31 ธ.ค. 2021 เวลา 02:00 • ไลฟ์สไตล์
ชวนรู้จัก "ค็อกเทล (Cocktail)" ยอดนิยมเหล่านี้ มีที่มาอย่างไร ? - ตอนที่ 2
หลังจากที่ได้รับรีเควสมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับตอนแรกของเรื่องราวของ “ค็อกเทล” (Cocktail) เครื่องดื่มผสมที่มีเหล้าชนิดต่าง มีที่มาอย่างไร
ถ้าหยั่งงั้นวันนี้พวกเรา InfoStory ขอส่งตอนที่ 2 ของหัวข้อนี้ มาให้เพื่อน ๆ รับชมกันในภาพอินโฟกราฟิกแบบสบายตา กันต่อดีกว่า !
หมายเหตุ : เช่นเคย เนื่องจากพื้นที่ของรูปภาพค่อนข้างจำกัด จึงทำให้พวกเราสามารถหยิบยกมาได้เพียงแค่ ตอนละ 9 ชนิด ถ้าเพื่อน ๆ อยากทราบเรื่องราวตัวไหนเพิ่มเติม รีเควสกันเข้ามาได้นะ
สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากอ่านเรื่องราวสบายสมองเพิ่มเติม ก็เชิญทางนี้ได้เลย !
ในตอนที่ 1 เราได้พูดถึงเรื่องราวของ ต้นกำเนิดของ “ค็อกเทล” (Cocktail)”
จนไปถึงเรื่องราวของเครื่องดื่มอย่าง B-52 และ Long Island
อันที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มค็อกเทลชนิดไหน ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะมีจุดเด่นที่มาจากส่วนประกอบหลักอย่าง ตัวเหล้าที่เป็นเบส และ เพิ่มลูกเล่นด้วยตัวเหล้าที่ให้รสหวานหรือขม
ว่าแต่... เหล้าที่เป็นส่วนผสมหรือส่วนประกอบหลักของค็อกเทลที่เราคุ้นหูคุ้นตาเหล่านี้ มีอะไรบ้าง ?
(หรือที่เราเรียกว่าเหล้าเบส)
- วิสกี้ (Whisky) คือ วิสกี้ เหล้าที่กลั่นมาจากธัญพืช เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ และนิยมหมัก ในถังไม้โอ๊กเพื่อให้ได้สี กลิ่น รสที่ดีขึ้น แต่ก่อนจะนำมาบรรจุขวด
ซึ่งก็จะมีที่เราคุ้นหูกันเช่น Irish whiskey, Scotch Whisky, American Whiskey, Canadian Whiskey
Whisky
- วอดก้า (Vodka) ที่เรารู้จักกันดีกับเหล้าสีขาว ที่แทบจะไม่มีกลิ่น แต่แรงมากตรงข้ามกับสีของมัน !
ส่วนต้นกำเนิดนะเหรอ ก็อย่างที่พวกเราพอจะเดาได้ มาจากประเทศในกลุ่มประเทศ Russia, Poland, Latvia, Lithuania, และ Estonia นั่นเอง
จริง ๆ แล้ว วอดก้า จะมีลักษณะคล้ายกับเหล้าจิน เพียงแต่จะแตกต่างตรงที่ วอดก้า จะไร้สีไร้กลิ่นสมบูรณ์แบบ (ยกเว้นแต่วอดก้าปรุงแต่งกลิ่นผลไม้นะ Flavored Vodka)
Vodka
- เหล้ารัม (Rum) อันนี้เราจะพบเห็นเป็นส่วนผสมประจำเครื่องดื่มค็อกเทลหลาย ๆ ชนิดเลยละ เป็นเหล้าที่กลั่นมาจากการหมักน้ำอ้อย (Sugar cane) และกากน้ำตาล (molasses) โดยจะต้องผ่านกระบวนการหมัก กลั้น และ บ่ม
เหล้ารัมก็จะมี รัมขาว (White rum) รัมทอง (Gold rum) รัมดำ (Dark rum)
ซึ่งหนึ่งในเมนูค็อกเทลที่มีการผสมเหล้ารัมครบทุกสี ก็จะเป็นเมนู “Zombie”
ส่วนใหญ่แล้ว เหล้ารัมจะผลิตมากจากกลุ่มประเทศทางอเมริกาใต้ ซึ่งว่ากันว่าเหล้ารัมเนี่ย ถูกแพร่ขยายไปยังทวีปอเมริกาเหนือโดยพี่โคลัมบัสนักเดินทางคนดีคนเดิมของเรา นั่นเอง
Rum
- เตกีล่า (Tequila) เหล้าที่มีสีขาว กลิ่นแรง เป็นที่รู้จักกันว่ามาจากประเทศเม็กซิโก
ว่ากันว่า เตกีล่าเนี่ย ถูกพัฒนามาจากเครื่องดื่มที่ทำมาจากต้นอะกาเว (Agave) ของชาวแอซแท็กตั้งแต่ 1,000 ปีก่อนคริสตกาลอีกนะ
Tequila
- จิน (Gin) สีขาวใสบริสุทธิ์ มีกลิ่นหอมจากรากไม้และสมุนไพร กลั่นและหมักจากธัญพืชหลากหลายชนิด
แล้วที่เหล้าจินมีกลิ่นหอมเนี่ย... ก็คือตรงตัวเลย นำไปกลั่นฟอกเข้ากับเครื่องหอมอื่นๆ หรืออาจเป็นการผสมกับหัวน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากพืชพรรณเครื่องหอม นั่นเอง
ต้นกำเนิดของเหล้าจิน มาจากนายแพทย์ชาวดัทช์ ที่ได้ทำการทดลองผสมเหล้าขาวเข้ากับผลจูนิเปอร์ (Juniper berries)
ขอแอบบอกว่า เรื่องราวของจินเนี่ย มันมีดราม่าด้วยนะ เพราะมันถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ศาสนา รวมไปเรื่องราวการค้าที่กีดกันการขนส่งแอลกอฮอล์ ระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษ (คู่แค้นฉบับดั้งเดิม) เลยทีเดียว
Gin
เอาเป็นว่า พักเรื่องของเหล้าเบสไว้เท่านี้ก่อน เพราะจะลงในแต่ละอันจริง ๆ ก็คือมีเรื่องราวยาวมากเลย
ไว้เดี๋ยวพวกเราจะจัดทำในเรื่องของเหล้าแต่ละชนิดมาให้เพื่อน ๆ ได้รับชมกันนะ
มาดูกันที่เรื่องราวของค็อกเทลจากภาพอินโฟกราฟิก ที่พวกเราชื่นชอบกันบ้าง !
1. ตัวแรกเลย ก็คือ “Old Fashioned”
ที่พวกเราชื่นชอบเพราะได้เห็นการปรากฎตัวของเครื่องดื่มบนหน้าจอภาพยนตร์อยู่บ่อยครั้ง
ยกตัวอย่างเช่น การปรากฎในซีรีส์ “Mad men” ที่ตัวเอกอย่าง Don Draper มักจะชอบสั่งอยู่บ่อยครั้ง
หรือแม้กระทั่ง “เจมส์ บอนด์” ที่มีการดื่ม Old Fashioned ประมาณ 4 ครั้ง ปรากฎให้เห็นในภาพยนตร์ 3 ภาค
เช่น ภาค 007 เพชรพยัคฆราช (Diamonds Are Forever), พยัคฆ์มฤตยู 007 (Live and Let Die) และ ธันเดอร์บอลล์ 007 (Thunderball) นั่นเอง
ก็คือ ภาพลักษณ์ผ่านตัวละครเหล่านี้ จึงทำให้ “Old Fashioned” กลายเป็นสัญลักษณ์ของค็อกเทลที่ทำให้เรานึกถึง “ผู้ชายมาดขรึม”
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ค็อกเทล “Old Fashioned” กลับมีความหมายที่แท้จริงว่า “กลับสู่ต้นตำรับ” หรือ “ย้อนเวลาสู่ความดั้งเดิม” เพราะว่าส่วนผสมที่สุดจะเป็นพื้นฐาน และยังมีอายุมากกว่าค็อกเทลชนิดอื่น ๆ
2. ตัวต่อมา คือ ค็อกเทลที่มีตัวเด่นอย่างจิงเจอร์เบียร์ กับ “Moscow Mule”
ถ้าอ่านจากชื่อ เราก็คงจะนึกถึงกรุงมอสโก เมืองหลวงของประเทศรัสเซีย
แต่แท้จริงแล้ว เครื่องดื่มตัวนี้ กลับมีจุดกำเนิดที่อเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 1940 ตะหากละ
“Moscow Mule” ถูกคิดค้นโดยคุณ John G. Martin บาร์เทนเดอร์ และ คุณ Jack Morgan เจ้าของบาร์ชื่อดัง L.A. bar Cock 'n' Bull
โดยสาเหตุที่พวกเขาตั้งชื่อให้มีกลิ่นอายของประเทศรัสเซียเนี่ย
ก็เพราะว่า ที่บาร์แห่งนี้นิยมใช้วอดก้า เป็นพระเอกในการผสมเครื่องดื่มค็อกเทลที่บาร์แห่งนี้
ประกอบกับในช่วงนั้น วอดก้ายังไม่เป็นที่รู้จักของชาวอเมริกัน (แถมยังล้อติดตลกด้วยว่าเป็นเครื่องดื่มของพวกโซเวียต)
ต่อมาคุณ Jack Morgan ที่ว่ากันว่าเป็นผู้นำเข้าและผลิตจิงเจอร์เบียร์เนี่ย กลับพบว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้ ทำยอดขายได้ไม่ดีสักเท่าไร เขาจึงต้องหาทางที่จะนำจิงเจอร์เบียร์ออกมาหาจุดเด่นขาย
และแล้ว เมนู “Moscow Mole” จึงถือกำเนิดขึ้น โดยมีตัวเด่นอย่าง วอดก้าและจิงเจอร์เบียร์ นั่นเอง
ซึ่งชาวอเมริกันเนี่ย เขาก็ได้ให้ฉายาเลยว่า เป็นค็อกเทลที่รสชาติเตะปาก ! ('Kick' of flavour) (แต่ยังไม่มีแหล่งอ้างอิงถึงที่มาของชื่อนะ)
3. "Daiquiri" อีกหนึ่งค็อกเทลที่มีชื่อเสียงโด่งดังโดยชาวอเมริกัน
คือปกติแล้ว ค็อกเทลที่โด่งดังของทางฝั่งอเมริกันและเม็กซิกันจะต้องมีสูตรที่แปลก มีลูกเล่นที่หลากหลาย
แต่ไม่ใช่กับเมนูอย่าง “Daiquiri” อ่านว่า ไดคีรี จากประเทศคิวบา
ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนผสมสุดเรียบง่ายอย่าง เหล้ารัมขาว น้ำมะนาว และ น้ำเชื่อม
Daiquiri ถือว่าเป็นค็อกเทลยอดนิยมในเมืองฮาวานา
ว่ากันว่า เครื่องดื่มตัวนี้ถูกคิดค้นในช่วงปี 1898 - 1907 โดยคุณ Jennings Cox ที่เมืองฮาวานา
ช่วงนั้นเป็นช่วงสงคราม American-Mexican พอดี นั่นจึงทำให้มีทหารเรือชาวอเมริกัน ที่พยายามนำเจ้าค็อกเทลสุดเรียบง่ายแล้วเมืองคิวบานี้ กลับไปยังสหรัฐในปี ค.ศ. 1909
ก่อนที่ต่อมา Daiquiri จะได้รับความนิยมมากที่ The Army and Navy Club ในกรุงวอชิงตัน ดี. ซี. จนถึงกับมีการเปิด Daiquiri Lounge ขึ้นมาเลยทีเดียวละ
นิยมมากขนาดที่ Daiquiri ยังเป็นเครื่องดื่มสุดโปรดของนักเขียนรางวัลโนเบลอย่าง "Ernest Hemingway" และอดีตประธานาธิบดีอย่าง "John F. Kennedy" เลยอีกด้วยนะ !
4. มาถึงเมนูที่นำชื่อชาวไอร์ริช มาตั้งเป็นชื่อกันบ้าง “Irish Coffee”
ฟังเรื่องราวของค็อกเทลจากสัญชาติอเมริกัน กันมาเยอะแล้ว
ทีนี้ ขอมาพูดถึงค็อกเทลที่มีต้นกำเนิด นอกสหรัฐอเมริกากันบ้าง
ขอข้ามฝั่งมาที่ เกาะไอร์แลนด์กันบ้าง
เพื่อน ๆ เคยได้ยินชื่อของ “ Irish Coffee” ไหม ?
อะ แต่ต้องก่อนว่า มันไม่ใช่กาแฟดำ หรือ เบียร์ Porter นะ !
แต่ว่าเมนูที่ชื่อเหมือนกาแฟ และมีสีและฟองที่เหมือนกับเบียร์ดำ อย่าง “Irish Coffee” กลับเป็น ค็อกเทลกาแฟ ตะหากละ !
ค็อกเทลตัวนี้ คิดค้นโดยคุณ Joe Sheridan ชาวไอริชในช่วงปี 1943
ซึ่งในปีนั้น ก็ถือว่าเป็นช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว
แน่นอนว่าประเทศไอร์แลนด์เนี่ย ก็เปิดรับให้กับกองทัพอากาศของทหารอเมริกัน
จนในช่วงท้าย ๆ ที่ทหารอเมริกันกำลังเริ่มทยอยเดินทางกันกลับบ้าน
ปรากฎว่ามีไฟลท์บินลำหนึ่ง ที่ได้หันหัวกลับมาที่ฐานการบิน Foynes Air base เพราะว่า น้ำมันหมด…
เชฟ Joe Sheridan ก็เลยเกิดความสงสารเหล่าทหาร ที่เหนื่อยล้าจากการต่อสู้ แถมต้องมานั่งเสียเวลา กลบบ้านไปหาครอบครัวช้าอีก คุณ Joe ก็เลยได้ทำเมนูสุดพิเศษนี้ ให้กับทหารชาวอเมริกันดื่ม
เชฟ Joe Sheridan
แน่นอนว่าหลังจากนั้นทหารที่ได้บินกลับไปยังประเทศบ้านเกิด ก็ได้เผยแพร่สูตรค็อกเทลไอริชตัวนี้
จนกระทั่ง ในปี 1952 นักเขียนเชิงท่องเที่ยว ชื่อดังชาวอเมริกันอย่าง “Stanton Delaplane” ก็ได้ตัดสินใจบินมาที่ไอร์แลนด์เพื่อค้นหาค็อกเทลตัวนี้
และหลังจากที่ได้เรียนรู้มาจากคุณ Joe แล้ว เขาก็ได้กลับไปเผยแพร่สูตรนี้ ให้กับบาร์เทนเดอร์ของ Buena Vista ที่เมืองซานฟรานซิสโก
ก่อนที่เจ้าค็อกเทลตัวนี้จะโด่งดังไปทั่วสหรัฐอเมริกาจ้า
(แถมคนอเมริกันยังมีการเข้าใจผิดด้วยว่า ค็อกเทลนี้ มีชื่อว่า Brazilian coffee)
คุณโจกำลังตั้งใจทำไอริชคอฟฟี่
5. อีกตัวหนึ่งที่มีต้นกำเนิดนอกสหรัฐอเมริกา ซึ่งน่าสนใจไม่แพ้กัน ก็คือ “White Russian”
แต่อย่าเพิ่งโดนหลอกโดยชื่อนะ....
เพราะต้นกำเนิดที่แท้จริงแล้ว มาจากเมืองบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยมตะหากละ
“White Russian” ถูกคิดค้นขึ้นโดยคุณ Gustave Tops ในปี ค.ศ. 1949
แน่นอนว่าที่มีชื่อ Russian ก็จะคล้ายคลึงกับเรื่องราวของ Moscow Mule
เพราะเหล้าที่เป็นพระเอก ก็คือวอดก้า นั่นเองจ้า (เอาอีกแล้ว)
โดยเมนูนี้ White Russian ก็ได้ถูกคิดค้นตามมาคู่กับพี่น้องอย่าง “Black Russian” ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ไม่ใส่ครีมสด นั่นเอง (เลยเป็นชื่อว่า Black)
ซึ่งเจ้าตัวเครื่อดื่ม White Russian เนี่ย ยังเป็นเครื่องดื่มประจำถิ่นที่ทางประเทศเบลเยี่ยม เตรียมไว้สำหรับต้อนรับคณะทูตจากสหรัฐอเมริกาอีกด้วยนะ
Black Russian
White Russian
(แต่เราแอบหาไปหามา เขามีเรื่องราวดราม่านิดนึงกับชื่อของ White Russian ที่ถึงแม้ว่าสีของเครื่องดื่มนี้ มันมีลักษณะสีขาว แต่มันก็เป็นการเปรียบเหมือนชาวรัสเซียผิวขาวในประเทศเบลารุสที่ต้องอพยพหนีจากเหตุการณ์การล่มสลายของสหภาพโซเวียต แต่หลักฐานตรงนี้มันไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้นนะ เอาเป็นว่า รู้ไว้ใช่ว่าก็แล้วกันเนอะ)
ภาพที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นผู้อพยพชาวรัสเซียในเหตุการ์ White movement
ขอแถมนิดนึง เพื่อน ๆ ทราบไหมว่านอกจาก White Russian แล้ว
ยังมีเมนูที่ทำออกมาในลักษณะเดียวกัน อย่างเช่น
- “White Canadian” ที่เปลี่ยนการใช้ครีมนมวัวสด เป็น ครีมที่ทำมาจากนมแพะ
- “White Mexican” ที่ใช้น้ำนมข้าวผสมอบเชย (Horchata) แทนครีมสด
- “White Cuban” ที่ใช้เหล้ารัมแทนวอดก้า
White Mexican
โอเค ก็พอหอปากหอมคอกันเช่นเคย
ก็จบกันไปแล้วถึง 2 ตอน กับค็อกเทลที่มีส่วนผสมหลัก ๆ คือ เหล้าที่เป็นเบส
ถ้าหยั่งงั้น สำหรับตอนต่อไป (ตอนที่ 3)
พวกเราจะนำ ค็อกเทลที่มีเบียร์เป็นพระเอก “Beer Cocktails” มาให้เพื่อน ๆ รับชมกันต่ออย่างแน่นอน !
วันนี้พวกเรา InfoStory ขออนุญาตจบเรื่องราวสบายสมองสั้น ๆ ในวันสิ้นปี 2021 ไว้แต่เพียงเท่านี้ 🙂
โฆษณา