5 ส.ค. 2021 เวลา 05:27 • ปรัชญา
"ทุกข์ ... มาจากไหน"
"... คงไม่มีใครอยากเป็นทุกข์
ทุกคนต้องการแสวงหาความสุข
แต่ปัญหาคือ ทุกข์มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง
ในคนทุก ๆ คน
ถ้าผมจะชี้ให้ทุกคนเข้าใจเลย
ก็คือว่า
ถ้าใครก็ตามที่กำลังมีความทุกข์
ผมยกตัวอย่างดีกว่า มันจะเข้าใจง่ายกว่า
มีผู้หญิงคนนึง ไปปฏิบัติธรรม
ทีนี้ เธอก็นั่งร้องไห้
เพราะเธอมีความทุกข์มาก
แล้วเธอก็ขอพบผม
ผมก็เลยลงมาพบ แล้วก็นั่งคุย
ผมก็ถามว่าเป็นอะไร
เธอก็บอกว่า เธอเสียใจ
ที่บ้านต่อว่า แล้วก็ด่าว่า
ในการที่เธอจะมาปฏิบัติธรรม
ผมก็เลยถามว่า "ก็เข้าใจนะ
แล้วตอนนี้ที่ยังร้องไห้เนี่ย คนที่บ้านมาด้วยเหรอ"
เธอบอก "เปล่า ... คือเค้าด่าชั้นที่บ้าน"
ผมก็บอกว่า "นั่นน่ะสิ
ตอนนี้คุณอยู่ที่เกาะพะลวย
สุราษฏร์ธานี อยู่กลางทะเลแล้ว
แล้วที่บ้านคุณก็ไม่ได้มา
แล้วทำไมคุณยังนั่งร้องไห้
นั่งเป็นทุกข์อยู่"
เค้าบอก "ก็เค้าด่าชั้น"
ผมบอก "ผมเข้าใจ
แต่ที่คุณกำลังทุกข์อยู่นี่
ไม่ใช่ใจของคุณเองเหรอ
ที่กำลังคิดเรื่อง หรือว่าคำพูด
ของคนที่พูดจบไปตั้งนานแล้ว"
:
ที่คุณกำลังทุกข์อยู่เนี่ย
คือใจของเราเองไม่ใช่เหรอ
แต่เราเอาความผิดโยนให้คนที่ว่าเรา
เมื่อวานนี้ เมื่อสองวันก่อน เมื่อชั่วโมงที่แล้ว
หรือเมื่อนาทีที่แล้ว
ตอนที่เราปิดหูโทรศัพท์ไปแล้วเนี่ย
ทำไมเรายังโยนความผิดให้เค้าอยู่ล่ะ
ที่คุณกำลังทุกข์อยู่น่ะ
เพราะใจของเราเองนะ
เพียงแต่ว่าพวกเราเนี่ย
แยกไม่ออกเลย
ว่าเราคือใคร
ใครคือทุกข์
ทุกข์จากอะไร
ทีนี้ พอผมถามเค้าว่า
"เค้ามาด้วยเหรอ"
เค้าบอกว่า "ไม่ได้มา"
ถ้าไม่ได้มา แล้วคุณบอกว่าเค้าว่า
แปลว่าเค้าต้องตามกำลังยืนด่าคุณ
ขณะที่คุณกำลังคุยกับผมอยู่
นี่มันไม่ใช่ เค้าอยู่ที่บ้าน คุณอยู่กลางทะเล
อยู่ที่สำนัก
แต่คุณบอกว่า เค้าว่า
ผมก็เลยเริ่มชี้ให้เห็นว่า
ทุกข์ทั้งหมดเนี่ย มันไม่ได้อยู่ที่ใครทำหรอก
มันอยู่ที่ใจของเราเอง
ต้นเหตุของใจของเราที่มันวุ่นวายไปหมด
แล้วนำมาซึ่งทุกข์
เพราะจิตใจของเราไม่มีระเบียบเลย
แต่เราไม่รู้
จิตใจของเราไม่เคยถูกฝึกเลย
ทำไมผมถึงพูดอย่างนี้
เพราะว่าทุกครั้ง ไม่ว่าเราจะ ...
สมมติว่า ผมขออนุญาต
ถ้าอันนี้เป็นโทรศัพท์มือถือ
เราจะคุยกับใครก็ตาม
สมมติว่ามีการทะเลาะเบาะแว้งกัน
ผัวเมีย สามีภรรยา แฟน
หรือเรากับลูก เรากับใครก็ตาม
หรือผู้บังคับบัญชา
คุยกันเสร็จปุ๊บ อาจจะเกิดความไม่พอใจ
วางหูปั๊บ กดวางโทรศัพท์
แล้วเราก็ยังไม่พอใจอยู่ในใจ
ผมถามว่า เสียงยังอยู่มั้ย
ไม่อยู่ โทรศัพท์ปิดแล้ว
ตอนนี้ที่อยู่ มีเราคนเดียว
แล้วเราก็ยังเหมือนกับหินที่ตกลงไปในน้ำ
แล้วยังกระเพื่อมอยู่
แรงกระเพื่อมยังมีอยู่ตลอดเวลา
ทั้ง ๆ ที่หินตกจบไปแล้ว
ตกน้ำไปตั้งนานแล้ว
แต่แรงกระเพื่อมที่อยู่ในใจของเรา
ไม่เคยหยุดเลย
เพราะฉะนั้น การที่มันไม่หยุดนี่แหละ
มันได้สร้างความคิด
ทางธรรมะเรียก การปรุงแต่ง ขึ้นมาในใจ
1
ทีนี้ เมื่อการปรุงแต่งมีอยู่
มันปรุงแต่งทุกข์ขึ้นมาในใจเอง
มันปรุงแต่งทุกข์ขึ้นมาในใจ ‘เอง’ ด้วยนะครับ
ทีนี้ เมื่อใจของเราไม่มีระเบียบ
ไม่เห็นความจริง
ไม่รู้จักการวาง
ไม่รู้จักการจบ
ไม่รู้จักการดับ
คน ๆ นั้นจะแบกทุกข์ไป ไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ว่าเค้าจะเป็นใคร จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม
เพราะว่ามีความรู้สึกนึง
ที่มันเกิดขึ้นในใจ แล้วมันก็เป็นแรงกระเพื่อมกดดัน
เรื่องมันมีอยู่แค่นี้
...
สมมติว่ามีคนสองคนเป็นแฟนกัน จะแต่งงานกัน
หรือเป็นสามี ภรรยากัน
แล้วทะเลาะเบาะแว้ง จะเลิกกัน
คนนึงไปนั่งเสียอกเสียใจ
เพื่อนก็พยายามปลอบโยน พยายามปลอบใจ
พาไปที่ไหน ๆ เพื่อจะให้สบายใจ
ไปเที่ยวภูเขา น้ำตก ทะเล อะไรก็ตาม
ชวนไปกินข้าวร้านอร่อยที่เธอเคยชอบ
แต่กินอะไรไม่ลงเลย
อาหารไม่อร่อยเหรอ
อาหารอร่อยเท่าเดิม
ภูเขาไม่สวยแล้วเหรอ
สวยเท่าเดิม
ทำไมเธอกินไม่ลง
เห็นมั้ยครับว่า ของข้างนอกเหมือนเดิมทุกอย่าง
ปัญหาของการกินไม่ลง
เกิดขึ้นในคน ๆ นั้น
แล้วเมื่อคน ๆ นั้นเกิดปัญหาขึ้นในใจ
โลกที่เค้ามองเห็น
มันจึงหมองเศร้าตามไปด้วย ..."
.
จากการบรรยาย
"ทุกข์ไม่มีใครอยากเป็น"
โดย อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
4 ธันวาคม 2563
ณ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
ภาค ๕ จ. เชียงใหม่
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา