7 ส.ค. 2021 เวลา 05:45 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
รายงานหนังทำเงินอเมริกาเหนือ 30 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม: ‘Jungle Cruise’ แล่นฉลุยเข้าวินด้วยรายได้ 34 ล้านเหรียญสหรัฐจากโรง และอีก 30 ล้านจากดิสนีย์พลัส
รายงานหนังทำเงินอเมริกาเหนือ 30 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม จากวาไรตี หนัง ‘Jungle Cruise’ ออกจากท่าอย่างสวยงามด้วยรายได้ 34.2 ล้านเหรียญสหรัฐจากโรงภาพยนตร์ และเก็บเงินจากสมาชิกดิสนีย์พลัสได้อีก 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ยึดอันดับ 1 จาก ‘Old’ แชมป์เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าสบายๆ
หนังดิสนีย์เรื่องนี้ได้เอมิลี บลันต์ประกบกับดเวย์น จอห์นสัน ถือว่าเปิดตัวได้เหนือความคาดหมาย ทั้ง ๆ ที่เจอปัญหาการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ที่ทำให้หลาย ๆ ครอบครัวเลือกที่จะสนุกกับหนังที่บ้านมากกว่า ขณะที่ในตลาดต่างประเทศ ‘Jungle Cruise’ กลับทำได้ไม่ดีเท่า เมื่อทำรายได้แค่ 27.6 ล้านเหรียญสหรัฐจาก 47 ประเทศ รายได้รวมทั่วโลกตอนนี้อยู่ที่ 61.8 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งถ้าดูทุนสร้างของหนังที่สูงถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ การเปิดตัวด้วยรายได้อย่างที่เห็น ถือว่าน่าผิดหวังอย่างแรง แต่กับอุปสรรคสำคัญจากโรคระบาดที่ส่งผลต่อธุรกิจโรงภาพยนตร์เต็ม ๆ ทำให้ตัวเลขประมาณนี้กลายเป็นความสำเร็จสำหรับธุรกิจที่อยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ‘Jungle Cruise’ จะทำกำไรได้ อย่างน้อย ๆ ก็ยากมาก หากจะพึ่งพารายได้จากโรงเพียงอย่างเดียว โดยหนังต้องทำรายได้ในระดับ 500 ล้านขึ้นไปเพื่อจะอยู่ในจุดคุ้มทุนสร้าง
อย่างไรก็ตามดิสนีย์ก็วางเดิมพันด้วยกลยุทธเปิดหนังในโรงพร้อม ๆ กับดิสนีย์พลัส บริการสตรีมมิงของสตูดิโอ ซึ่งสมาชิกต้องจ่ายค่าชมอีกราว ๆ 30 เหรียญสหรัฐ เช่นเดียวกับหนังอย่าง ‘Cruella’ และ ‘Black Widow’ โดยทางสตูดิโอรายงานว่า หนังทำเงินจากดิสนีย์พลัสทั่วโลก 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเท่ากับครึ่งหนึ่งที่ ‘Black Widow’ ทำได้ในช่วงแรก สำหรับหนังที่เปิดตัวพร้อมกันทั้งสองช่องทางแบบนี้ คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่า กลยุทธที่ใช้ฆ่ารายได้ของโรงหนัง หรือเอาใจผู้ชมที่ไม่อยากไปดูในโรง มองข้ามการออกจากไปเลย หรือเปล่า
แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน ดารานำของ ‘Black Widow’ ก็กลายเป็นหัวข้อข่าวแทบทุกสำนัก เมื่อออกมาฟ้องดิสนีย์ กล่าวหาว่าการตัดสินใจของสตูดิโอที่เปิดตัวหนังในโรงและสตรีมมิงพร้อมกัน เป็นการละเมิดสัญญา และทำให้เธอสูญเงินที่ควรจะได้หลังจากหนังออกฉายหลายสิบล้านเหรียญ ซึ่งดิสนีย์ก็ออกมาแย้งว่า โจแฮนส์สัน ได้รับผลประโยชน์จากดิสนียฺพลัสด้วย และการฟ้องศาลของเธอแสดงให้เห็นว่า “ไม่ใส่ใจกับเรื่องการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก” แล้วเมื่อรวมกับการที่สตูดิโอต่าง ๆ ทำคล้าย ๆ กัน หรือปล่อยหนังลงสตรีมมิงเร็วขึ้น เพื่อกระตุ้นยอดสมาชิก ทำให้การดำเนินการทางกฎหมายของโจแฮนส์สัน อาจจะนำไปสู่จุดเปลี่ยนในเรื่องรายได้ของนักแสดง และมีการคาดกันว่า ‘Jungle Cruise’ อาจจะเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของดิสนีย์ ที่เปิดตัวในโรงพร้อม ๆ กับดิสนีย์พลัส
หนังที่กำกับโดยฆัวเม คอลเลต์-แซร์ราเรื่องนี้ มีที่มาจากเครื่องเล่นในสวนสนุกของดิสนีย์ ขณะที่เหตุการณ์ในหนังเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ราว ๆ สงครามโลกครั้งแรก กัปตันเรือจอมกะล่อน (จอห์นสัน)​ ต้องพานักวิทยาศาสตร์สาวชาวอังกฤษ (บลันต์) ออกตามหาต้นไม้แห่งชีวิต ที่เชื่อว่าสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ถึงหนังอาจทำเงินไม่ได้ตามเป้า แต่ดิสนีย์ก็หวังว่าน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นหนังภาคต่ออีกชุดหนึ่งจากเครื่องเล่นได้ เหมือน ๆ ที่เคยทำสำเร็จจาก ‘Pirates of the Caribbean’
นักวิเคราะห์บ็อกซ์ ออฟฟิศมองกันว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ชมลังเลที่จะกลับเข้าโรงหนัง เพราะการระบาดของโควิด-19 ที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายก็บอกว่า สถานการณ์เรื่องสุขภาพที่ย่ำแย่ ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้หนังเปิดตัวไม่สวยนักทั้งในโรงและสตรีมมิง แต่เป็นเพราะแนวหนัง โดยหนังแนวนี้นอกจาก ‘Jurassic World’ กับหนังชุด ‘Jumanji’ แล้ว ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับความสนใจจากคนดู โดย ’Jungle Cruise’ ได้คำวิจารณ์แบบก้ำกึ่งจากนักวิจารณ์ และคนดูให้คะแนน เอ ลบ จากรายงานของซีนีมาสกอร์
“เหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้หนังออกตัวแค่อุ่น ๆ ไม่ใช่เพราะโควิด-19 หรือการปล่อยสตรีมมิง แต่เพราะตัวหนังเองก็ไม่แข็งแรง” เดวิด เอ.กรอสส์ ผู้บริหารของบริษัทที่ปรึกษาด้านภาพยนตร์กล่าว “‘Jungle Cruise’ เป็นหนังแอ็กชัน ผจญภัย สไตล์คลาสสิกของฮอลลีวูด ซึ่งทุกวันนี้มันเป็นแนวหนังที่ไม่น่าสนใจไปแล้ว”
สำหรับผู้ชมที่ตีตั๋วดูหนัง ดูจะเลือกชมในรูปแบบที่ดีที่สุด ซึ่งทำให้รายได้ในโรงไอแม็กซ์ทำได้ถึง 2.17 ล้านเหรียญสหรัฐในอเมริกาเหนือ และในตลาดต่างประเทศก็ทำได้ถึง 1.33 ล้านเหรียญสหรัฐ แหล่งข่าวรายงานด้วยว่า ค่าตั๋วที่แพง ๆ ของโรงเหล่านี้ ทำให้รายได้ในสัปดาห์แรกและสัปดาห์ที่สองในการฉาย ตกลงมากกว่าที่คาดกันไว้ เพราะการที่มีโรงระดับนี้ไม่มากนัก ทำให้หนังใหญ่ ๆ ต้องถูกถอดออกเพื่อหนังใหม่ ๆ จะได้เข้าฉายเร็วขึ้น
มาดูกันที่อันดับอื่น ๆ หนังยูนิเวอร์แซล – ‘Old’ และ เอ24 ‘The Green Knight’ บี้กันสุดฤทธิ์เพื่ออันดับ 2 ก่อนที่ ‘Old’ จะปาดหน้าเอาชนะไปได้ โดยหนังของเอ็ม ไนท์.ชยามาลาน รายได้ตกจากสัปดาห์ก่อนหน้าราว 60% รายได้เก็บมาอีก 6.86 ล้านเหรียญสหรัฐจาก 3,379 โรง หนังที่ฉายมาเป็นสัปดาห์ที่สองเรื่องนี้ ทำรายได้รวมไปแล้ว 30 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังเปิดตัวด้วยอันดับ 1 รายได้ 16.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายได้นอกอเมริกาเหนือ ได้มาอีก 7.5 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 44 ประเทศ รายได้รวมทั่วโลก 48 ล้านเหรียญ
หนังอัศวิน ‘The Green Knight’ ที่นำโดยเดฟ พาเทล ทำเงินเหนือความคาดหมาย เมื่อเก็บรายได้ไป 6.78 ล้านเหรียญสหรัฐจาก 2,790 จอในอเมริกาเหนือ หนังเป็นเรื่องราวของหลานหัวแข็งของกษัตริย์อาร์เธอร์ ที่ออกตามหาสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายต้นไม้ที่ถูกเรียกว่า อัศวิน
ยังมีหนังใหม่เปิดตัวในสัปดาห์ที่ผ่านมาอีกเรื่อง ‘Stillwater’ ของโฟกัส ฟีเฌอร์ส ซึ่งได้คำวิจารณ์ที่ดี หนังอยู่ในอันดับ 5 ทำเงินไป 5.12 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 2,531 จอ หนังกำกับโดย ทอม แม็คคาร์ธีย์ ผู้กำกับหนังรางวัลออสการ์ ‘Spotlight’ หนังได้แม็ตต์ เดมอนรับบทนำเป็นคุณพ่อที่ออกเดินไปฝรั่งเศสเพื่อช่วยลูกสาว (อบิเกล เบรสลิน) หลังจากเธอถูกจำคุกในคดีฆาตกรรมเพื่อนขณะที่ไปเรียนที่นั่น หนังได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องของอะแมนดา น็อกซ์​ นักเรียนแลกเปลี่ยนชาวอเมริกัน ที่ต้องติดคุกในอิตาลีถึง 4 ปี ก่อนจะพ้นความผิด ซึ่งตัวเธอเองออกมาตำหนิหนัง โดยอ้างว่าคนทำหนังและนักแสดงอาศัยประโยชน์จากชื่อเสียงของเธอ และนำเอาเรื่องที่เธอถูกจำคุกในคดีฆาตกรรมแบบผิด ๆ มาตีไข่ใส่สี โดยน็อกซ์ไม่มีส่วนร่วมใด ๆ กับหนัง
‘Black Widow อยู่ในอันดับ 4 หลังฉายมาเป็นสัปดาห์ที่สี่ หนังมาร์เวลเรื่องนี้ได้เงินมาอีก 6.1 ล้านเหรียญสหรัฐ และทำรายได้รวมในอเมริกาเหนือไปแล้ว 166 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายได้รวมทั่วโลกอยู่ที่ 343.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยสำหรับช่วงนี้ แต่ถ้าเทียบกับหนังจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลเรื่องอื่น ๆ ถือว่ายังห่างไกล
อ่านแล้วชอบ อย่าลืมกดติดตาม และยังมีเรื่องราวมากมายให้อ่านได้ที่ www.sadaos.com และทำความรู้จักกันได้มากกว่านี้ด้วยการกดไลค์เพจ www.facebook.com/Sadaos และ www.blockdit.com/sadaos
‘Lords of Dogtown’ ว่าด้วยชีวิตเด็กเล่นสเก็ตบอร์ดและกระดานโต้คลื่น 3 คนที่สไตล์การเล่นบอร์ดและใช้ชีวิตแตกต่างกัน และทำให้การเล่นเสก็ตบอร์ดเปลี่ยนไปจากเดิมจนถึงทุกวันนี้ อ่านเรื่องราวเต็มๆ กันได้ที่นี่ >

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา