3 ส.ค. 2021 เวลา 15:26 • หนังสือ
บันทึกเรื่องราว : ตอนที่ 5 แบบไหนที่เรียกว่าเรื่องดีๆ ?
ในตอนที่ผ่านๆมา ผมได้เล่าถึงการบันทึกเรื่องราวในแต่ละวัน ด้วยเครื่องมือทั้งแบบคลาสสิคและเครื่องมือในแบบทันสมัย เราก็พอจะทราบกันแล้วว่าการบันทึกที่เหมาะสมกับตนเองควรใช้เครื่องมือแบบใด
ซึ่งก็สุดแล้วแต่เราจะเลือกใช้เครื่องมือที่ถนัดและสะดวกต่อตนเองในการจดบันทึกแต่ละเรื่องราว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวดีๆ หรือเรื่องราวแย่ๆ เราก็สามารถทำการบันทึกลงไปได้อย่างเพลินเพลิน
ว่าแต่!!!
อะไรคือเรื่องราวดีๆที่เราจะบันทึกลงไป ??
และเรื่องราวแย่ๆหล่ะเราควรจะบันทึกลงไปด้วยไหม??
เรื่องดีๆมีอยู่ทุกที่
แน่นอนว่าทุกๆคนย่อมต้องการพบเจอแต่สิ่งดีๆในแต่ละช่วงเวลาของวัน ซึ่งก็มีหลายๆองค์ประกอบที่จะทำให้เกิดเรื่องราวดีๆในแต่ละวันได้
ไม่ว่าจะเป็นการได้เจอผู้คนดีๆ พูดจาดี ความคิดดี ทำอะไรดีๆเพื่อเรา การได้เจอสิ่งแวดล้อมดีๆ ที่จะเอื้ออำนวยความสุดชื่นให้กับชีวิตของเรา การเดินทางที่ราบรื่น การกื่นดื่มแสนอร่อย
กล่าวได้ว่าอยากให้มีอะไรดีๆเข้ามาให้พบเจอ เพื่อจะได้ความฟินาเล่ในแต่ละวัน
อย่างไรก็ตามบางวัน หรืออาจจะตลอดทั้งวัน การจะเจอแต่เรื่องราวดีๆที่จะทำให้เรารู้สึกฟินาเล่ตลอดทั้งวัน ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้
เพราะบางครั้งเราก็ต้องเจอเรื่องราวที่จะทำให้เรารู้สึกในเชิงลบๆ ได้เช่นกัน อย่างการทำงาน ที่มีแต่คนคอยขัดจังหวะ การดื่มเครื่องดื่มหรือรับประทานอาหารที่ไม่อร่อย การเดินทางที่ล่าช้าจากการจราจรที่ติดขัด
หรือบางที เราเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นในวันแย่ๆ อาจทำให้เรารู้สึกหมดไฟ ผิดหวัง อารมณ์เสีย ขุ่นเคือง กังวล หรือสูญเสียอะไรไป
ท้ายที่สุด มันก็จะต้องมีทั้งสิ่งที่ดีจนพาเราฟินาเล่ได้ และมีทั้งสิ่งแย่ๆ จนทำให้เราลืมความฟินไปเลย
นิยาม สิ่งดีๆ
ทีนี้มาพูดถึงว่าสิ่งดีๆที่ว่า มันต้องเป็นแบบไหนหล่ะถึงจะดี? เป็นแบบไหนถึงไม่ดี? ก็ต้องขอบอกไว้ก่อน ณ ตรงนี้นะครับว่า คำว่าดีหรือไม่ดีของแต่ละคนมีการนิยามต่างกันไปอีก
บางคนทำบางสิ่งที่มองว่าดีแต่อีกคนบอกสิ่งนั้นไม่ดี มันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่าจะตัดสินเรื่องราวหรือสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นๆอย่างไร
ในที่นี้ผมขอนิยาม “สิ่งดีๆ” ให้ทุกท่านทราบก่อนนะครับ เพื่อเป็นการจำกัดความหมายและคำอธิบาย ที่ผมมอง
ผมมองว่าเป็นการทำอะไรก็ตามเพื่อสร้างคุณค่าให้กับตนเองและผู้อื่นได้ประโยชน์ครับ
การทำสิ่งต่างๆเพื่อตนเองและผู้อื่น เริ่มตั้งแต่การคิด การพูด และการทำ(หรืออาจมีนอกจากนี้ก็ตาม) กล่าวได้ว่าทุกๆการกระทำที่ส่งผลของการกระทำนั้นออกมา
แล้วมีผลกระทบต่อตนเอง ต่อผู้อื่น(คนรอบตัว) และต่อสังคม ทั้งในเชิงบวกหรืออาจมีเชิงลบเข้ามาด้วยบางประการ
และสิ่งดีๆที่กล่าวมาคือการพยายามทำให้เกิดผลเชิงบวกให้ได้มากที่สุด และผลเชิงลบให้ได้น้อยที่สุด
กล่าวคือ ไม่ว่าจะทำอะไรสิ่งที่ทำนั้นควรคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว
บางครั้งสิ่งที่เราทำไป อาจขัดใจใครหลายๆคน แต่ถ้ามันทำแล้วเกิดคุณค่าต่อผู้อื่น ต่อตนเอง และจะเป็นประโยชน์ในอนาคต มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่น่าลงมือทำ
เช่น การเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง บางครั้งอาจมีคนมองว่าเราแย่ เราล้มเหลว เราทำผิดบ่อยครั้ง แต่ถ้าสิ่งที่เราทำไป มันจะก่อสร้างเป็นตัวเรา และหากเราทำสำเร็จมันจะสามารถช่วยผู้อื่นได้ มันก็ควรเเก่การทำต่อไป ไม่ว่าจะผิดพลาดมากแค่ไหน วันหนึ่งมันจะเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้ที่เคยมองเราในแบบแย่ๆ
หรือการทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ หากว่าเราประเมินแล้วว่าในระยะสั้น มันจะส่งผลดีอย่างไร และในระยะยาวมันจะส่งผลดีอย่างไร ถ้าสิ่งที่ทำนั้นจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปในทิศทางที่ดี(และดีกว่าเดิม) ผมว่ามันก็น่าลงมือทำ และมันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีแม้ว่าในวันนี้อาจถูก(บางคน)มองว่าแย่ เลวร้าย ไม่น่าทำ แต่ถ้าเราเห็นว่ามันจะส่งผลที่ดีต่ออนาคตอย่างไร มันก็น่าลงมือทำครับ
การนิยามในลักษณะนี้ก็จะทำให้เราเกิดการพัฒนาตนเอง เพื่อที่จะสามารถเปลี่ยนตัวเองจากปัจจุบัน ให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นในอนาคต(Be better than yourself) เพื่อสร้างคุณค่าที่ดีกว่า เพื่อสร้างผลกระทบที่ดีไปสู่ผู้อื่นต่อไป
จากที่กล่าวมาก็เป็นเพียงตัวอย่าเล็กๆน้อยๆของ "สิ่งดีๆ" ในนิยามของผม ส่วนคุณหล่ะ? นิยามมันว่าอย่างไร? คอมเม้นท์ให้ผมอ่านด้วยนะครับ ^^
ในตอนหน้า ผมจะขอพูดถึงเรื่องราวที่ตรงข้ามกับตอนนี้บ้าง นั่นคือเรื่องแย่ๆ หรือที่หลายๆคนเรียกว่า วันอันเลวร้าย ที่ใครๆหลายคนอาจทำการปฏิเสธการบันทึกเรื่องแย่ๆร้ายๆ
เนื่องจากไม่ต้องการจะรับรู้อะไรทั้งนั้น อยากให้มันผ่านไปไวๆ อยากจะหาอะไรทำเพื่อลืมมันไป แล้วทำไมต้องบันทึกสิ่งแย่ๆไปด้วย ?
และการบันทึกเรื่องราวที่ว่านั้นจะเป็นอย่างไร ขอให้ผู้อ่านติดตามกัน ในตอนหน้านะครับ
...ขอให้มีความสุขกับการบันทึกครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา