6 ส.ค. 2021 เวลา 06:30 • นิยาย เรื่องสั้น
บันทึกกึ่งนิยาย ตอนที่ 5
"Do you believe in True Love?
เชียงของ-ห้วยทราย-ปากแบง
28 กพ 2545 เชียงของ - ประเทศไทย
ฉันต้องพักอยู่ที่เชียงของ 1 คืน เพราะเรือที่จะเดินทางข้ามไปหลวงพระบาง มีเพียงวันละเที่ยวในเวลา 11.00 ของทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรือเร็ว หรือเรือช้า
คุณป้าเจ้าของ Guest House ยื่นข้อเสนอให้ซื้อตั๋วเรือจากที่นี่ไปเลย เพราะรวมค่ารถจาก Guest House ไปด่านตรวจคนเข้า-ออก , ค่าเรือข้ามฟาก, ค่ารถตุ๊ก ๆ ไปท่าเรือใหญ่ ในราคา 550 บาท ฉันโทรไปเช็คราคากับเพื่อนที่เคยเดินทางก่อนหน้า เพื่อนบอกว่าค่าเรือไปหลวงพระบาง 460 ส่วนค่าอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ จำไม่ได้ ฉันใช้คณิตฯคิดในใจอยู่ครู่นึง ประมาณเอาว่าคุณป้าคงได้กำไรไม่เกิน 50 บาท ฉันก็ตกลง
ข้าง ๆ โต๊ะเก็บตังค์ของคุณป้ามีรูปเรือโดยสารแปะไว้ และบรรยายสรรพคุณของเรือ 2 ประเภทที่มีจุดหมายคือ “หลวงพระบาง” เรือเร็วหรือเรือด่วนใช้เวลา 1 วันเต็มราคาจะแพงกว่าเรือช้าเท่าตัว รูปร่างลักษณะคล้ายกับเรือหางยาวบ้านเรา แต่ของเขาหางไม่ยาวนัก จุคนได้ประมาณ 7 – 10 คน
โดยมีอุปกรณ์เสริมคือหมวกกันน็อค ถามได้ความว่าเอาไว้ป้องกันเสียงของเครื่องยนต์เรือที่ดังแผดเกินกว่าหูจะรับได้ตลอดทั้งวัน ฉันนึกสภาพแล้วก็ดีใจที่มีเรือช้าให้เลือก แม้เรือช้าจะกินเวลา 1 คืน กับ 2 วันเต็ม ๆ แต่การได้ล่องเรือไปตามลำน้ำโขงอย่างละเลียด ละเมียดละไม น่าจะทำให้การเดินทางของฉันตื่นตา มากกว่านั่งหัวโยกหัวสั่น และสัมผัสกับธรรมชาติรอบตัวไม่ถึงเพราะความเร็วของเรือ
1
ห้วยทราย-ประเทศลาว
ฉันแลกเงินลาว “กีบ” ติดตัวไว้ สองแสนกว่ากีบที่ด่านห้วยทราย ด่านตรวจคนเข้า-ออกเมืองของประเทศลาว อัตราในตอนนั้นคือ 1 บาท เท่ากับ 227 กีบ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พกเงินเรือนแสนในกระเป๋า แม้จะเป็นเงิน “กีบ” ก็ตาม แต่อ้ายเจ้าหน้าที่รับแลกเงินก็พูดให้คลายใจว่าไม่เยอะเท่าไหร่เพราะค่าที่พักก็ประมาณสองสามหมื่นกีบแล้ว
ออกจากด่านฯ ก็ถูกต้อนขึ้นรถตุ๊ก ๆ เพื่อพาไปยังท่าเรือใหญ่ ที่จริงก็ไม่ใช่ท่าเรือใหญ่เหมือนท่าเรือน้ำลึกอะไรหรอก เป็นท่าเรือที่จอดสำหรับเรือบรรทุกสินค้าขนาดเล็ก บ้างขนข้าวปลาอาหาร บ้างขนอิฐหินปูนทราย เรือจอดเรียงรายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง
เมื่อมาถึงที่ท่าเรือจะต้องมีการตรวจตั๋ว ไม่ใช่ตรวจตั๋วก่อนขึ้นเรือ แต่จะมีคนมารับเอาตั๋วไปแล้ววิ่งขึ้นไปยังอาคารที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ส่วนพวกเราที่ร่วมโดยสารรถตุ๊กมาด้วยกัน 4 คนก็ต้องนั่งรออยู่ก่อน
ฉันนั่งรออยู่ข้าง ๆ ผู้ชายตัวสูงซึ่งมาคนเดียว เขาสะพายกีตาร์ไว้ที่ไหล่อีกข้าง ผมที่ถูกตัดเกรียนโล้นเข้ากันได้ดีกับต่างหูห่วงเล็กสีเงินทั้งสองข้าง แต่แว่นตา กรอบสีทองก็ทำให้เขาดูสุภาพและไม่น่ากลัว
ฉันนึกถึงวิทยายุทธ์ที่ฝึกมาแล้วจากที่ปาย จึงทักเขาก่อนหลังจากนั่งเงียบ ๆ กันอยู่พักหนึ่ง “คุณเป็นนักดนตรีเหรอ” … “ผมพยายามจะเป็น” … ชายหนุ่มที่พยายามจะเป็นนักดนตรีคนนี้ชื่อ “โยฮัน” อายุ 31 ปีเป็นคนเยอรมัน เขาขายรถขายบ้านออกจากงาน เพื่อใช้เวลาท่องเที่ยว 2 ปีเป็นอย่างน้อย!!
1
ในที่สุดเมื่อตั๋วเรียบร้อยเราจึงหอบสัมภาระขึ้นเรือ ดูจากเศษหินที่หล่นอยู่บนพื้นเรือทำให้พอจะสันนิษฐานได้ว่าปกติเรือลำนี้ใช้ขนหินขนทรายเหมือนเรือที่จอดอยู่ข้าง ๆ ภายในของตัวเรือปิดทึบไม่มีหน้าต่าง มีไม้ที่ถูกตีขึ้นหยาบ ๆ เป็นที่นั่งตลอดข้างลำเรือ ส่วนตรงกลางเว้นว่างไว้
ฉันเดินตรงไปทางท้ายของเรือส่งเป้ใบยักษ์ให้กับลูกเรือที่คอยจัดเป้และกระเป๋าไปวางเทินกันไว้อย่างมีระเบียบ แล้วก็เลยหาที่นั่งใกล้ ๆ ท้ายเรือ พี่โยฮันส่งเป้แล้วเดินมานั่งข้าง ๆ
คนทยอยลงเรือมาจนที่นั่งเริ่มอัดแน่น ฉันกับพี่โยฮันคิดกันเอาเองว่าเขาคงมีเรืออีกลำเมื่อลำนี้เต็ม แต่แล้วเราก็เข้าใจทันทีเมื่อลูกเรือชี้ไปที่พื้นให้กับชายหญิงคู่นึงซึ่งกำลังรีรอว่าจะนั่งตรงไหนดีเพราะไม่มีที่ว่างเหลือ พี่โยฮันหันมาสบตากับฉันเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูด ส่วนฉันเพียงแต่นึกว่าเขาจำกัดคนไว้ถึงกี่คนสำหรับเรือ 1 ลำ
1
ช่องกลางที่ว่างเปล่าของเรือ ตอนนี้เริ่มจะไม่มีที่ว่าง มองลอดผ่านทางเข้าเรือยังเห็นคนยืนต่อแถวอยู่ไม่น้อย ผู้ชายคนนึงเดินตรงมาทางฉัน แนะนำว่าเป็นคนขับเรือ เขาถามว่าฉันเป็นคนไทยรึเปล่า ฉันพยักหน้า เขาถามว่ามากับแฟนรึไง พลางส่งสายตาไปที่พี่โยฮัน ฉันสั่นหัวปฏิเสธ
เขาจึงบอกให้ฉันไปนั่งข้างหน้า ฉันมองตามมือที่ชี้ไปยังส่วนหัวของเรือ เห็นพื้นที่ถูกยกขึ้นและถูกกั้นเป็นห้อง ฉันสั่นหัวปฏิเสธอีกครั้ง “ขอบคุณค่ะอ้าย ขอนั่งกับเพื่อนที่นี่ดีกว่า” นึกถึงคำแนะนำของคนเคยโดยสารเส้นทางนี้ว่า พี่น้องชาวลาว จะเอื้อเฟื้อคนไทยเป็นพิเศษ ให้นั่งเล่นนอนเล่นในที่ทางของเขาได้
เมื่อคนขึ้นเรือจนเกือบหมด ผู้หญิงคนนึงก็เดินมาที่ฉัน เธอบอกว่าเป็นเมียของอ้ายคนขับเรือ และมาตามให้ฉันไปนั่งข้างหน้า ฉันเริ่มลังเลว่าเขากำลังเชื้อเชิญด้วยไมตรีหรือว่ากำลังต้องการความช่วยเหลือกันแน่ แต่ความเกรงใจที่ให้ผู้ใหญ่มาตามสองครั้งสองครา และความสบายที่มองเห็นอยู่ข้างหน้าทำให้ฉันหยิบกระเป๋าใบเล็กเดินตามเอื้อยไป (เพื่อนแนะนำว่าฉันควรจะเรียกพี่สาวชาวลาวว่า “เอื้อย”) ไม่ลืมที่จะหันมาชวนพี่โยฮัน แต่พี่ปฏิเสธ
ห้องด้านหน้าเป็นเหมือนห้องส่วนตัวของเอื้อยอ้ายเจ้าของเรือโดยแท้ มีหม้อและจานชามเรียงอยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งก็เป็นตู้เสื้อผ้าและฟูกนอนกองรวมกันไว้ ทั้งสองฝั่งของห้องมีหน้าต่างรับอากาศภายนอกและมีประตูเดินออกไปทางหัวเรือ
ฉันนึกว่าจะได้เห็นอ้ายคนขับนั่งบังคับเรืออยู่ในห้องนี้แต่ก็เห็นแค่เพียงขาที่ห้อยลงมาจากพื้นยกสูงขึ้นไปอีกชั้น ซึ่งเป็นที่นั่งของผู้บังคับเรือ สักพักขาข้างที่ฉันเห็นห้อยลงมาก็เหยียบเจ้าตัวที่มีลักษณะคล้ายคันเร่งขึ้นลง เรือหันหัวเบี่ยงออกจากท่า มุ่งหน้า “หลวงพระบาง”
เอื้อยจัดฟูกและหมอนแอบไปอีกทาง บอกว่าให้ฉันนั่งตามสบาย การสื่อสารระหว่างเราพอกล้อมแกล้ม แต่เวลาเอื้อยและอ้ายเขาคุยกัน ฉันฟังไม่กระดิกสักนิด ก็กลายเป็นว่าฉันนั่งอยู่กลางระหว่าง 2 ภาษาที่ฉันไม่สันทัดเอาซะเลย ดีหน่อยที่พี่น้องชาวลาวใช้ภาษาไทยได้พอควร ส่วนเพื่อนร่วมเรือต่างชาติก็พอเข้าใจภาษาอังกฤษฉบับบกพร่องของฉัน
สาววัยรุ่นหัวเกรียน(ฉันเดาเอาว่าเป็นคนเยอรมัน) โผล่หน้ามาถามว่าจะขอเข้ามานั่งในนี้ได้บ้างรึเปล่า ฉันหันไปถามเอื้อย เอื้อยตะโกนขึ้นไปถามอ้ายแล้วก็หันมาพยักหน้าเชิงอนุญาต เท่านั้นเองกลุ่มคนที่กำลังแออัดอยู่กลางเรือบางส่วนก็ขยับขยายมาเอนกายในห้องของเจ้าของเรือ
สาวหัวเกรียนมากับเพื่อนหัวเกรียนของเขา ฉันบอกพวกเขาว่าอย่าเพิ่งบอกฉันถึงประเทศของเขา ฉันขอเดาว่าพวกเขามาจากเยอรมันใช่หรือไม่ สองคนมองหน้ากันแล้วก็ถามฉันกลับว่ารู้ได้ยังไง ฉันหัวเราะเฉลยว่าเมื่อเช้าเจอคนเยอรมันคนนึงหัวเกรียนเหมือนกัน คิดเอาเองว่าคนเยอรมันชอบโกนหัว
ตรงส่วนแม่ย่านางเรือซึ่งเป็นหัวเรือ มีที่ว่างพอนั่งรับลมได้จึงมีบางคนออกไปนั่งโต้ลมอาบแดดอ่อน ๆ ที่แม้จะใกล้เที่ยงแล้วก็ตาม คงเพราะอากาศฤดูนี้ที่เมฆหมอกยังหนาตา หลายคนจึงถือโอกาสอาบแดดไปในตัว บ้างห้อยขา บ้างเอนกาย
1
บางคนแวะมาขอบคุณฉันที่ให้เข้ามานั่งในส่วนที่สบายที่สุดของเรือ ฉันยิ้มเก้อ ๆ บอกว่าให้ไปขอบคุณเจ้าของเรือดีกว่า ฉันก็เหมือนพวกเขาคือเป็นผู้โดยสารเหมือนกัน เมื่อเห็นข้างหน้ามีการขยับขยายผู้ซึ่งโดยสารอยู่ตรงกลางก็เริ่มหาหนทางสบายบ้าง ด้วยการปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาเรือเป็นสิบคนหนึ่งในนั้นก็มี “พี่โยฮัน”
ปัญหาเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นก็คือมีคน 5 – 6 คนขึ้นเรือมาโดยไม่ได้เอาตั๋วไปเช็คก่อนขึ้นเรือ ส่งผลให้เจ้าของเรือจะไม่ได้เงินในส่วนนี้ ฉันเลยกลายเป็นตัวกลางระหว่างเอื้อยกับฝรั่งกลุ่มนั้นคอยอธิบายว่าทำไมเอื้อยถึงต้องขอตั๋วมาเก็บไว้ ฝ่ายฝรั่งก็กลัวว่าถ้าให้ตั๋วไปก็จะมีปัญหาว่าเขาไม่มีหลักฐานในการชำระเงิน สุดท้ายก็มาตกที่ฉันว่า ฉันจะต้องเป็นพยานว่าฝรั่งกลุ่มนี้ให้ตั๋วมากับเอื้อยแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันต้องเป็นผู้ยืนยัน เอ้า!! ก็ได้ !!
เมื่อทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติ ฉันก็เอนตัวพิงฟูกที่กองไว้ริมหน้าต่าง ลมเย็นปะทะหน้า ทำให้ต้องโผล่หัวยื่นออกไปสำรวจสภาพแวดล้อมริมฝั่งแม่น้ำโขง ภูเขาเรียงรายลดหลั่นไอหมอกบางคลุมอยู่บนยอด นึกจินตนาการไม่ออกว่าใกล้เที่ยงยังมีหมอกบาง ๆ เรี่ยอยู่ยอดเขา แล้วถ้าเป็นยามเช้าตรู่ล่ะ หมอกจะทึบหนาตาเพียงใด
น้ำโขงสีขุ่นคลักคล้ายกาแฟใส่นม ไหลเลี้ยวไประหว่างขุนเขาสองฟากฝั่งแบ่งกลางแผ่นดินของพี่น้องเชื้อสายไทย-ลาว จากที่ได้สัมผัสกับไมตรีแรกที่เมืองลาวหยิบยื่นให้ ฉันก็เข้าใจแล้วว่า แม่น้ำโขงไม่ใช่เส้นสายน้ำแบ่งประเทศ แต่กลับเป็นตัวเชื่อมสายสัมพันธ์อันงดงามของสองแผ่นดินเข้าด้วยกัน … อะไรจะแยกพี่น้องออกจากกันได้ ?
เส้นทางสู่หลวงพระบางด้วยเรือช้าจะจอดพักที่เมือง ”ปากแบ่ง” เป็นเวลา 1 คืน แต่ระหว่างนั้นก็จะจอดพักตามจุดต่าง ๆ หลายครั้ง ทั้งเป็นการจอดเพื่อตรวจอย่างเป็นทางการจากตำรวจ และจอดเพื่อพักเรือให้ผู้โดยสารลงไปซื้อของกิน (โดยส่วนใหญ่พี่ฝรั่งจะลงไปซื้อ “เบียร์ลาว”) เมื่อใกล้จะถึงจุดจอดตรวจเรือ
เอื้อยเจ้าของเรือก็จะนำกระดาษและปากกา มาให้ฉันเขียนข้อความขอให้คนที่อยู่บนหลังคาเรือลงมาก่อนเพราะจะต้องเสียค่าปรับกับตำรวจถ้ามีคนอยู่บนหลังคา ฉันเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างชาวลาวกับชาวต่างชาติอยู่หลายครั้งจนเริ่มมีชื่อเสียง ถ้าฉันลงสมัครผู้แทนของเรือลำนี้ คะแนนคงล้นหลามแน่ ๆ หลายคนเรียกฉันให้ได้ยินแว่ว ๆ ว่า “Thai Girl” ฟังเผิน ๆ จะเป็น “Tiger” อีกยี่ห้อเบียร์ที่เริ่มมีขายในลาวบ้างแล้ว
ในเวลาบ่าย แดดเริ่มจัดและอากาศเริ่มร้อน ไม่ใช่สำหรับฉันแต่สำหรับคนที่นอนอาบแดดอยู่บนหลังคาเรือต่างหาก เมื่ออ้ายเจ้าของเรือจอดพัก 10 นาที คนบนหลังคากระโดดลงจากเรือขึ้นฝั่งเกือบหมด ญี่ปุ่นสองคนกระโจนลงน้ำกับกางเกงในตัวจิ๋ว สาวผมทองสองสามคนเหลือเพียงเสื้อบิกินี่กับกางเกงชาวเล เกือบทุกคนมีกระป๋องเบียร์ลาวอยู่ในมือ และหลายคนหิ้วถุงที่มีขวดเบียร์ลาวมากกว่าหนึ่งขวดอยู่ข้างใน
เรือออกเดินทางอีกครั้ง อ้ายก้มลงมาเรียกให้ฉันขึ้นไปนั่งบนห้องขับเรือ พูดให้โก้ว่าห้องคนขับเรือแต่จริง ๆ ก็คือพื้น ที่ยกขึ้นมาอีกระดับขนาดกว้างไม่เกิน 2 วาและสูงเรี่ย ๆ หัวในตอนนั่ง เอื้อยตามขึ้นมาในมือมีหม้อและจานที่มีอาหารอยู่ข้างใน เบียร์ลาวเย็นเจี๊ยบถูกรินและยื่นมาตรงหน้า ฉันรับและกล่าวขอบคุณ
อ้ายบอกว่าใครมาลาวไม่ได้กินเบียร์ลาวถือว่ายังไม่ได้มา เบียร์ลาวเป็นยี่ห้อเดียวที่ได้รับสัมปทานจากประเทศลาวปราศจากคู่แข่งในประเทศอย่างสิ้นเชิง รสชาติไม่ต้องพูดถึงขนาดคนเยอรมันที่ดื่มเบียร์เป็นอาชีพยังยกนิ้วให้เบียร์ลาว เขาบอกว่า คลาสิคไม่แพ้กัน แต่สำหรับคอเบียร์ชาวไทยหลายรายบอกว่า ดีกรีอ่อนเกินไป อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมการดื่ม อ้ายบอกว่าถ้านิยมดื่มแบบหนักให้ทดลองเหล้าลาว เบียร์ลาวสำหรับจิบเรื่อย ๆ แบบสบายใจมากกว่า
ครั้งแรกในชีวิตสำหรับเบียร์ลาว และก็ครั้งแรกอีกเหมือนกันสำหรับเนื้อควาย กับแกล้มที่เอื้อยยื่นมาให้ลองกิน ฉันถามว่า ดิบรึเปล่าเอื้อย มีแต่เสียงหัวเราะจากเอื้อย อ้ายก็เลยตอบว่า ไม่เป็นไรหรอกบีบมะนาวแล้ว ขณะหยิบชิ้นแรกเข้าปากฉันก็นึกถึงวิชาสุขศึกษาที่เรียนสมัยประถม หยิบชิ้นที่สองฉันนึกถึงวิชาวิทยาศาสตร์สมัยมัธยม หยิบชิ้นที่สามฉันว่ามันก็อร่อยดี
หกโมงกว่าเรือก็เทียบท่าที่ปากแบ่ง
ท้องฟ้ามืดครึ้ม อากาศเย็นแต่ฉันกลับรู้สึกอ้าว เหนียวตัว อยากอาบน้ำให้สบายใจ แม้การเดินทางล่องลำน้ำโขงจะไม่ต้องผจญกับคลื่นยักษ์หรือวิบากกรรมอะไร แต่ตลอดสิบกว่าชั่วโมงที่อยู่บนเรือตลอดก็ทำให้เพลียเหลือกำลัง
ฉันเป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายที่ขึ้นเรือ เนื่องจากเอื้อยบอกว่าทิ้งกระเป๋าไว้บนเรือก็ได้เอาไปแต่ของที่จำเป็น เพราะคืนนี้เธอกับอ้ายนอนเฝ้าเรือ เมื่อเดินขึ้นจากท่าเรือขึ้นไปตามทางลาดชันก็พบกับเรือนพักสองฟากฝั่งถนนลูกรัง บ้างเป็นร้านอาหารอย่างเดียว บ้างเป็นร้านอาหารแต่ชั้นบนเป็นที่พัก
ฉันตอบปฏิเสธไปกับเด็กผู้หญิงคนนึงที่เดินมาดึงแขนให้ไปดูที่พักซึ่งอยู่ตรงต้น ๆ ทาง มองไปตามมือของเธอก็จะเห็นเรือนพักที่ดูดีกว่าที่อื่นปลูกสร้างเป็นตึก 3 ชั้น มองเห็นท้ายของกลุ่มทักท่องเที่ยวมีอายุ 3 – 4 คนเดินลับหายเข้าไป ฉันปฏิเสธไปโดยยังไม่ได้ถามแม้แต่ราคา
เดินเลยเข้ามาประมาณ 100 เมตร เด็กผู้หญิงตัวเล็กมอมแมมสองคนก็เข้ามาทักทาย ถามว่าฉันเป็นคนไทยรึเปล่า เมื่อฉันพยักหน้าก็ชักชวนให้ฉันเข้าไปดูบ้านพักเรือนไม้ 2 ชั้น เธอชี้ให้ดูห้องน้ำที่อยู่ด้านข้างพลางบอกว่า มีน้ำอุ่นด้วย
เมื่อเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ทางเดินแคบ ๆ แบ่งกลางระหว่างห้องพักซอยเล็ก 4 – 5 ห้อง ที่หันประตูเข้าหากัน ข้างในแต่ละห้องมีเตียงเล็ก ๆ 2 เตียงอยู่เกือบชิดกันห่างแค่เพียง 1 คนยืน ฉันมองสภาพห้องแล้วก็พยักหน้าตกลงในราคา 100 บาทต่อคืน ยังไม่ทันที่จะปลดเป้ออกจากหลัง ผู้ชายมีอายุซึ่งรู้ทีหลังว่าเป็นพ่อของเด็กสองคนนั้นก็เดินออกมาจากห้องด้านในกับชาวต่างชาติ 2 คน บอกว่าเต็มแล้ว!
ฉันไม่อยากต่อความ เพราะเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไร จึงเดินออกมาจากบ้านนั้น มุ่งหน้าขึ้นไปเพื่อหาที่พัก ขณะนั้นเองเด็กสาวลาววัยรุ่น ก็เดินพรวดออกจากร้านมาจนเกือบชนฉัน เธอกล่าวขอโทษอย่างตกใจ ฉันเลยถามว่าข้างหน้ามีที่พักอีกรึเปล่า เมื่อเธอรู้ว่าฉันเป็นคนไทยเธอจึงคุยด้วยอย่างกันเอง บอกว่าต้องเดินเข้าไปข้างในเกือบสุดเพราะแถวนี้ส่วนใหญ่จะเต็มหมดแล้ว หรือจะไปพักบ้านเธอก็ได้ซึ่งเป็นที่พักเหมือนกันราคา 100 บาท
แต่ก็โชคร้ายเมื่อไปถึงบ้านเธอก็เต็มเช่นกัน เหลือเพียงบ้านฝั่งตรงข้ามอันเป็นบ้านสุดท้ายสุดสายของถนน ซึ่งหากหลังนี้ไม่มีห้องว่าง ฉันอาจจะต้องลงไปเคาะเรือขออ้ายและเอื้อยนอนด้วยในคืนนี้ ซึ่งไม่ต้องลำบากขนาดนั้นเพราะบ้านหลังนี้ห้องเหลืออีกเกือบสิบห้อง คงเพราะเป็นบ้านสุดท้ายที่น้อยคนจะเดินขึ้นมาถึงถ้าห้องไม่เต็มตลอดทาง อีกทั้งตัวบ้านก็ไม่น่าดึงดูดขนาดว่าต้องดั้นด้นเดินขึ้นมาจนถึง ถ้าไม่สุดวิสัยอย่างฉันจริง ๆ
คราบฝุ่นจับหนาตลอดช่องทางเดินชั้นบน เมื่อเด็กชายวัยรุ่นเดินนำฉันขึ้นมา สภาพห้องเล็ก ๆ ที่สร้างด้วยไม้เหมือนกับหลังแรกที่ฉันเกือบได้พัก พัดลมติดผนังตัวเก่าอยู่เหนือประตูด้านในยังคงใช้งานได้ เสื่อน้ำมันขาดวิ่นปูบนพื้นห้อง เตียงเก่าแคบหุ้มด้วยผ้าลายดอกไม้สีซีด ฉันโยนเป้ใบเล็กไปที่เตียงข้าง ๆ แล้วทรุดตัวลงอีกฝั่ง ตั้งใจว่าจะพักสายตาแต่ก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวทั้ง ๆ ที่รองเท้าผ้าใบยังสวมอยู่ทั้งสองข้าง
ปากแบ่ง - 3 ทุ่มกว่า
ฉันรู้สีกตัวตื่น เมื่อได้ยินเสียงเพลงดังลั่นอยู่ข้าง ๆ หู ชะโงกหน้าออกไปดูเห็นลำโพงขนาดยักษ์ตั้งอยู่ข้าง ๆ บ้าน สงสัยบ้านนี้จะมีงาน และสงสัยฉันดวงฉันกำลังซวย คงได้นอนฟังเพลงทั้งคืนแน่
ถามเด็กที่เฝ้าบ้านได้ความว่า บ้านตรงข้ามมีงานวันเกิด แล้วเขาก็บอกฉันด้วยน้ำเสียงภูมิใจว่า “ผมมีบัตรเชิญด้วยนะ พี่สาวจะไปกับผมก็ได้” ฉันมองไปยังบ้านตรงข้าม เห็นโต๊ะยาวเต็มไปด้วยอาหาร ข้างหลังมีกระดาษสายรุ้งห้อยระโยงระยาง หนุ่มสาวชาวลาว กำลังกินข้าว หัวเราะรื่นเริง เก้าอี้หลายตัวยังว่างอยู่ “ต้องใช้บัตรเชิญด้วยเหรอ” ฉันถามออกไปด้วยความสงสัยจริง ๆ
ฉันเดินลงมาตามทางเพื่อหาร้านอาหารฝั่งที่มองเห็นแม่น้ำโขง แต่เกือบทุกที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว จนใกล้สุดทางก็ได้ยินภาษาไทยคุ้นหูดังแว่วมาจากร้านข้างหน้า เมื่อเดินไปถึงก็เห็นสาววัยรุ่น 4 อนงค์นั่งดูละครช่อง 7 ที่ส่งตรงมาจากประเทศไทย แม้จะเป็นเพียงเสียงในโทรทัศน์แต่ฉันก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาในใจ ฟังภาษาไทยจากนอกประเทศนี่มันเพราะจนน้ำตาซึมเลยล่ะ
ยังไม่ทันหายซาบซึ้งกับภาษาไทยจากทีวี ฉันก็มีอันต้องใจหายวาบใหญ่ เมื่อล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงด้านหลังแล้วไม่เจอพาสปอร์ต หรือหนังสือเดินทาง ฉันตั้งสติอีกครั้งทบทวนว่าตัวเองเอาออกจากกระเป๋ากางเกงรึเปล่า? หรือว่าจะหล่นตอนนอน? คิดได้ดังนั้นก็รีบสาวเท้ายาว ๆ กลับไปยังที่พักพลางก่นด่าตัวเองในใจ “งี่เง่ารึเปล่าเนี่ยเอาพาสปอร์ตไว้ในกระเป๋าหลังของกางเกง” สลับกับตั้งคำถามว่า “ถ้ามันหายจะทำยังไงกันดีวะเนี่ย วีซ่าที่ขอไว้ก็ต้องขอใหม่หมดเลยสิ”
เหงื่อเม็ดใหญ่ซึมจากหนังหัวและหยดย้อยไล่ตามใบหน้ามาถึงคางอย่างไม่ยอมจะหยุดทั้ง ๆ ที่อากาศไม่ร้อน ฉันลงมือรื้อ ค้นทุกอย่างที่เป็นไปได้ก็ยังไม่เจอหนังสือเดินทาง ของสำคัญที่สุดของนักเดินทางข้ามประเทศ!
ฉันถอดกางเกงออกมาเขย่า ถึงแม้ว่าจะควักของทุกอย่างออกมาจากทุกกระเป๋าที่กางเกงมีแล้วก็ตาม การถอดกางเกงออกมาเขย่าเป็นสัญญาณเตือนว่าประสาทฉันเริ่มแกว่งและสมองเริ่มเอาไม่อยู่ เมื่อรื้อทุกอย่างแม้กระทั่งเปิดเสื่อน้ำมันดู หรือยกที่นอนเพื่อค้นหาแล้วไม่พบ
ฉันก็นั่งหอบหายใจถี่ นั่งมองสภาพห้องที่เหมือนเพิ่งถูกโจรห้าร้อยมากระทำย่ำยีอย่างหมดอาลัย เสียงเพลงข้างนอกยังกระหน่ำเหมือนตอกย้ำให้ผู้หญิงบ้าหัวกระเซิงและเหงื่อเปรอะทั่วใบหน้ายิ่งคลุ้มคลั่ง
เมื่อหมดหวังจากในห้อง ฉันก็คว้าไฟฉายแล้ววิ่งออกไปข้างนอก ส่องไปตามทางถนนทุกซอกทุกมุม เบิ่งตาไปตามลำแสงของไฟฉายจนแทบไม่กระพริบตา จนสุดทางของไฟฟ้าจากร้านค้า ข้างหน้าเป็นทางลงไปยังท่าเรือ ความมืดเกือบสนิทนอนนิ่งอยู่เบื้องหน้า แต่ไม่มีความลังเลเกิดขึ้นแม้เพียงเสี้ยววินาที
เพื่อให้ได้ของที่ต้องการฉันเดินฝ่าความมืดมิดตรงดิ่งไปยังเงาตะคุ่มของเรือที่จอดเรียงรายกันอยู่ ระยะทางจากย่านร้านค้าไปยังท่าเรือใช้เวลาประมาณ 2-3 นาทีแต่ทางลงที่ลาดชันและความมืดที่ไฟฉายกระบอกเล็กเอาไม่อยู่ ทำให้ฉันสะดุดก้อนหินไถลลื่นตกลงไป ถึงจะตกใจมากแค่ไหนแต่ก็กลัวเกินกว่าจะร้องออกมาแม้แต่แอะเดียว
ฉันปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่พักนึงแล้วจึงทรงตัวขึ้นวิ่งกลับไปข้างบนโดยทิ้งจินตนาการร้าย ๆ ไว้ข้างหลัง คิดแต่เพียงว่าไว้ตอนเช้าค่อยมาดูก็คงไม่สายเกินไป และกฎข้อที่หนึ่งของการเดินทางคนเดียวก็พุ่งเข้ามาในสมอง “อย่าพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยง” ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้เสี่ยงเกินไป
ความหวังริบหรี่ที่คิดว่าพาสปอร์ตอาจตกอยู่ในเรือยังไม่ได้ถูกพิสูจน์ ฉันจึงพาร่างที่เกือบไร้วิญญาณเดินกลับไปยังที่พัก กลิ่นหอมโชยของน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวไม่สามารถทำให้อารมณ์อยากอาหารกลับมาได้ ถึงที่พักฉันแวะไปสำรวจห้องน้ำเผื่อว่าจะทำตกไว้ ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่มายังไม่ได้เข้าไปเหยียบห้องน้ำเลยซักครั้ง!!
เมื่อถึงห้องพักฉันนั่งสวดมนต์ อ้อนวอนขอปาฏิหารย์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้พรุ่งนี้ตื่นมาแล้วไปเจอพาสปอร์ตตกอยู่ในเรือ หรือว่าตกอยู่ในห้องคนขับเรือก็ได้ไม่ว่ากัน ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอน หลับไปทั้งชุดเดิม หน้าตาไม่ล้าง น้ำท่าไม่อาบ รองเท้าผ้าใบก็ไม่ถอด ไม่ได้ใส่ไว้เผื่อฉุกเฉินหรอก เพียงแต่ว่ามันเหนื่อยแล้วก็หลับไปแบบไม่ได้เตรียมตัวทั้ง ๆ ที่เสียงเพลงยังตุ้งแช่กันสนั่นอยู่ข้างหู
มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็ตอนที่ประตูห้องเปิดผึงออกไป แสงสีนวลลอดเข้ามาในห้องสว่างจ้าเข้าตา 5 วินาทีผ่านไปฉันถึงกระโดดลงจากเตียงมาที่ประตู เพราะทีแรกมันยังมึนอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นวะ แสงอะไรทำไมมันมัวซัวเรือนลางอย่างนี้ สงสัยอยู่ในฝัน ก็พอดีนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ใส่แว่น เลยรีบเผ่นไปที่ประตู สำรวจอยู่พักนึงถึงได้รู้ว่า กลอนประตูกับช่องรับกลอนมันเหลื่อมกัน
หลังจากเหตุการณ์ประตูผีบ้าเปิดเองได้ ก็ทำเอาฉันประสาทหนัก นอน ๆ อยู่ก็ลุกขึ้นมาสำรวจประตู ทำอย่างนี้อยู่ 3 – 4 รอบจนรุ่งสางถึงได้หลับยาว ซึ่งเรื่องประตูก็มาดึงความสนใจให้ฉันลืมเรื่องพาสปอร์ตไปได้อย่างน้อยครึ่งคืนก็ยังดี
แต่เรื่องยังไม่หมดแค่นั้น พอฟ้าสางฉันรีบเก็บเข้าของ วิ่งลงมาข้างล่างเป้าหมายคือท่าเรือ แต่ก็ต้องสะดุดกึก เมื่อเจอด่านสำคัญคือประตูบ้านมันปิด! ไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านอยู่ไหน แล้วจะเปิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เมื่อคืนคงเมาแปล้เลยสิ โอ๊ย! ทำไมถึงได้ซวยอย่างนี้นะ
เมื่อออกจากบ้านได้ฉันรีบวิ่งลงไปที่ท่าเรือ สำรวจทั่วตั้งแต่หัวเรือยันท้ายเรือ ค้นในกระเป๋าใหญ่ ดีที่ยังไม่ได้ไปรื้อตู้เสื้อผ้าของเอื้อย ในใจก็ร้องขออยู่คำเดียว “ขอให้เจอ ขอให้เจอ” แต่ไม่มีใครเข้าข้าง หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
1
เอื้อยช่วยฉันเดินหาอีกแรงเมื่อฉันบอกให้ฟังว่า พาสปอร์ตหายและมีความสำคัญกับชีวิตการเดินทางยังไง เฮ้อ..เล่นหายเอาตอนที่ข้ามประเทศเป็นที่แรกซะด้วย อย่างนี้ก็เป็นอันว่าแผนการทั้งหมดต้องถูกร่างใหม่ คงต้องตัดประเทศกัมพูชาออกไป เพราะต้องกลับไปขอวีซ่าใหม่ที่สถานฑูตในประเทศไทย ซึ่งเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน จะทำพาสปอร์ตใหม่ได้ที่ไหนก็ไม่รู้ ถ้าที่เวียงจันทร์ไม่มีสถานฑูตไทยเราจะกลับบ้านยังไงล่ะเนี่ย??
ตั้งคำถามกับตัวเองวกไปวนมา น้ำตาพาลจะไหลทำไมต้องเป็นเราด้วยวะ เอื้อยเดินมานั่งลงข้าง ๆ หลังจากเดินไปดูที่ท้ายเรือให้ พลางเอามือลูบหัวลูบหลังเป็นการปลอบใจ คนบ่อน้ำตาตื้นอย่างฉันทนสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้ จึงยกมือไว้ขอบคุณเอื้อยแล้วรีบเดินกึ่งวิ่งขึ้นมาหาข้าวเช้ากินข้างบน
รู้สึกเหมือนตัวเบาโหวง สมองยังไม่อยากรับความจริงเรื่องพาสปอร์ตหาย ก็เลยเดินเรื่อยเปื่อย สายตาที่มองเห็นภาพสวยงามของปากแบ่งยามเช้าไม่อาจส่งไปถึงสมองได้ จึงเพียงแต่มองหมอกหนาที่ลอยล้ออยู่กับแม่น้ำโขงด้วยสายตาว่างเปล่า จนเดินมาหยุดอยู่หน้าเกสท์เฮาส์หลังแรกที่มาถามเมื่อวาน
ความหวังเล็ก ๆ ผุดขึ้นมา เอ๊ะ หรือว่าจะตกอยู่ที่นี่ เท้าเดินนำไปก่อนสมองสั่ง เดินมาจนถึงบันไดบ้าน ก็เจออ้ายชาวลาวเดาเอาว่าคงเป็นเจ้าของบ้าน เมื่อเขาทำหน้าสงสัยว่าฉันจะขึ้นไปทำอะไร ฉันก็ชิงถามเขาก่อนว่า เห็นพาสปอร์ตฉันรึเปล่า เขาสั่นหัวถามว่าพาสปอร์ตคืออะไร
เมื่อฉันอธิบายจบเขาก็สั่นหัวอีกคราวนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง แต่ก็แอบให้ความหวังฉันเล็กน้อย บอกว่าเดี๋ยวจะไปถามเมียให้ ระหว่างที่เขาเดินไปถามเมีย ฉันก็เดินออกมาหน้าบ้านดูตามซอกถังขยะ ใต้ถุนร้าน มุมของบ้าน แหวกหญ้าดูกันเลยทีเดียว
สักพักก็มีผู้หญิงวัยกลางคนเดินมาสะกิด ฉันคิดว่าคงเป็นเมียเจ้าของบ้าน แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะถามอะไร เธอก็โพล่งขึ้นมาว่า “รูปหายเรอะ” ฉันอ่อนใจไม่อยากอธิบายอีกแล้วว่าพาสปอร์ตคืออะไร จึงสั่นหน้าเบา ๆ แล้วก้มหาต่อไป
แต่เธอยังไม่ลดละ สะกิดอีกครั้ง คราวนี้ชี้มาที่หน้าฉันแล้วพูดว่า “รูปหาย รูปหาย” พูดอยู่อย่างนี้ ฉันก็เลยหยุดหาแล้วบอกไปว่า “ไม่ใช่รูป แต่เป็นพาสปอร์ต…หนังสือเดินทางน่ะ เอาไว้ออกนอกประเทศ ไม่รู้ตกอยู่ที่นี่รึเปล่า เอื้อยเห็นรึเปล่าคะ”
เธอทำหน้างง ๆ แล้วก็พูดซ้ำว่า “รูป รูป รูป” คราวนี้ฉันงงแทน พูดอะไรไม่ออก เธอมองหน้าฉันอยู่แป๊บนึงก็เดินไปพาผู้หญิงอีกคนมา หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า ซึ่งแว่บเดียวที่เห็นฉันใจเต้นโครมใหญ่ นั่นมันพาสปอร์ตนี่หว่า!! ผู้หญิงคนนั้นเปิดหน้าที่มีรูปฉันให้ดู แล้วบอกว่า “รูป รูป นี่ไงรูป”
1
ขี้เกียจรออ่านเป็นตอน ๆ สามารถซื้อ E-book ได้ที่นี่นะคะ 👇
โฆษณา