5 ส.ค. 2021 เวลา 05:05 • นิยาย เรื่องสั้น
บันทึกกึ่งนิยาย ตอนที่ 4
"Do you believe in True Love?"
ปาย / สเตฟาน / love massage
ปาย / คืนที่ 4 / 22 ก.พ. 2545
เสียงหมาเห่าข้างนอกทำให้ฉันเปิดบ้านออกไปดู เห็นพี่ตั้มรดน้ำต้นไม้ ข้าง ๆ มีเจ้าหมาพันธุ์นอกคลอเคลียอยู่ ใจที่เหี่ยวมาตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่ฟื้นคืนชีพ แต่ตาเหลือบไปเห็นกระดาษที่ลงสีน้ำเมื่อวานวางอยู่ที่มุมห้อง ทำให้เกิดแรงฮึดที่จะเอาชนะความอ่อนแอ โหยหา เสียงในใจมันดังก้อง สู้!
ระหว่างที่วาดรูปไม้เลื้อยริมระเบียง หนุ่มขาประจำก็เดินเข้ามา มันเหมือนกับว่าเรานัดกันโดยไม่ต้องบอกกัน ที่เดิม เวลาเดิม … คิดได้แบบนี้ใจเหี่ยว ๆ ก็คล้ายว่าได้น้ำ
เขาทักว่าฉันวาดรูปเป็นด้วย ฉันตอบไปว่าไม่ใช่แค่นั้นนะฉันถ่ายรูปก็เป็น ว่าแล้วก็วิ่งลงไปหยิบกล้องมาเก็บภาพคนหน้าใสไว้เป็นที่ระลึก แม๊ตตี้ ร้องโอ้ เมื่อเห็นอุปกรณ์ถ่ายรูปของฉัน กล้องสำหรับโปรและขาตั้งกล้องตัวใหญ่ ทำให้ฉันดูน่าทึ่งสำหรับเขา
ทั้ง ๆ ที่ความจริงก็คือฉันวิ่งยืมขาตั้งกล้องไปทั่วอยากได้ตัวเล็กกว่านี้แต่หาไม่ได้ ส่วนกล้องก็เป็นรุ่นเก่าที่เพื่อนให้ยืมมาใช้ ไหนจะเลนส์ซูมที่เป็นความอนุเคราะห์จากพี่อีกคน ฉันมันก็แค่พวกอยากจะโปรน่ะ แต่ แม๊ตตี้ มันรู้เรื่องที่ไหนกัน ตอนนี้ฉันเลยกลายเป็นซุปเปอร์วูแมนไปซะแล้ว
1
ก่อนจากไปเรียน แม๊ตตี้ บอกว่าวันนี้เขาเรียนเป็นวันสุดท้าย และจะว่างอีกทั้งอาทิตย์ ขอจองตัวฉันซักสองสามวันจะได้รึเปล่า ฉันบอกว่าไม่เอาหรอก ชอบนอนอยู่กับบ้านมากกว่า
แม๊ตตี้ ดันแปลเข้าข้างตัวเอง ทำตากรุ้มกริ่มแล้วบอกว่า เขาก็ชอบเหมือนกัน … น่าแปลกที่รอยยิ้มสุดท้ายก่อนไปของเขา ทั้งที่ก็เหมือนกับเมื่อวานและวันก่อน แต่วันนี้มันกลับทำฉันใจแกว่ง มันไม่ถึงกับใจเต้นแรงแต่ก็พอให้สั่นสะเทือน
ถึงแม้วันนี้จะไม่มี อิกุ กับ ชิโอริ เพราะเธอทั้งคู่ต้องลงไปต่อวีซ่าที่เชียงใหม่ แต่บ้านน้ำปายก็ยังคึกคัก มีคนเข้ามาพักเยอะไปหมด
ไม่ว่าจะเป็นคู่สองสามีภรรยาจากฝรั่งเศสที่เดินทางโดยมอเตอร์ไซค์คันโต หรือว่าจะเป็นบ๊อบหนุ่มใหญ่ชาวอเมริกันผู้ซึ่งปั่นสองล้อเดินทางทั่วเอเชียคนเดียว แล้วก็มีรายหลังสุดหนุ่มวัย 25 ชาวสวิสฯนามสเตฟาน ชายหนุ่มที่ร่างเต็มไปด้วยบาดแผลจากอุบัติเหตุจักรยาน
เขาเล่าว่าระหว่างที่ปั่นไปน้ำพุร้อนท่าปายกับ “เธอ” ก็โดนรถยนต์มาชนข้างหลัง เขากระเด้งลงไปข้างทางแล้วก็ไม่รู้สึกตัว ตื่นมาอีกทีก็มีคนมาช่วยพาไปทำแผลแล้ว ฉันเข้าใจเอาเองว่า นายสเตฟานเน้นคำว่า “เธอ” เพื่อจะบอกว่า เขาไม่ได้มาคนเดียวแต่มี “เธอ” มาด้วย ซึ่งตอนนี้ “เธอ” คงอยู่ในห้อง ถามไปถามมาได้ความว่า “เธอ” ไป Trekking ค่ะ อ้าว! ไหงเป็นงั้นล่ะ ?
ถ้าฉันยังเป็นคนเก่าเมื่อตอนเริ่มเดินทาง ฉันก็คงไม่รู้จักคนทั้งหมด แต่เพราะคาถาดีที่ได้มาแท้ ๆ ทำให้เรื่องง่าย ๆ ในการสร้างสัมพันธ์ยิ่งง่ายไปใหญ่
ฉันคิดว่าคนเดินทางท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นมิตรทั้งนั้น และทุกคนก็พร้อมจะเป็นเพื่อนกัน และมันก็ทำให้ตารางกิจกรรมฉันเต็มไปด้วยเรื่องสนุกกับเพื่อนใหม่ในภาษาที่ไม่คุ้นปาก เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นเองตามสถานการณ์ เช่น บ๊อบควักสมุดวาดเขียนของเขาออกมาร่วมวงเมื่อเห็นฉันวาดอยู่ และเมื่อบ๊อบรู้ว่าฉันชอบปั่นจักรยานเราจึงนัดขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวที่ห่างไป 2 กิโลเมตรเย็นนี้
ขณะที่ฉันจมอยู่ในโลกของสีน้ำกับบ๊อบอย่างเงียบเชียบและดิ่งลึก นายสเตฟานก็ขนรูปถ่ายจากสวิสมานั่งคุยด้วย พร้อมทั้งปรับทุกข์เรื่อง “เธอ” ของเขาและวงเราเริ่มขยายใหญ่ เมื่อ “โซฟี” หญิงฝรั่งเศสวัย 40 ที่สดใสร่าเริงอดใจไม่ไหวขอเข้ามาร่วมแสดงความเห็นเกี่ยวกับ “เธอ” ของสเตฟานด้วย
บ๊อบขอตัวไปนอน ก่อนไปย้ำเวลานัด 5 โมงเย็น และโซฟีจากไปเพราะสามีมาตาม เหลือเพียงฉันและผู้ชายพูดมากที่ชื่อ สเตฟาน
1
เขาเริ่มหยิบรูปถ่ายเมืองสวิสฯมาพูดต่อ ซึ่งกว่าพี่แกจะพูดบรรยายแต่ละภาพกินเวลาหลายชั่วอายุคน ถ้าไม่ติดว่าสงสารที่โดนปล่อยเกาะไว้คนเดียวทั้งที่บาดเจ็บแผลเต็มตัว ป่านนี้ฉันเผ่นไปตั้งแต่วงสนทนาสลายตัวแล้ว
ฉันอาศัยจังหวะที่เขากำลังเลือกรูปต่อไป ยิงคำถามเรื่องมีดพับสวิสที่เพื่อนผู้ชายกลุ่มเดินป่ามีติดตัวกันเกือบทุกคน เท่านั้นล่ะพี่รีบขอตัววิ่งตื๋อไปยังบ้านพัก แล้วกลับเอามีดที่ว่ามาวางโชว์ สีแดงที่คุ้นเคยหนึ่งอัน ส่วนอีกอันเป็นสีเขียวสภาพเก่า เขาเล่าท่าทางภูมิใจว่าสีเขียวเป็นของเก่าทางโรงงานไม่ทำนานแล้ว ส่วนสีแดงได้เพราะเป็นของแถม!
ฉันถามว่าแล้วเอามาทำไมตั้งสองอัน เขาไม่ได้ตั้งใจ ที่จริงก็มีอยู่อันเดียวสีเขียวใช้มานาน แต่สีแดงได้มาก่อนจะออกเดินทางเลยติดมือมาด้วย ฉันอยากได้เลยขอซื้อต่อ เขาบอกว่าไม่ขาย ก็ไม่เป็นไรที่จริงตั้งใจไว้ว่ากลับถึงกรุงเทพฯจะสั่งซื้อกับเพื่อนที่ขายอยู่ซักอันอยู่แล้ว
เมื่อคุยเรื่องมีดจบและเขากำลังจะหารูปใบใหม่มาบรรยายต่อ ฉันก็ชิงตัดหน้าด้วยการขอตัวไปไปรษณีย์เพราะเหลืออีก 30 นาทีจะปิดทำการ แต่ก็ทำตัวเป็นนางเอกบ่นเสียดายว่ายังดูรูปไม่หมดเลย พี่สเตฟานยังไม่รู้เรื่องบอกว่าจะนั่งรอรีบไปรีบกลับนะ … รอไปเถอะค่ะพ่อหนุ่ม
2
ออกจากไปรษณีย์ ก็ได้รับโทรศัพท์จากที่ทำงานว่าเบิกเงินไม่ได้เพราะฉันลืมเซ็นชื่อในใบถอนเงินของธนาคารกสิกรฯ ฉันปั่นจนทั่วเมืองเจอธนาคารกรุงเทพฯอยู่ที่เดียว เพื่อความแน่ใจแวะไปถามร้าน T.S. Bike ได้รับคำยืนยันว่า ปายมีธนาคารกรุงเทพอยู่เจ้าเดียวเท่านั้น
ตามกำหนดเดิมก็คือฉันจะอยู่ปายจนกว่าจะอยากไปต่อ และจุดหมายต่อไปก็คือเชียงใหม่ บ้านแหม่มเพื่อนรัก แวะซักเสื้อผ้าแล้วเดินทางไปเชียงของ ข้ามฟากไปลาว … แต่นี่ยังไม่อยากไปต่อ ซ้ำยังสุขสุด ๆ อยู่เลย!
ฉันโทรไปแจ้งข่าวที่กรุงเทพฯว่าไม่มีธนาคารกสิกร แต่พรุ่งนี้จะรีบไปเชียงใหม่แต่เช้าและส่ง EMS ไปให้ ฉันกลับบ้านบอกข่าวร้ายกับพี่นิดพี่ตั้ม และหาสเตฟาน จะไปดูรูปให้หมด แต่มาเจอกับแม๊ตตี้ซะก่อน ฉันเลยบอกข่าวร้ายด้วยหน้าตาหงอยซึม เขาลากกึ่งจูงฉันไปนั่งคุยที่หน้าบ้านเขา ซึ่งต้องผ่านบ้านสเตฟานเลยเข้าไปข้างในอีก 2 หลัง ฉันจึงได้เห็นพี่สเตฟานนอนหลับอยู่ในเปลญวน บ้านพี่นิดพี่ตั้มก็ดีงี้แหละ มีเปลให้ซะทุกบ้านไป
เรานั่งคุยกันเงียบ ๆ มันคล้ายกับว่าแผนสวย ๆ ที่วางไว้พังคลืนลงมาโดยที่ไม่มีสัญญาณเตือนภัยให้รู้ล่วงหน้า เขาถามถึงแผนการของฉันว่าจะเอายังไง ฉันว่าต้องไปเชียงใหม่ก่อน อาจอยู่สัก 2 วันแล้วไปเชียงของต่อจากนั้นก็ข้ามไปลาว
แม๊ตตี้เงียบไปครู่นึงก็ถามคำถามที่ฉันถามกับตัวเองเหมือนกัน “ไปเชียงใหม่แล้วกลับขึ้นมาไม่ได้เหรอ” ซึ่งก็ถึงคราวที่ฉันต้องเงียบบ้าง เราทั้งคู่ต่างก็รู้อยู่ว่าอะไรมันเป็นอะไร แม๊ตตี้พูดขึ้นเบา ๆ ว่า “Let your life go on” ฉันพยักหน้า น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
1
เขารีบเปลี่ยนเรื่องชวนคุยเรื่องสนุก ๆ อย่างการเรียน Massage เป็นวันสุดท้าย เขาอวดใบประกาศ ซึ่งฉันเอามาพลิก ๆ ดูก็ไม่เห็นว่าจะเอาไปใช้อะไรได้ แต่ท่าทางแม๊ตตี้ของเราภูมิใจมาก
ฉันเลยแหย่เขาไปแน่ใจเหรอว่าจะนวดใครได้ เขาก็รู้ว่าฉันล้อเล่น แต่ก็ทำตาวาว ๆ บอกว่าพูดอย่างนี้เขายอมไม่ได้หรอก ต้องพิสูจน์ให้รู้กันไป ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องพร้อมหลบตาวาวคู่นั้น ถามว่าเย็นนี้เขามีนัดรึยังไปกินข้าวกันดีมั๊ยให้ฉันเลี้ยงข้าวเป็นมื้อสุดท้าย เขาบอกว่าเขาจะรู้สึกแย่ถ้าฉันจะต้องเป็นคนเลี้ยง เขาอยากตอบแทนบ้าง เอาเป็นว่าเดี๋ยวเขานวดให้เป็นการแลกเปลี่ยน ฉันหัวเราะ หึ หึ รู้ทันหรอกน่า …
ห้าโมงเย็นฉันกับบ๊อบก็ปั่นสองล้อขึ้นไปดูวิวพระอาทิตย์ตกดิน แต่ด้วยความชราของบ๊อบ และความไม่เอาไหนของฉัน ที่จริงหนักไปทางความไม่เอาไหนของฉันมากกว่า เพราะที่บ๊อบลงจูงจักรยานเหมือนกัน ฉันเข้าใจว่าบ๊อบไม่อยากทิ้งฉันไว้ลำพัง ก็ถึงบ๊อบจะอายุเยอะแล้วแต่ถ้าไม่แกร่งจริงจะปั่นจักรยานเที่ยวข้ามประเทศได้ไง
ฉันคำนวณทางสายตา บ๊อบไม่น่าจะต่ำกว่า 50 ปี … ด้วยการปั่นบ้างจูงบ้างทำให้เราขึ้นไปถึงจุดชมวิวตอนที่พระอาทิตย์โบกมือกู๊ดบายไปแล้ว แต่แสงสุดท้ายของวันหลังอาทิตย์ลับนี่แหละที่นักถ่ายภาพเขาบอกว่า เป็นสีที่สวยที่สุดซึ่งมีแต่ความไวแสงของฟิล์มเท่านั้นจะจับภาพได้ ฉันรีบตั้งกล้องกดชัตเตอร์ไม่ยั้ง ภาวนาว่าขอภาพดีให้ซักภาพ
1
จุดชมวิวที่ว่านี่ก็คือวัด ซึ่งอาจจะมีทางรถไปถึงยอด แต่ก็มีบันไดร้อยกว่าขั้นจากตีนเขาขึ้นไปจนถึงข้างบน เราเลือกจอดจักรยานไว้ข้างล่างและลากสังขารเดินกันขึ้นไป เสียงหอบประสานเป็นระยะ ๆ ข้างบนวัดสะอาดสะอ้าน และมีศาลาที่ยกพื้นสูงขึ้นไปอีก สำหรับชมวิวโดยเฉพาะจริง ๆ
หลังจากเก็บกล้องเข้ากระเป๋า ฉันก็นั่งละเลียดมองดูแสงที่พาดท้องฟ้าสีสลับม่วงฟ้าครามเคลื่อนไหวเปลี่ยนไปเรื่อยจนดำสนิท ไฟของบ้านเรือนที่มองเห็นเพียงจุดสีขาวเล็ก ๆ เป็นกลุ่มคล้ายแสงสะท้อนของกลุ่มก้อนหมู่ดาว ฉันแหงนขึ้นมองฟ้า คืนนี้ดาวชัดกว่าทุกวัน
เราปั่นจักรยานกลับในความมืด ดีที่บ๊อบมีไฟกระพริบสำหรับติดท้ายจักรยานมาด้วย ฉันเลยให้เขาปิดท้าย ไม่อยากเกิดกรณีแบบสเตฟานขึ้นมาอีก แล้วอุบัติเหตุเล็ก ๆ ก็เกิดขึ้นเมื่อขาตั้งกล้องที่ฉันมัดไว้กับคานของจักรยานเกิดหลุดตอนไหนก็ไม่รู้ แกว่งลงมาตีขาทำให้เสียการทรงตัวรถล้มไปข้างทาง บ๊อบยังตามมาไม่ถึง แต่ที่ตลกก็คือท่ามกลางความมืดที่ไม่น่ามีใคร จู่ ๆ ก็มีฝรั่งอายุเยอะที่เป็นกระเทยเข้ามาช่วยพยุงฉันขึ้น แล้วถามว่า .... วันนี้เป็นวันดีรึเปล่า!!
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว ฉันรีบไปหาแม๊ตตี้ที่บ้านลืมไปเลยว่านัดกินข้าวเย็นกับเขาไว้ แม๊ตตี้บอกว่าไม่ต้องรีบ แต่ถามฉันว่าปั่นจักรยานเมื่อยรึเปล่า ควรจะผ่อนคลายด้วยการนวดจากมืออาชีพ … ฉันหัวเราะที่เขาสามารถลื่นไปได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้อง นอนคว่ำให้มือใหม่ลองวิชา
ฉันรีบห้ามเขาว่าไม่เอาท่านวดหักกระดูกใด ๆ ทั้งสิ้น บอกไปตรง ๆ ว่าไม่เชื่อว่าเขาจะทำถูกรึเปล่ากลัวว่ากระดูกจะหักมากกว่า เขาหัวเราะทำเสียงอ้อมแอ้มว่าเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน สักพักเราก็หมดเรื่องจะคุยแก้เก้อ ฉันเลยนอนนิ่ง ๆ ส่วนเขาก็นวดไปอย่างสงบ
ซึ่งก็รู้กันอยู่เองว่าความสงบที่เกิดขึ้นมันมีอะไรร้อน ๆ พร้อมประทุอยู่ภายใน เมื่อเวลาผ่านไป 20 กว่านาที ฉันรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหายใจไม่เป็นจังหวะ และมือของเขาก็ร้อนผะผ่าวขึ้นทุกที จึงบอกเขาด้วยน้ำเสียงปกติว่า ... หิวข้าว!
2
ขณะที่กำลังจะเดินออกไปหาอะไรกิน ก็ผ่านบ้านสเตฟานซึ่งเขากำลังนั่งอยู่คนเดียว ฉันแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน แล้วเราก็ตกลงชวนหนุ่มสวิสฯไปกินข้าวด้วย โชคร้ายร้านอาหารอินเดียที่เราไปนั่งรออยู่เป็นนานแก๊สเกิดหมดกระทันหัน และหลังจากเดินจนจะรอบเมืองก็ไม่รู้จะกินอะไร เราก็เข้าไปนั่งกินข้าวที่ร้านธรรมดาร้านหนึ่ง
เพื่อเป็นการตอกย้ำหรืออะไรก็ไม่รู้ สเตฟานเล่าเรื่อง “เธอ” ให้แม๊ตตี้ฟัง ซึ่งฉันก็ต้องฟังด้วยเป็นรอบที่ 2 และถึงแม้แม๊ตตี้จะเป็นผู้ชาย แต่คำแนะนำก็เหมือนกับของฉันและโซฟี ที่ว่าให้คุณชายสเตฟานเลิกสนใจ “เธอ” ได้แล้ว นั่นคือทางออกที่ดีที่สุด เพราะการทำอย่างทุกวันนี้มีแต่จะทำให้ “เธอ” มองข้ามแล้วข้ามอีก
เรามีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะไปร้าน JAZZ UP ที่ขึ้นชื่อเรื่องเพลงแจ๊ซ แต่โชคร้ายครั้งที่ 2 ร้านปิดเพราะลงไปแสดงที่เชียงใหม่ในงานคอนเสิร์ตอะไรซักอย่าง ใครคนหนึ่งตะโกนลั่นให้ดูดาวตก
ฉันแหงนหน้าขึ้นแต่ไม่ทันแล้ว เลยพาลถามเขาไปว่ารู้ไหมว่าดาวกลุ่มนั้นชื่ออะไร ฉันเฉลยว่ามันคือกลุ่มดาวลูกไก่ที่กระโดดเข้ากองไฟตามแม่แล้วไปเกิดเป็นดาว แม๊ตตี้หัวเราะแต่ก็เล่าตำนานดาวของเบลเยี่ยมให้ฟัง พี่สเตฟานไม่น้อยหน้าบอกว่าสวิสฯก็มีนิทานดาวเหมือนกันนะ
1
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ แต่นิทานเวอร์ชั่นย่อไม่เป็นของสเตฟานและอากาศที่เย็นจัดก็ทำให้เราทั้งสามคนยืนใกล้จนแทบจะกอดกัน จนนิทานจบฉันขอบคุณทั้งคู่ที่ทำให้คืนสุดท้ายที่เมืองปายอบอุ่นแม้อากาศจะเย็นกว่าทุกวัน
เมื่อมาถึงบ้าน ฉันบอกราตรีสวัสดิ์ และเดินไปเข้าห้องน้ำ ออกมาก็เจอแม๊ตตี้ยืนรออยู่ นึกว่าเขาจะเข้าห้องน้ำแต่ก็เปล่า เขายิ้มเขิน ๆ ถามฉันว่ายังอยากจะไปนวดต่อรึเปล่า ฉันแหย่เขาไปว่าคราวนี้เป็น Burmese Massage หรือว่า Thai Massage กันล่ะ เขายิ้มด้วยตาพูดเบา ๆ ว่า Love Massage ….
1
ปาย / วันสุดท้าย / 23 ก.พ. 2545
ฉันแบกกล้องและขาตั้งกล้องเตรียมตัวจะไปถ่ายรูปที่ตลาด ก็ได้ยินเสียงสเตฟานเรียกไว้บอกว่าไปไหน จะไปด้วย เขาบ่นกระปอดกระแปดว่าฉันไม่น่ารีบกลับเลยกำลังคุยสนุกแท้ ๆ ฉันดักคอไปว่าเดี๋ยววันนี้ “เธอ” ก็กลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ นายสเตฟานทำหน้าเป็นถามว่า “เธอ” ไหน … ก็ทุกคนจะให้เขาไม่สนใจ “เธอ” ไม่ใช่รึไง เขาก็จะเริ่มไม่สนใจตั้งแต่ตอนนี้เลย ฉันยิ้มเอาใจช่วย
1
เราไม่ได้พูดถึงแม๊ตตี้ แต่หนุ่มสวิสฯ คนนี้มีข้อเสนอที่ทำให้ฉันหัวเราะร่วน เขาถามว่าจำรูปภูเขาที่เขาให้ดูเมื่อวานได้รึเปล่า ถึงเขาไปเที่ยวเองก็จะแพงมากนะ แต่ถ้ามีชาวต่างชาติไปด้วยจะถูกลงเยอะ
เขาก็เลยเสนอว่าให้ฉันไปเที่ยวสวิสฯโดยออกแค่ค่าตั๋วเครื่องบินเอง นอกนั้นเขาจะออกให้หมดทุกอย่างไม่ว่าค่ากินค่าเที่ยว ทีนี้ครั้งต่อไปถ้าเขามาเมืองไทยเขาก็จะออกแค่ค่าตั๋วเครื่องบินเหมือนกันนอกนั้นฉันจ่าย ฉันหัวเราะตอบตกลง แต่บอกเขาว่าไม่รู้เหมือนกันว่าจะเก็บเงินได้เมื่อไหร่ เพราะค่าตั๋วไป-กลับสวิสฯ ก็เท่ากับฉันเที่ยวแถบเอเซีย 2 เดือน!
ใกล้เก้าโมงเช้าเขาแบกเป้มาส่งฉันที่ท่ารถ ก่อนรถจะออกไม่นานสเตฟานยื่นบางอย่างให้ฉันแต่ไม่ได้พูดอะไร ฉันรับมาถือไว้พูดอะไรไม่ออกนอกจากขอบคุณ สิ่งที่สัมผัสได้มีมากกว่ามีดสวิสฯสีแดงที่อยู่ในมือ มวลสารรอบ ๆ ตัวที่อวลอยู่ขณะนั้น ฉันเรียกมันว่า “มิตรภาพ” ซึ่งอีกนานร่วมเดือนกว่าฉันจะรู้ว่ามันมากกว่านั้น
1
ขี้เกียจรออ่านเป็นตอน ๆ สามารถซื้อ E-book ได้ที่นี่นะคะ 👇
โฆษณา