7 ส.ค. 2021 เวลา 08:18 • นิยาย เรื่องสั้น
บันทึกกึ่งนิยาย ตอนที่ 6
"Do you believe in True Love?"
พี่โยฮัน และ หลวงพระบาง
1 มีนาคม 2545
มุ่งหน้าหลวงพระบาง
เรือค่อย ๆ เคลื่อนออกจากท่า ฉันส่งสายตาอำลาปากแบง หมู่บ้านเล็ก ๆ ของประเทศลาวที่คงจะเป็นที่ ๆ ฉันลืมยากสักหน่อย แม้จะสบายใจ โล่งใจ ดีใจ ที่ของหายกลับได้คืน แม้จะบอกตัวเองว่าโชคดีเข้าข้างหล่อนแค่ไหนกันเนี่ย
ฉันก็ยังอดคิดถึงใบหน้าของหญิงสาวชาวลาวที่ยื่นพาสปอร์ตคืนให้ฉันไม่ได้ เธอมีแววตาที่ใสซื่อ แล้วก็คำพูดที่ซื่อยิ่งกว่า “จะไม่เวทนาบุญฉันหน่อยเหรอ” ฉันยังจำความรู้สึกที่ผสมปนเปกันอยู่ในหัวตอนนั้นได้หมด
ทั้งตัวดีตัวร้ายในหัวของฉันต่อสู้กันด้วยคำถามต่าง ๆ
“คนสมัยนี้ตีค่าน้ำใจเป็นเงินไปแล้วเหรอไร”
“คนเค้าเก็บของมาคืนให้ ก็ต้องมีน้ำใจกลับให้เค้ารึเปล่าล่ะ”
“แต่ควรรอให้เราเป็นคนยื่นเสนอน้ำใจให้ไม่ใช่เหรอ”
“ทำไมต้องรอให้เสนอ เราเป็นหนี้บุญคุณเค้าไม่พอ ยังอยากจะเป็นเจ้าชีวิตคอยหยิบยื่นให้คนที่ด้อยกว่าอีกเหรอ”
“ถึงต้องให้เงินเป็นสินน้ำใจ แต่มันหนีความจริงที่ว่า เราทำหาย เค้าเก็บคืนให้ไม่ได้หรอก”
“แต่ว่า... มัน... อื้ออ... เออ!!! ช่างมันเถอะ!!”
2
ฉันปัดไล่ความรู้สึกสับสนในใจออกไป แล้วถามกลับไปว่า “อยากได้เท่าไหร่คะ” “เท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่จะให้” “100 พอมั้ย” เธอเม้มปากแว่บนึงแล้วตอบ “200 แล้วกัน”
เจ้าตัวในหัวฉันโพล่งขึ้นมาอีก
“อ่ะ ไหนว่าแล้วแต่จะให้”
“โอ๊ย 200 แพงกว่าค่าที่พักเมื่อคืนอีก”
“เอ้อ!! คิดดี ๆ นะ ถ้าหายไปจริง ๆ มันจะเสียหายมากกว่า 200 อีกนะ”
“แทนที่จะได้ซึ้งกับน้ำใจคน ก็ต้องมาเสียอารมณ์กับการต้องเสียเงินเพื่อแลกของหายอ่ะ”
“คิดมากทำไม ควรซึ้งใจที่ของหายได้คืนก็พอแล้วรึเปล่า ถามจริง ๆ ถ้าถึงตอนที่หมดหวังจริง ๆ แล้วมีโอกาส เธอจะไม่ประกาศออกไปเหรอว่า ถ้าใครเก็บได้ เธอมีสินน้ำใจให้น่ะ มันก็ไม่ต่างกับตอนนี้หรอก”
พอ!!! พอ!!! เลิกเถียงกัน!!
2
ฉันยื่นเงินให้สองร้อยบาทน้องสาวชาวลาวอย่างเต็มใจ ถึงในหัวสมองฉันจะวุ่นวายทะเลาะกันยังไงก็ตาม ก็ยังไม่ลืมข้อเท็จจริงที่ว่า ของฉันหาย น้องเค้าเก็บได้ และนำมาคืน ... เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ กับคนที่ทำของสำคัญหล่นหายทุกคน
จนเรือแล่นออกมาสักพักนั่นแหละ ฉันถึงได้เคลียร์เรื่องทุกอย่างในหัวและมีเวลาเสพความงามของแม่น้ำโขงและสองฟากฝั่งยามเช้า สูดหมอกสีขาวเข้าปอดอย่างแรง หวังให้มันช่วยฟอกปอดที่มีคราบเมืองจับอยู่หนาแน่นให้เบาบางลง
มองตรงไปยังเส้นทางสู่หลวงพระบาง คล้ายเรือกำลังแล่นเข้าสู่ดินแดนในฝัน เทือกเขาที่ล้อมรอบเห็นเพียงเงาราง ๆ ด้วยถูกใยขาวบางอำพรางไว้ ทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่ในเขตของประเทศเพื่อนบ้าน แต่ฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในดินแดนอันไกลโพ้น และพวกเราในเรือกำลังมุ่งหน้าไปในดินแดนลึกลับที่ไม่มีใครรู้จัก
หลวงพระบางวันที่ 1
เรือเข้าเทียบท่าที่หลวงพระบางเมื่อเวลาหกโมงกว่า ๆ ฉันเช็คพาสปอร์ตอีกครั้งว่ายังอยู่ดีรึเปล่า แล้วก็แบกสัมภาระไปต่อแถว ปรากฎว่าฉันออกจากเรือในลำดับต้น ๆ ยืนหันรีหันขวางอยู่พักนึงก็นึกขึ้นได้ว่า เพื่อนที่เพิ่งมาหลวงพระบางคราวที่แล้วเก็บนามบัตรมาให้ปึกนึง ฉันรีบค้นดึงออกมาพลิกดูด้านหลังขอทุกใบมีราคาที่เพื่อนจดไว้ให้ ตั้งงบประมาณไว้ไม่เกิน 200 บาทเท่านั้น ขณะที่กำลังก้มหน้าง่วนหาอยู่นั้น ก็มีเสียงทุ้ม ๆ ทักมาจากด้านหลังว่า “ทำอะไรอยู่น่ะ ผู้ช่วยกัปตันเรือ”
ฉันหันไปจ๊ะเอ๋กับพี่โล้น “โยฮัน” ไหล่ซ้ายมีเป้ใบยักษ์ ไหล่ขวามีกระเป๋ากีต้าร์สะพายอยู่ พร้อมกับส่งยิ้มมาให้ “กำลังหาที่พักจากนามบัตรอยู่” ฉันชูนามบัตรทั้งปึกให้ดู พี่โยฮันเห็นปั๊บก็ยิงคำถาม “เพื่อนแนะนำที่ไหน” “เพื่อนบอกรึเปล่าว่าแต่ละที่อยู่ตรงไหน” “แล้วจะไปยังไง” … ฯลฯ
เจอคำถามเยอะ ๆ เข้าฉันก็เลยเก็บนามบัตรแล้วตั้งคำถามกับพี่โล้นมั่งว่า “แล้วพี่ล่ะจะพักที่ไหน” เขายักไหล่ตอบง่าย ๆ ว่า “ยังไม่รู้เดี๋ยวค่อยไปเดินดู” ฉันเลยบอกไปง่าย ๆ เหมือนกันว่า “งั้นไปด้วย”
ตอนที่เรากำลังยืนคุยกันนั้น สมาชิกชาวเรือได้เดินขึ้นจากท่าเรือไปหมดแล้ว ฉันจึงเดินไปลาเอื้อยและอ้าย ยกมือไหว้งาม ๆ แล้วขอบคุณสำหรับความอาทรที่มีให้ จากนั้นก็เดินแบกเป้ยักษ์ไต่ทางชันขึ้นไปบนถนน รถตุ๊ก ๆ คันสุดท้ายเพิ่งพานักท่องเที่ยวไปเต็มคันรถแถมยังโบกมือให้เราสองคนด้วย ฉันมองหน้ากับพี่โล้น เอาไงดีพี่? เสียงเป็นเอกฉันท์คือ เดินไปก่อน
เราเดินมาได้พักนึงจนเป้ที่หลังเริ่มหนักผิดปกติจนอยากจะทุ่มทิ้ง ก็พอดีมีรถตุ๊ก ๆ มาเทียบ ฉันส่งพี่โยฮันไปเจรจา พี่แกก็บอกกับอ้ายคนขับรถง่าย ๆ ตามสไตล์ว่า “Cheap guest house area” แปลตามภาษาของฉันก็คือ “พาไปแถวที่มีเกสท์เฮาส์ถูก ๆ หน่อยดิ” พี่คนขับบอกว่าคนละ 10,000 กีบ ฉันใช้สมองก้อนน้อยคำนวนง่าย ๆ ด้วยการเอา 200 หาร โห! แพง 50 บาทแหนะ ยังไม่ทันต่อรองราคาพี่โยฮันก็แบกเป้ขึ้นรถไปซะแล้ว
รถแล่นไปเรื่อย ๆ ฉันก็ได้เปิดตาสำรวจเมืองหลวงพระบางเป็นครั้งแรก บ้านเรือนที่เรียงรายตามถนนทำให้ฉันนึกถึงต่างจังหวัดของประเทศไทย ที่ที่ฉันใช้ชีวิตเติบโตมาแต่เล็กแต่น้อย ฉันเหมือนเด็กบ้านนอกที่เข้ามาทำงานในเมืองและตอนนี้กำลังกลับมาบ้านนอกอีกครั้ง
ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ รถก็หยุดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ต้นไม้ร่มรื่นไม่บ่งบอกว่าเป็น Cheap Guest House ของพี่โยฮัน ถ้าไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นป้ายภาษาอังกฤษที่เขียนว่า “MookDaWan Guest House” ฉันกับพี่โยฮันยังไม่ยอมลงจากรถ เรานั่งมองหน้ากันแต่ไม่ได้พูด เหมือนส่งกระแสจิตถึงกันว่า “เอาไงดี” พี่คนขับรถเดินมาบอกว่าให้ลงไปดูก่อน ถ้าไม่ถูกใจจะพาไปที่ใหม่
หญิงสาววัยรุ่นวิ่งมาต้อนรับถามว่า “Room ?” ฉันเลยส่งภาษาไทยตอบกลับไป ขอดูห้องหน่อยได้มั๊ย เธอบอกว่าเหลืออยู่ห้องเดียวราคา 40,000 กีบต่อคืน มีห้องน้ำในตัว พลางเดินนำไปยังห้องชั้นล่างด้านใน เปิดประตูห้องให้ฉันและพี่โยฮันสำรวจด้านใน ฉันเห็นเตียงใหญ่เด่นอยู่กลางห้อง พี่โยอันถามว่ามีน้ำร้อนรึเปล่า หญิงสาวพยักหน้า
1
เราสองคนเดินมาที่รถ ฉันยืนเงียบแต่ในใจคำนวนถึงราคาที่พัก 40,000 กีบ ถ้าหาร 2 ก็ 20,000 กีบ ตกคนละ 100 บาท โห! งี้ก็ถูกอ่ะดิ มีห้องน้ำในตัวด้วย พลางนึกไปถึงคำแนะนำของพี่คนนึงว่า ถ้าหาคนร่วมแชร์ค่าห้องระหว่างเดินทางได้ก็ประหยัดไปเยอะล่ะ เพราะส่วนใหญ่ที่พักจะไม่ค่อยมีห้องเตียงเดี่ยว
พี่โยฮัน จากเยอรมนี
ฉันลากกระเป๋าลงจากรถ พี่โยฮันมองหน้าถามว่า “เอาที่นี่เหรอ” “ใช่สิ ถูกดีนะ คนละ 100 บาท มีห้องน้ำในตัวด้วย หรือว่าพี่ไม่ชอบ” พี่โล้นนิ่งไปนิดนึงแล้วถามว่า “จะแชร์ห้องกันเหรอ แน่ใจนะ?” ฉันพยักหน้า พี่โล้นยักไหล่นิดนึงแล้วก็ลากกระเป๋าลงมาจากรถ เราสองคนเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้งพร้อมเป้สัมภาระ หญิงสาวคนเดิมยิ้มพร้อมกับส่งกุญแจให้
ฉันเลือกมุมใกล้ประตู ส่วนพี่โล้นเลือกมุมใกล้ห้องน้ำ ระหว่างที่กำลังรื้อเสื้อผ้าเพื่อจะไปอาบน้ำ ฉันก็รู้สึกตัวขึ้นมาว่า นี่ฉันมัดมือชกพี่โยฮันให้มาแชร์ห้องรึเปล่า บางทีพี่แกอาจจะชอบความเป็นส่วนตัวมากกว่าก็ได้ คืออยู่ดี ๆ ฉันก็ตามเขามาหาที่พัก แล้วพอฉันได้ที่ถูกใจก็ลากเขามาแชร์ห้องกับฉันเพราะมันถูกดีโดยไม่ได้ถามความเห็นกันก่อน
ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวจังเลย ฉันจึงอ้อมแอ้มถามไปว่า “Are you ok ?” พี่โยฮันหัวเราะเมื่อฉันเล่าความรู้สึกของฉันให้ฟัง พี่แกบอกว่า “ส่วนใหญ่ผู้ชายจะยินดีแชร์ห้องกับผู้หญิงนะ” จ๊ากกกก!! ใช่แล้ว! นี่ฉันกำลังอยู่ในห้องกับผู้ชายแปลกหน้าสองต่อสอง และจะต้องนอนเตียงเดียวกันในคืนนี้ด้วย!
ฉันถามตัวเอง คาดคั้นถึงเหตุผลงาม ๆ ที่ตัดสินใจแบบนี้ ได้คำตอบที่พอกล้อมแกล้มมา 2 ข้อ ประการแรก ฉัน “รู้สึก” ว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีพิษมีภัย และฉันเชื่อความ “รู้สึก” ของตัวเอง ประการที่สอง เราต่างก็มีเป้าหมายคือการท่องเที่ยวเหมือนกัน เขาคงไม่อยากสร้างปัญหาขึ้นมาแน่ ๆ … พี่โยฮันคงเห็นว่าฉันนั่งนิ่งเงียบและมีสีหน้ากังวล จึงพูดให้คลายใจว่า “พรุ่งนี้เราจะไปเดินหาที่พักใหม่กัน ตกลงมั๊ย?”
หลังจากอาบน้ำแล้ว เราเดินสำรวจเมืองด้วยการไปยังทิศที่มีแสงไฟสว่างหนาตา เสมือนว่าเป็นแมงเม่ากำลังบินเข้ายั่วเย้าเล่นไฟ จนเมื่อเราเห็น ร้านอินเตอร์เนตเรียงราย และร้านอาหารสองฟากฝั่งของถนนสายแคบ ถึงได้แน่ใจว่าเราคงอยู่ตรงไหนซักแห่งของเมืองซึ่งเป็นใจกลางแหล่งซ่องสุมของนักท่องเที่ยว
เพราะจะว่าไปแล้วมองไปทางไหนตอนนี้เห็นหัวดำน้อยกว่าหัวทองหรือหัวโล้นอย่างพี่โยฮันก็แล้วกัน ฉันแยกกับพี่โล้นไปจับจองคอมพิวเตอร์คนละเครื่อง คล้ายว่าเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว วันไหนไม่ได้ส่ง email วันนั้นก็กลุ้มใจเล็ก ๆ ว่าเพื่อนจะเป็นห่วงรึเปล่านะ ทั้ง ๆ ที่พวกมันไม่ได้เว่อร์ขนาดนั้น
เหตุผลจริง ๆ คงเป็นเพราะ เมื่อฉันกดแป้นพิมพ์เล่าเรื่องราวของแต่ละวันส่งไปถึงเพื่อน อย่างน้อยก็มีคนกลุ่มนึงรับรู้ว่า มีผู้หญิงซึ่งเป็นเพื่อนของพวกมันกำลังเดินท่อม ท่อม อยู่คนเดียวในประเทศที่อยู่ติดกัน ไม่ใกล้ด้วยระยะทาง แต่ใกล้กันที่ใจ … คิดแบบนี้ทำให้ฉันไม่รู้สึกโดดเดี่ยวนัก
ฉันได้รับอีเมล์ ฉบับแรกจากแม๊ตตี้ที่เล่าว่า ปายไม่สนุกแล้วเมื่อไม่มีฉัน และเขากำลังเก็บกระเป๋าเตรียมตัวไปพม่า อีกฉบับจากสเตฟาน ผู้ซึ่งแม้เขียนอีเมล์ก็ยังไม่ทิ้งความพร่ำพรรณา และยังคงเพ้อเรื่อง “เธอ” คนนั้น ถึงขนาดออกไปซื้อสัปปะรดแล้วให้พี่นิดสอนการหั่นและเสิร์ฟในรูปของเรือ เพื่อหวังว่า “เธอ” จะประทับใจ ... เฮ้อ!!
ฉันตอบสเตฟานกลับไปว่า ในเมื่อทุกคนลงความเห็นกันและแนะนำไปแล้วว่าควรทำยังไง แต่ถ้ายังทำไม่ได้ ก็เอาให้สุดไปเลย ฉันเอาใจช่วย (ปนถอนใจ)
1
ออกจากร้านอินเตอร์เนต เราตกลงว่าจะไปลองอาหารอินเดียที่เราเดินผ่านมาตอนแรก ร้านอาหารอินเดียที่ชื่อ “Nazimm” คนเยอะคึกคักมาก แต่ยังพอมีโต๊ะว่างให้เรา ระหว่างที่รออาหาร ก็มีผู้ชายคนนึงยืนเก้กังข้าง ๆ โต๊ะเราคล้ายกำลังหาที่นั่ง
1
เงยหน้าขึ้นไป อ้าว! อีตานี่เอง ที่เจอกันบนเรือไง ฉันร้องทักเขา และชวนให้มานั่งด้วยกัน ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดถนัด และเป็นจุดกำเนิดที่ทำให้ฉันรู้ว่าอะไรที่ฉันกลัวที่สุด!
พี่ฝรั่งคนใหม่ชื่อ ไมเคิล เป็นชาวไอริช มาจากประเทศไอร์แลนด์คนเดียว ชอบใส่กางเกงขาสี่ส่วน เสื้อยืดตัวใหญ่และใส่หมวกทรงกะลาครอบ ภายใต้หมวกใบนั้นคือหัวที่เกรียนเรียบเหมือนพี่โยฮัน
พี่แกอายุ 24 ปีแต่หน้าแก่กว่าพี่โยฮันอีก คงเพราะเคราดกหนาจากใบหูข้างนึงใต่เลื้อยตามแก้มและคางไปที่ใบหูอีกข้างนึงมั๊งที่ทำให้หน้าตาไปก่อนอายุ อ่ะทีนี้ก็เรียกพี่ไม่ได้ละ ต้องเรียกน้อง
น้องไมเคิลมีลักษณะคล้ายพวกไม่พอใจกับอะไรเลย ไอ้นู่นก็ติ ไอ้นี่ก็ไม่ดี ซึ่งไม่ใช่ปัญหาของฉัน น้องไมเคิลอยากเป็นคนช่างติก็เรื่องของน้อง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า พอน้องไมเคิลกับพี่โยฮันพูดคุยกันอย่างถูกคอ หัวเราะเอิ้กอ๊าก ทำไมฉันฟังไม่รู้เรื่องวะ ???
ฉันเริ่มรู้สึกถึงความปั่นป่วนในช่องท้อง ความกลัวภาษาอังกฤษกลับมาอีกครั้ง ทั้งที่เพิ่งเติมความมั่นใจจากปายและในเรือ ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงได้รู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาดื้อ ๆ แล้วหน้าฉันในตอนนี้คงกำลังเจื่อนได้ที่
น้องไมเคิลเลยได้โอกาสยื่นหน้ามาพูดอะไรก็ไม่รู้เสียงรัวเหมือนห่อลิ้น หูมันอื้อฟังไม่รู้เรื่อง เลยถามว่าอะไรนะ แกพูดอีก ฉันก็อะไรนะอีก จนพี่โยฮันแปลให้ฟังถึงได้รู้ว่า น้องไมเคิลอยากรู้ว่าฉันชอบเพลงพวกเทคโนแดนซ์รึเปล่า ฮือ! อยากร้องไห้
1
อาหารที่ร้านนาซิมไม่อร่อยเลย เพราะไอ้ เอ๊ย น้องไมเคิลแท้ ๆ ออกจากร้านนาซิม น้องยังชวนไปกินเบียร์ต่อที่ร้านริมแม่น้ำโขงอีกนะ ฉันก็เดินตามไปด้วยความไม่เต็มใจแต่ไม่มีใครรู้
ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดอีก ฉันควรจะกลับมาที่บ้านพักมากกว่าถ้าฉันไม่อยากไป เพราะสิ่งที่ฉันไปเจอก็คือ เพื่อนน้องไมเคิล 5-6 คนเผอิญมานั่งกินอยู่ที่ร้านนั้นพอดี ที่บอกว่าเป็นเพื่อนน้องไมเคิลเพราะพวกเขาพักอยู่เกสท์เฮาส์เดียวกัน ไม่ใช่มาจากไอร์แลนด์เหมือนกัน
เมื่อรู้อย่างนั้นก็เริ่มผ่อนคลาย อาการเกร็งหายไป เพราะถ้าไม่ไช่อังกฤษแบบไอริชฉันพอจะฟังออกนะ แต่อาการเกร็งหายไปแป๊บเดียวก็กลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อฉันได้ยินพวกเขาคุยกัน คราวนี้ฉันอยากอ้วกจริง ๆ นะ พวกนั้นพูดอะไรกันทำไมเราฟังไม่รู้เรื่องเลย
ฉันเลยเหมือนอีบื้อ ไม่พูดไม่จา พอมีใครถามอะไรมา ฉันก็พาลนึกคำศัพท์ไม่ออก อ้ำ อึ้ง จนไม่มีใครอยากรอฟังคำตอบ ถึงที่สุดก็ไม่มีใครคุยกับฉันเลย นอกจากพี่โยฮันที่ส่งสายตามาเรื่อย ๆ
เวลาผ่านไปไม่นานนัก แต่นานมากกกกก สำหรับฉัน เมื่อความอดทนถึงที่สุด ฉันก็บอกพี่โยฮันว่าฉันจะกลับก่อนล่ะนะ ซึ่งงานนี้ฉันซึ้งพี่โยฮันมากน้ำตาพาลจะไหล เพราะเมื่อฉันลุก พี่แกก็ลุกตาม บอกว่าจะกลับด้วย มาด้วยกันก็กลับด้วยกันสิ ฉันลาน้องไมเคิลและต่อในใจว่าอย่าได้เจอกันอีกเลยนะ ซึ่งไม่ได้ผล เพราะน้องยังตามมาหลอกหลอนอีกหลายวัน
เราเดินคู่กันมาตามทางที่ค่อย ๆ เงียบสงัดขึ้นทีละน้อย ที่พักของเราเลยใจกลางความวุ่นวายมาหน่อย เส้นทางในยามค่ำคืนที่พี่น้องชาวหลวงพระบางที่ต่างหลับใหลกันแล้วจึงวังเวงพิกล สองข้างทางบางครั้งไม่มีบ้านเรือน มีเพียงต้นไม้ใบบังเป็นเงาตะคุ่ม เสียงนกและแมลงกลางคืนส่งเสียงเป็นระยะ ไม่อยากคิดว่าถ้าต้องเดินกลับคนเดียวจะเป็นยังไง
ฉันเงยหน้ามองพี่โยฮันแว่บนึงก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา “ขอบคุณมาก” ฉันเอ่ยขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย พี่โยฮันยิ้มตอบทั้งดวงตาและใบหน้า “You’re welcome” แล้วเราก็เดินเงียบ ๆ กันต่อไป แต่สองข้างทางไม่น่ากลัวสำหรับฉันแล้ว
เรื่องแบบนี้อธิบายลำบากมาก เมื่อเราเจอใครที่รู้สึกว่าไม่เป็นพิษเป็นภัย และไม่พอ ยังรู้สึกว่าสามารถจะฝากความปลอดภัยไว้ในมือเค้าได้ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งได้เจอกันนี่แหละ ฉันตอบไม่ได้หรอกถ้าอยู่ ๆ มีใครถามขึ้นมาว่า ทำไมถึงไว้ใจพี่โยฮัน ... อาจจะเพราะดวงตาอบอุ่นแบบลุง ๆ ของเค้าล่ะมั้ง ไม่รู้สิ
เมื่อถึงที่พักเราต่างแยกย้ายกันทำธุระส่วนตัว ฉันเริ่มรู้สึกแปลกเล็กน้อยที่มีผู้ชายเดินอยู่ในห้องแคบ ๆ และเมื่อถึงเวลาที่จะปิดไฟนอน ฉันเอาหมอนข้างมากั้นตรงเตียง พี่โยฮันกลั้นยิ้มทำเสียงล้อ “Security Guard?” ฉันพยักหน้าแล้วเอ่ยจริงจัง “No SEX in this room , ok ?” พี่โล้นยื่นมือมาให้จับเป็นเชิงรับคำสัญญา เรื่องทำท่าว่าจะง่ายแต่ไม่ใช่เลย !!
ขี้เกียจรออ่านเป็นตอน ๆ สามารถซื้อ E-book ได้ที่นี่นะคะ 👇
โฆษณา