ซับซ้อนมาก แต่มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่งที่ฝรั่งเศสไม่รู้คือ องค์มกุฎราชกุมาร Wilhelm ที่เยอรมันประกาศว่าคือผู้คุมกองทัพทั้งหมดในสงครามครั้งนี้ เป็นเพียงเรื่องหลอกลวงที่เยอรมันคิดขึ้นมา เพื่อทำให้ภาพลักษณ์ของพระองค์ดูดีเท่านั้น จริง ๆ แล้วพระองค์เป็น Playboy ที่มีนิสัยเกียจคร้าน ติดเหล้า และเกลียดระบอบกษัตริย์เป็นอย่างมาก การเข้าไปตีสนิทกับพระองค์นอกจากจะไม่ได้ความลับทางการทหารอะไรแล้ว จะทำให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ ด้วยซ้ำ
2
องค์มกุฎราชกุมาร Wilhelm ของเยอรมัน (Source: Wikipedia)
ในเดือนพฤศจิกายน 1916 เธอเดินทางด้วยเรือกลไฟจากสเปนโดยมีจุดหมายปลายทางที่เยอรมัน อย่างไรก็ตามตอนที่เรือเทียบท่าที่อังกฤษ เธอถูกจับกุมทันทีที่เดินลงจากเรือ และถูกนำตัวมายังกรุงลอนดอน เพื่อทำการสอบสวนโดยเจ้าหน้าของหน่วย MI5 ซึ่งเป็นหน่วยต่อต้านการจารกรรม มีการบันทึกไว้ว่าเธอยอมรับว่าเธอทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองของฝรั่งเศสจริง และหลังจากการเจรจาอยู่พักหนึ่ง เธอก็ได้รับการปล่อยตัว
1
Mata Hari ไม่รอช้า เธอรีบปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทันที ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน เธอได้พบกับนายทหารชั้นสูงของเยอรมันนามว่าพันตรี Arnold Kelle และหลังจากใช้เวลาบนเตียงด้วยกัน 3 วัน เธอได้ขอร้องให้เขาจัดการให้เธอได้พบกับองค์มกุฎราชกุมาร Wilhelm
2
พันตรี Arnold Kelle เจ้าหน้าที่เยอรมันที่ Mata Hari พยายามล้วงความลับ (Source: http://donhollway.com/matahari)
แต่สิ่งที่ Mata Hari ค้นพบนั้นยิ่งใหญ่กว่ามาก เพราะ Kelle เผลอบอกเธอว่า กองทัพของเยอรมันมีกำหนดที่จะขึ้นฝั่งเพื่อบุกโมร๊อคโค ดินแดนในอาณัติของฝรั่งเศสในเร็ววัน Mata Hari รีบส่งข่าวนี้ไปยังฝรั่งเศสทันที แต่ทางนั้นกลับตอบเธอกลับมาว่าให้เธอหาข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้ เช่น รายละเอียด เวลา และสถานที่ขึ้นฝั่ง
2
Mata Hari ต้องใช้ความสามารถของเธอ พยายามล้วงข้อมูลเพิ่มเติมจาก Kelle อีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ต้องพยายามส่งข่าวคราวจากฝรั่งเศสให้กับ Kelle เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการช่วยให้เธอได้พบกับองค์มกุฎราชกุมาร หารู้ไม่ว่าเรื่องการบุกโมร๊อคโคเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงที่ Kelle แต่งขึ้นมา
2
หนึ่งในหนังสือเดินทางของ Mata Hari (Source: https://www.passport-collector.com)
จริง ๆ แล้วทางเยอรมันสงสัยในตัว Mata Hari มาซักพักหนึ่งแล้ว เลยลอง
แอบบอกข่าวปลอมนี้ให้กับเธอ และการที่เธอพยายามสอบถามข้อมูลเชิงลึกก็เหมือนเป็นการเปิดเผยกลาย ๆ ว่าเธออาจจะทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองของฝรั่งเศสด้วย
ด้วยสาเหตุนี้เองที่ในเดือนมกราคม 1917 พันตรี Kelle ตัดสินใจส่งรหัสลับผ่านทางสัญญาณวิทยุไปยังกรุงเบอร์ลิน โดยมีเนื้อหาว่า เขาได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างมากจากสายลับ “H-21” พร้อมกับบรรยายลักษณะท่าทางของสายลับ ซึ่งจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก Mata Hari เอง และหน่วยข่าวกรองของฝรั่งเศสก็สามารถดักจับข้อความเหล่านั้นได้ ทำให้พวกเขารู้ทันทีว่า Mata Hari กำลังทรยศพวกเขาซะแล้ว
2
แต่เรื่องที่น่าสนใจคือ รหัสลับที่พันตรี Kelle ส่งออกไปนั้นเป็นรหัสลับเก่า ที่ทางการเยอรมันรู้อยู่แล้วว่าฝรั่งเศสสามารถอดได้ ดังนั้นการส่งรหัสลับครั้งนี้คือแผนการทำลาย Mata Hari ของทางเยอรมันนั่นเอง ซึ่งในตอนหลังมีการเปิดเผยว่าหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของเยอรมันไม่พอใจการทำงานของเธอ เพราะข่าวที่เธอส่งให้ทางเยอรมันนั้นมีแต่ข่าวซุบซิบไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ทางการทหารใดใดทั้งสิ้น ทางเยอรมันเลยต้องการที่จะกำจัดเธอทิ้งเสีย
2
จดหมายต่าง ๆ ของ Mata Hari ที่ปัจจุบันได้รับการประมูลไป เป็นจดหมายที่เธอเขียนโต้ตอบกับคนรักคนหนึ่งของเธอ (Source: https://www.dutchnews.nl)
การไต่สวน
แน่นอนว่าหลักฐานแค่นี้คงไม่เพียงพอที่ทางการฝรั่งเศสจะสามารถกล่าวหาเธอได้ พวกเขาต้องการหลักฐานที่แน่นหนาพอที่จะพิสูจน์ว่าสายลับ H-21 คือ Mata Hari พวกเขาเลยตัดสินใจป้อนข้อมูลให้เธอโดยบอกว่า ในขณะนี้ทางการฝรั่งเศสกำลังสงสัยในตัวสายลับเบลเยี่ยม 6 คน ซึ่ง 5 ใน 6 คนนั้นทางฝรั่งเศสสงสัยว่าทำงานให้กับเยอรมัน และ 1 ใน 6 คนนั้นทางฝรั่งเศสงสัยว่าจะทำงานเป็นสายลับสองหน้า
สองสัปดาห์ต่อมา หลังจากออกจากปารีส สายลับเบลเยี่ยมคนที่ 6 ที่โดนกล่าวหาว่าเป็นสายลับสองหน้าถูกประหารชีวิตโดยกองทัพเยอรมัน นี่คือข้อพิสูจน์ชั้นดีที่จะบอกว่า Mata Hari ทำงานเป็นสายลับสองหน้าจริง ๆ
1
Mata Hari ก่อนที่จะถูกจับกุมในปี 1917 (Source: https://www.thehistorypress.co.uk)
สองเดือนถัดมา ในเดือนกุมภาพันธ์ 1917 ท่ามกลางฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ Mata Hari ถูกจับที่ Hotel Elysee ใจกลางกรุงปารีส เธอโดนจับเข้าสถานทัณฑสถานหญิง Saint Lazare และโดนไต่สวนในเดือนกรกฎาคม ปีเดียวกัน โดยข้อกล่าวหาของเธอคือ เธอทำงานเป็นสายลับสองหน้า และความลับที่เธอเปิดเผยให้กับเยอรมันนนั้นส่งผลให้ฝรั่งเศสต้องสูญเสียทหารไปกว่า 50,000 นาย
อย่างไรก็ตามระหว่างการไต่สวนทางฝรั่งเศสและอังกฤษ ไม่สามารถหาหลักฐานที่จะมามัดตัวเธอได้อย่าง 100% เลย หลักฐานดูอ่อน และไม่มีน้ำหนัก โดยหนึ่งในหลักฐานที่นำมามัดตัวเธอเป็นเพียงแค่ขวดหมึกล่องหนที่พบในห้องโรงแรมของเธอเท่านั้น ซึ่งเธอบอกว่าเป็นสิ่งที่เธอใช้แต่งหน้าและปลอมตัว
2
Mata Hari ตอนโดนไต่สวน (Source: Twitter)
หลักฐานที่แน่นหนาที่สุดที่นำมามัดตัวเธอคือ การที่เธอรับเงิน 20,000 ฟรังค์จาก Karl Kroemer เจ้าหน้าที่เยอรมัน เพื่อแลกกับการหาข่าวสารจากฝรั่งเศส ซึ่งเป็นข้อหาที่เธอยอมรับ แต่ตลอด 5 เดือนของการไต่สวนอย่างเหี้ยมโหด เธอก็ยืนยันว่าเธอไม่เคยส่งข้อมูลสำคัญหรือมีประโยชน์ใดใดให้กับทางฝ่ายเยอรมันเลย และประโยคเด็ดที่ยังเป็นที่จดจำของการไต่สวนคือ “ฉันอาจจะเป็นโสเภณี แต่ฉันไม่มีวันที่จะเป็นสายลับ” เธอยืนยันว่าเธอไม่เคยคิดที่จะทรยศหักหลังฝรั่งเศส ที่เธอตกปากรับคำไปนั้นเพราะเธออยากได้เงิน 20,000 ฟรังค์ เพื่อชดเชยกับค่าสมบัติของเธอที่เธอไม่เคยได้่คืน
5
บุคคลที่เป็นคนไต่สวนเธอคือ Pierre Boucharon หัวหน้าศาลของฝรั่งเศส ซึ่งทำคดีจารกรรมมามากมาย ซึ่งเขาให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า ครั้งแรกที่เขาเห็น Mata Hari เขาก็รู้ทันทีว่าเธอคือสายลับสองหน้า ถือเป็นการตั้งสมมุติฐานตั้งแต่ต้นที่ทำให้การพิจารณาคดีมีอคติและไม่ยุติธรรม และในเมื่อเขาไม่สามารถหาหลักฐานที่มีน้ำหนักมากพอได้ เขาเลยพยายามโจมตีเธอด้วยเรื่องอื่นแทน
2
Pierre Boucharon ผู้ไต่สวน Mata Hari (Source: Pinterest)
เริ่มจากเรื่องที่เธอแต่งขึ้นเกี่ยวกับตัวเธอขึ้นว่าเป็นเจ้าหญิงมาจากอินโดนีเซีย เธอถูกเปิดโปงว่าจริง ๆ แล้ว เธอเป็นเพียงชาวดัชต์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับประวัติของเธอนั้นล้วนเป็นคำโป้ปด จากนั้นก็ต่อด้วยเรื่องการเต้นระบำอันยั่วยวนของเธอ ซึ่งเป็นถือเป็นสิ่งที่ "ไร้ศีลธรรม" และจบด้วยเรื่องที่เธอใช้เรือนกายในการหาเงิน ซึ่งทั้งหมดนี้ส่อให้เห็นว่าเธอเป็นหญิงแพศยา และยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่เธอต้องการ ความสามารถของเธอในยั่วยวนผู้ชายจนหัวหมุนได้ ทำให้เธอเป็นสายลับอย่างไม่ต้องสงสัย
1
แพะรับบาปผู้น่าสงสาร
ฝรั่งเศสในช่วงปี 1917 เป็นช่วงที่ทุกอย่างกำลังอยู่ในความวุ่นวายและสับสนท่ามกลางสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่กำลังดำเนินไป เกิดการก่อกบฏครั้งใหญ่ขึ้นในกองทัพในเดือนเมษายน 1917 จากการวางกลยุทธ์ที่ผิดพลาดที่สางผลให้มีทหารล้มตามไปกว่า 50,000 นาย และมีการประท้วงมากมายทั่วประเทศ และหลายคนก็เชื่อประเทศฝรั่งเศสที่เคยยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมาก่อน คงจะล่มสลายในอีกไม่นาน ดังนั้นในช่วงกลางปี รัฐบาลใหม่ของประเทศจึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะพาประเทศไปสู่ชัยชนะ และที่สำคัญคือทำให้ประชาชนชาวฝรั่งเศสเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ภาพของ Mata Hari ตอนถูกจับกุม และถูกตัดสินว่าเป็นคนปล่อยความลับของฝรั่งเศสให้กับเยอรมัน จนมีทหารที่ต้องเสียชีวิตกว่า 50,000 นาย (Source: https://oldspirituals.com)
สิ่งที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดคือ การโยนปัญหาทั้งหมดว่ามีสาเหตุมาจากคนคนเดียว คน ๆ นี้คือคนที่ทำให้ทหารฝรั่งเศสต้องพ่ายแพ้ในสมรภูมิต่าง ๆ ทำให้ลูกหลานของชาวฝรั่งเศสต้องเสียชีวิตลง และคน ๆ นั้นก็คือ Mata Hari นั่นเอง เพราะเธอคือผู้หญิงแพศยา นักเต้นระบำเปลื้องผ้าไร้ศีลธรรม ที่สามารถใช้ร่างกายของเธอแลกกับอะไรก็ได้ที่เธอต้องการ
4
จากการค้นคว้าของนักประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมาพบว่า หลักฐานหลายอย่างถูกปลอมแปลงหรือแม้กระทั่งสร้างขึ้นเพื่อปรักปรำเธอโดยเฉพาะ เช่นโทรเลขของเยอรมันที่ส่งมาจากสเปนที่กล่าวถึงสายลับ H-21 มีเพียงสำเนา โดยทางฝรั่งเศสบอกว่าของจริงหายได้ไปแล้ว นอกจากนั้นทนายของเธอยังถูกกีดกันทุกทางไม่ให้เบิกตัวพยานที่จะมาพูดหักล้างข้อกล่าวหาเธอได้
แต่คนที่ทำให้เธอเสียใจมากที่สุดเห็นจะเป็น Masloff คนรักชาวรัสเซียของเธอ ที่เธอยอมรับข้อเสนอการเป็นสายลับ เพื่อนำเงินมารักษาและช่วยเหลือเขา Masloff ซึ่งตอนนี้ตาบอดทั้งสองข้างกลายเป็นคนอมทุกข์ และปฏิเสธที่จะมาขึ้นศาลเพื่อช่วยเหลือเธอ และเขายังกล่าวอีกว่าเขาไม่สนใจว่าเธอจะเป็นคนผิดหรือไม่ ว่ากันว่าตอนที่เธอรับทราบเรื่องนี้นั้น เธอถึงกับเป็นลมไปเลยทีเดียว
ชุดที่ใช้ในการแสดงของ Mata Hari ในพิพิธภัณฑ์สายลับนานาชาติที่กรุง Washington D.C. ประเทศอเมริกา (Sourcehttps://www.facebook.com)
ประหาร
การไต่สวนของเธอใช้เวลาเพียง 45 นาทีเท่านั้น และศาลตัดสินว่าเธอมีความผิดจริง และจะต้องได้รับโทษประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า เธอใช้เวลาที่เหลืออยู่อีก 3 เดือนในคุกชื้น ๆ คับแคบ และเต็มไปด้วยเห็บเหา กับกลุ่มแม่ชีที่จะคอยเข้ามาดูแลและนำอาหารมาให้เธอ
สถานทัณฑสถานหญิงที่ใช้คุมขัง Mata Hari (Source: Pinterest)
เช้าวันที่ 15 ตุลาคม 1917 บรรดาแม่ชีปลุกเธอตื่นตั้งแต่ตอนเช้ามืด และพาเธอไปขึ้นรถ เพื่อเดินทางไปยังปราสาท Vincennes ชานเมืองกรุงปารีส สถานที่ที่จะใช้เป็นลานประหาร
เมื่อเดินทางไปถึง เธอถูกพาตัวเข้าไปยังบริเวณลานโล่ง ปกตินักโทษจะถูกปิดตาแล้วพาไปอยู่ด้านหน้าของทหาร 12 คนที่จะทำหน้าที่ลั่นกระสุนสังหาร แต่เธอบอกอย่างกล้าหาญว่าเธอขอไม่ถูกปิดตา เธอต้องการมองเข้าไปในดวงตาของทหารทุกคนก่อนที่เธอจะโดนสังหาร
2
Mata Hari ไม่ยอมปิดตา เมื่อถูกนำไปผูกกับหลักประหาร (Source: bbc.com)
ช่วงเวลาก่อนรุ่งสางไม่นาน ทหารทั้ง 12 นายได้รับคำสั่งให้เตรียมปืน ปืนทุกกระบอกถูกวางพาดบนบ่าของทหารทั้งหมดอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นคำสั่ง “ยิง” ดังลั่นไปทั่วลานประหาร ว่ากันว่าก่อนคำว่า “ยิง” จะดังขึ้น Mata Hari ส่งจูบให้กับทหารทุกคน เป็นการยั่วยวนจากนักเต้นระบำผู้มีชื่อเสียงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่กระสุนจากปืน 11 กระบอก จะแหวกอากาศพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเธอ (ปืน 1 กระบอกจาก 12 กระบอก จะไม่ใส่กระสุนไว้เพื่อให้ผู้สังหารไม่มีวันรู้ว่าใครเป็นคนลั่นกระสุนสังหาร)
3
มีการบันทึกไว้ว่าร่างของเธอไม่เอนไปข้างหลังหรือข้างหน้าเหมือนกับนักโทษคนอื่น เธอค่อย ๆ ทรุดลงไปอยู่ที่พื้นในลักษณะคุกเข่า ตาของเธอยังคงจ้องเหล่าบรรดาทหารที่ลั่นกระสุนใส่เธออยู่ จากนั้นร่างของเธอจึงค่อย ๆ พับไปทางด้านหลัง เมื่อร่างของเธอแน่นิ่งไป นายทหารคนหนึ่งเดินไปข้าง ๆ ร่างไร้วิญญาณ พร้อมกับดึงปืนสั้นจ่อยิงเธอที่ขมับอีก 1 ครั้ง
1
ฉากจากภาพยนตร์เกี่ยวกับ Mata Hari ตอนที่โดนยิงเป้าประหารชีวิต (Source: Pinterest)
หลังสิ้นสุดเสียงปืน พร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็นจากกะโหลกของเธอ นายทหารคนนั้นก็ประกาศว่า “Mata Hari ตายแล้ว” เธอเสียชีวิตในวัยเพียง 41 ปี ปิดฉากชีวิตของหนึ่งในผู้หญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งยุค
เนื่องจากเธอไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่ไหน ทำให้ไม่มีใครมารับศพเธอ ร่างของเธอจึงถูกบริจาคให้กับโรงพยาบาลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์ ส่วนศีรษะของเธอก็ถูกนำมาดองและเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์กายวิภาค (Museum of Anatomy) ในกรุงปารีสรวมกับศีรษะของฆาตกรชื่อดังของฝรั่งเศสคนอื่น ๆ
1
อย่างไรก็ตามในปี 2000 เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์กลับพบว่าศีรษะของเธอได้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยซะแล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากตอนที่มีการย้ายพิพิธภัณฑ์ครั้งใหญ่ในช่วงปี 1954
2
ข่าวหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวเรื่องการโดนประหารของ Mata Hari (Source: https://economictimes.indiatimes.com)
เกิดอะไรขึ้นในปัจจุบัน
เมื่อไม่นานมานนี้ มีการเปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวกับ Mata Hari จากหน่วย MI-5 ของอังกฤษที่บ่งชี้ว่าข่าวสารที่ Mata Hari ส่งมอบให้กับเยอรมันนั้นมีแต่ข่าวที่ไม่มีความสำคัญทางการทหารใดใดตามที่เธอบอกจริง ๆ และเธอก็ไม่มีส่วนในการทำให้ทหาร 50,000 นายต้องเสียชีวิตอย่างแน่นอน
ในปัจจุบันมีการก่อตั้งมูลนิธิ Mata Hari ขึ้น เพื่อจะพยายามกู้ชื่อเสียงและความยุติธรรมกลับมาให้กับเธอ และพยายามนำข้าวของส่วนตัวของเธอกลับมายังบ้านเกิดที่เมือง Leeuwarden ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยของทุกอย่างจะถูกจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองในห้อง Mata Hari
จดหมายของ Mata Hari ที่ปัจจุบันถูกจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ที่บ้านเกิดของเธอ (Source: https://www.invaluable.com)
บ้านหลังแรกที่เธอใช้ชีวิตวัยเด็ก กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญประจำเมือง และยังมีรูปปั้นของ Mata Hari อยู่ในเมืองอีกด้วย
นอกจากนี้มีหนังสืออัตชีวประวัติของเธอหลายเล่มถูกตีพิมพ์ออกมา และขายดีอย่างเทน้ำเทท่า Paulo Coehlo นักเขียนชื่อดังก็มีการนำชีวิตของเธอมาเขียนเป็นนิยายขายดีด้วยเช่นกัน
รูปปั้นของ Mata Hari ในเมือง  Leeuwarden บ้านเกิดของเธอ (Source: Flickr)
และแน่นอนว่ามีภาพยนตร์หลายเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตของเธอ ที่โด่งดังที่สุดเห็นจะเป็นภาพยนตร์เรื่อง Mata Hari ออกฉายในปี 1931 นำแสดงโดย Greta Garbo ดาราสาวที่ดังที่สุดใน Hollywood ในยุคนั้น และเรื่องของสายลับสาวที่ใช้เสน่ห์ของตัวเองเพื่อได้มาเพื่อสิ่งที่ต้องการในภาพยนตร์ต่าง ๆ ก็ล้วนได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Mata Hari ทั้งสิ้น
1
ล่าสุดในปี 2021 ในงาน EuroVision ซึ่งเป็นงานแสดงดนตรีที่สำคัญมากของยุโรป ตัวแทนจากประเทศอาเซอร์ไบจาน ก็ขึ้นแสดงด้วยเพลง Mata Hari ที่เนื้อหากล่าวถึงสายลับสาวที่มีคนรักมากมาย
ภาพยนตร์เรื่อง Mata Hari นำแสดงโดย Greta Garbo ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จพอสมควรหลังการออกฉาย (Source: http://thailand.fansshare.com)
บทสรุป
Mata Hari ถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีความสำคัญมากนะครับในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เธอคือผู้หญิงเก่ง และฉลาด เธอรู้ว่าตัวเธอมีอะไรดี และไม่อายที่จะใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเธอ
และจากหลักฐานทั้งหมดที่มีการเปิดเผยออกมา Mata Hari อาจจะเป็นสายลับสองหน้าจริง แต่เธอก็ไม่ใช่สายลับตัวหลัก ข้อมูลที่เธอให้เยอรมันล้วนแต่เป็นเรื่องซุบซิบนินทามากกว่า ไม่มีทางเลยที่เธอจะมีส่วนเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบความพ่ายแพ้ของ
ฝรั่งเศสในการรบ ในทางกลับกันข้อมูลของเยอรมันที่เธอมอบให้กับฝรั่งเศสอาจจะเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าด้วยซ้ำไป
2
แต่สุดท้ายเธอก็กลายมาเป็นแพะรับบาปที่ฝรั่งเศสกำลังต้องการพอดี ผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเอง ใช้ชีวิตโลดโผน และมักจะแหวกขนบธรรมเนียมของสังคม ย่อมกลายมาเป็นคนที่เหมาะที่จะโยนความผิดทุกอย่างให้ ดังนั้นความผิดของเธออาจจะไม่ใช่การเป็นสายลับสองหน้า แต่อาจจะเป็นเพราะเธอแค่เป็นผู้หญิงรักอิสระ ที่เกิดเร็วเกินไป 100 ปี แค่นั้นเอง
และในปัจจุบัน ผู้หญิงที่โดนกล่าวหาต่าง ๆ นา ๆ ว่าไร้ศีลธรรม และทำความผิดจนต้องโทษถึงประหารชีวิต ก็มีห้องในพิพิธภัณฑ์เป็นของตนเอง มีรูปปั้นเป็นของตนเอง มีภาพยนตร์เป็นของตนเอง และมีมูลนิธิที่ตั้งในนามเธออีกด้วย และผมก็มั่นใจว่าใครที่ได้อ่านบทความนี้ก็คงจะจดจำชื่อของเธอไปอีกนานเช่นกัน
Mata Hari (Source: Pinterest)
จบไปแล้วนะครับกับเรื่องราวของ Mata Hari ครั้งหน้า Kang's Journal จะพาไปค้นพบเรื่องราวสนุก ๆ อะไรอีก อย่าลืมติดตามกันนะครับ
หนังสือ:
- Paulo Coelho " สายลับ "

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา