22 ส.ค. 2021 เวลา 04:50 • นิยาย เรื่องสั้น
บันทึกกึ่งนิยาย ตอนที่ 13
"Do you believe in True Love?"
ฮานอย และ น้องคีธ
10 มีนาคม 2545
Hanoi , Vietnam
ตื่นเช้าตั้งแต่เจ็ดโมงชวนคีธออกมาเดินดูบรรยากาศและหาอะไรกิน คิดไม่ผิดเลยเพราะตื่นตาตื่นใจกับยามเช้าของฮานอยมาก มีคนขนของใส่ตะกร้าสานใบยักษ์เอาขึ้นจักรยานมาขายในละแวกนั้นเต็มไปหมด
บางคันมีทั้งตะกร้าหน้ารถและหลังรถของสูงท่วมหูท่วมหัวก็ปั่นกันได้ มีทั้งดอกไม้ ต้นไม้หลากหลายสี ผลไม้หลากชนิด เดินจูงกันให้วุ่นเลย เข้าใจว่านำมาจากนอกเมืองแล้วเอาเข้ามาขายส่งให้กับร้านค้าปลีกในเมือง
แล้วริมฟุตบาทก็มีหาบเร่ ที่ขายอาหารอะไรสักอย่างมีเตาร้อน ๆ แล้วก็มีเก้าอี้พาสติกเล็ก ๆ ตั้งไว้ให้ลูกค้านั่ง มีอยู่หลายหาบเร่ อาหารก็ต่างกัน ที่เห็นแล้วคุ้นตาก็เฝอ และข้าวเกรียบปากหม้อญวน
เห็นแล้วน้ำลายไหลเลย แต่ต้องปาดทิ้งไปก่อน เพราะน้องคีธผู้กลัวและหวาดระแวงกับทุกสิ่งอย่างที่เป็นพื้นบ้านพื้นเมือง กลัวท้องเสียบ้างล่ะ กลัวโดนหลอกบ้างล่ะ อาหารเช้าต้องกินขนมปังบ้างล่ะ ซึ่งอันนี้เป็นข้ออ้างแน่ ๆ เพราะเมื่อผ่านหาบเร่ที่ตั้งขายบาแก็ตใส้ต่าง ๆ ก็สั่นหัวไม่เอา
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือสมาคมน้ำชา ช่วงต้นเดือนมีนาคมในตอนเช้าแบบนี้อากาศค่อนไปทางเย็นสบาย จึงเห็นหาบเร่บางเจ้าขายแค่น้ำชาอย่างเดียว มีเก้าอี้พลาสติกเล็ก ๆ ตั้งไว้ ใครมาก็ถึงก็สั่งน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วเอามาจิบกันถ้วยเล็ก ๆ นั่นแหละ
ส่วนใหญ่ลูกค้าหาบเร่น้ำชาจะเป็นคนแก่ และแม่ค้าก็จะเป็นคุณยายพร้อมป้านน้ำชา เห็นแล้วอยากไปร่วมวงมาก หมายตาว่าสลัดน้องคีธเมื่อไหร่เราเจอกัน
สุดท้ายมาจบที่ร้าน Tin Tin Cafe ที่แสนน่ารักและเก๋ ในร้านตกแต่งเป็นรูปการ์ตูน Tin Tin ใครเป็นแฟนของเจ้าหนูตินตินและหมาน้อยสโนวีคงชอบ แต่ฉันเฉย ๆ มันน่ารักดีนั่นแหละ แต่อยากไปคลุกคลีริมถนนมากกว่า
กลับมาเช็คเอาท์และแบกกระเป๋ามุ่งหน้าสู่ Camillia ที่จองไว้ แต่ก็บอกคีธว่าจะไปดู Red Hotel ก่อนเพราะเป็นทางผ่าน เมื่อคืนไม่ได้แวะไป ยังไม่ทันถึง Red Hotel ดีก็มีชายชาวเวียดนามประมาณสี่ห้าคนมารุมล้อมพวกเรา ถามกันเซ็งแซ่ว่าหาที่พักอยู่รึเปล่า ต่างคนก็ยื่นนามบัตรทิ่มหน้าเข้ามา พอแจ้งว่าจะไป Red Hotel ชายคนหนึ่งก็บอกว่าให้รอตรงนี้ เดี๋ยววิ่งไปเช็คให้ พักนึงก็วิ่งกลับมาว่าเต็มแล้ว แล้วก็คะยั้นคะยอให้เดินตามเค้าไป จะพาไปอีกโรงแรมนึง
เราเลยบอกว่าไม่ต้องหรอกถ้า Red เต็มเราก็จะไป Camillia พ่อคนนี้ก็ยังไม่เลิกตอแยบอกว่า Camillia น่ะแพงนะ อาจจะเต็มด้วย พอเราบอกว่าไม่แพงนะ $6 เท่านั้น แกก็ส่ายหัวบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เราก็บอกว่าไม่เชื่อก็ตามมา
เอ้า!! แกตามมาจริง ๆ ด้วย พอมาถึง Camillia เราเข้าไปที่ Reception ยื่นนามบัตรให้ น้องเจ้าหน้าที่ก็ตะโกนบอกชายเวียดนามที่ตามเรามาแต่ยืนรอข้างนอก ตะโกนว่าอะไรไม่รู้แต่ท่าทางที่ชูนามบัตรโบกไปมา ก็พอจะเดาได้ว่า ไม่ได้ค่าคอมนะจ๊ะ ลูกค้ามีนามบัตรมา อะไรประมาณนี้ ก็เลยเข้าใจได้ว่า ชายกลุ่มนั้นคงหาลูกค้านักท่องเที่ยวแบกเป้ให้กับโรงแรมในละแวกนี้นั่นเอง
โชคดีสำหรับวันนี้คือห้อง 305 ที่น้องคนเมื่อคืนสัญญากับเราไว้ แขกยังไม่ออก เราเลยได้ up grade เป็นห้อง 303 ด้วยราคาเท่าเดิม แต่หรูหราเพิ่มขึ้นคือ ห้องกว้างกว่าและห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ อีคีธดีใจเหมือนเด็ก ๆ บอกว่าฉันโคตรเก่งเลย หาห้องแบบนี้ราคานี้ได้ยังไงเนี่ย เออ มึงรอความจริงปรากฎในวันพรุ่งนี้ก่อนเถอะ อยากรู้ว่าจะยังชื่นชมกันอยู่มั้ย เพราะพรุ่งนี้ห้อง 305 ว่างแล้วเราต้องย้ายไป
คีธชวนไปพิพิธภัณฑ์โฮจิมิน ฉันรีบอวยพรขอให้เที่ยวให้สำราญ วันนี้ฉันมีธุระหลายเรื่องต้องจัดการ แต่ความจริงคือแผนการสลัดตัวประกอบ เพราะแนวการเที่ยวของฉันกับน้องไม่ค่อยสัมพันธ์กันเท่าไหร่ ต่างคนต่างไปน่ะดีแล้ว คีธบอกว่างั้นสี่โมงเย็นไปเจอกันริมทะเลสาบ ฉันรีบพยักหน้ารับคำ
1
เมื่อคีธไปแล้วฉันก็ตรงไป Romantic Traveller Cafe ร้านอินเตอร์เนตที่เมื่อคืนฉันประทับใจน้อง ๆ พนักงานในร้านมาก ทุกคนในร้านน่ารักและพร้อมช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ ไม่ว่าถามเรื่องอะไร ได้เรื่องได้ราวไปเสียหมด ที่นี่มีทั้ง Internet Cafe ทั้งขายทัวร์ ขายตั๋ว และแถมยังช่วยออกไปซื้อผลไม้มาให้ได้ด้วย
เรื่องมันก็คือ ผลไม้ที่ฉันเห็นเค้าใส่ตะกร้าขึ้นจักรยานมาขายนั้นมันสดและน่ากินมาก ฉันถามน้องแอน (Anh) ว่าราคาแพงมั้ยนั่น น้องอาสาว่าเดี๋ยวออกไปซื้อให้ เพราะถ้าคนต่างชาติซื้อ ราคาจะแพงสองสามเท่าตัว อาทิเช่น ละมุด 4 ลูกฉันจะต้องจ่ายห้าพันดอง แต่น้องแอนซื้อได้ในราคาสองพันดอง ดังนั้นอยากกินผลไม้อะไร ฉันจะรบกวนให้น้อง ๆ ในร้านออกไปซื้อให้ทุกที
ช่วงเช้าของวันฉันก็วนเวียนอยู่กับเรื่องการวางแผนเที่ยวฮานอยรอพี่สันต์ น้อง ๆ ที่ Romantic ช่วยได้มาก ทั้งวางแผน และคิดโปรแกรม ก็สรุปว่าวันที่ 12 - 13 เดินทางไปฮาลองเบย์ วันที่ 14 รอเจอพี่สันต์แล้วคืนวันที่ 14 นั้นเลยก็เดินทางด้วยรถบัสนอนไปเมือง Hue
ตั๋วรถบัสที่น้องแนะนำมาเป็นตั๋วเปิดที่เดินทางจากฮานอยไปยังโฮจิมินซิตี้ โดยเส้นทางนี้จะผ่านเมืองท่องเที่ยวมากมาย เว้ - ดาลัด - ฮอยอัน - นาตรัง และเมืองอื่น ๆ อีกหลายเมือง ถ้าอยากจะแวะเมืองไหนระหว่างทางสามารถทำได้เลย พร้อมจะเดินทางต่อตอนไหนก็ได้แค่เรียกรถมารับ ซึ่งรถก็จะมีวิ่งอยู่ทุกวัน ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มอีกแล้ว ตั๋วนี้ราคา $25
ฉันชำระค่าทริปไปฮาลองเบย์สองวันหนึ่งคืนพร้อมที่พักและอาหารทุกมื้อในราคา $14 ซึ่งถือว่าถูกสุดในย่านนี้แล้ว จากนั้นก็ส่งข่าวและแผนการเดินทางให้พี่สันต์
ได้รับเมล์จากสเตฟานว่าถึงไซ่ง่อน (โฮจิมินต์ซิตี้) แล้วสนุกมาก ได้เจอผู้คนระหว่างทางมากมาย และเล่ารายละเอียดเยอะแยะ
ฉันสรุปกับตัวเองว่าหนุ่มชาวสวิสคนนี้ไม่เคยเรียนย่อความแน่นอน แต่ยังไงฉันก็ดีใจกับสเตฟานจริง ๆ ว่าในที่สุดเขาก็จะได้รับความรู้สึกอิสระเสียที ฉันเคยอยู่ในจุดที่เขายืนมาก่อนทำไมจะไม่รู้ว่ามันทุกข์อย่างไรไอ้อารมณ์ไปก็ไมได้ อยู่ก็ไม่ดี ตอนนี้ก็อยากให้เขาลิ้มรสกับความอิสระและความเข้มแข็งที่จะก่อตัวขึ้นทีละน้อยอันเกิดจากการเดินทางคนเดียว ซึ่งอีกไม่นานเขาคงได้เข้าใจ
1
The Old Quarter แม้จะวุ่นวายไปด้วยเสียงบีบแตรของรถมอเตอร์ไซด์ตลอดเวลา และดูเหมือนอันตรายเพราะการขับรถที่สวิงสวาย ไม่รู้ใครทางหลักใครทางรอง แต่ฉันก็ยังไม่เห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นสักครั้ง เทคนิคการข้ามถนนของเหล่าคนเดินเท้าก็คือ อย่าไปหาจังหวะถนนว่างเพราะไม่มีจังหวะนั้นอยู่จริง ให้เดินดุ่มข้ามไปเลย รถมอเตอร์ไซด์จะบีบแตรแปร๊นนนนนน!! แล้วก็จะหลบหลีกเราเอง
ฉันปรับหูปรับใจให้ชินกับเรื่องพวกนี้ได้อย่างรวดเร็ว และตื่นตาตื่นใจกับเขตเมืองเก่านี้มาก เพราะตลอดซอกซอยที่แบ่งย่อย จะจัดโซนตามสินค้า เช่นของเล่น, เครื่องเหล็ก, ผ้าไหม, เครื่องเขียน ฯ ฉันยกแผนที่ให้คีธไปเพราะตั้งใจจะเดินไปตามทางเรื่อย ๆ ตะลุยไปตามตรอกซอกซอยเหล่านี้นี่แหละ
โซนที่ถูกใจฉันที่สุดของวันนี้คือโซนร้านข้าวแกง มันน่าตื่นใจน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ ตอนที่ได้เห็นร้านข้าวแกงเรียงติด ๆ กันห้าหกร้าน ทุกร้านคนออกมานั่งกินกันอยู่บนทางเท้า นั่งเก้าอี้พลาสติกเหมือนเก้าอี้ซักผ้า โต๊ะพลาสติกเหมือนโต๊ะของเด็กมากกว่าที่จะให้คนโตแล้วอย่างเรา ๆ มานั่งกินข้าว
ทุกโต๊ะมีอาหารอยู่ในจานพลาสติกน้อย ๆ อยู่สี่ห้าจาน ส่วนข้าวอยู่ในกะละมังพลาสติก โอ๊ย แค่เห็นก็สนุกแล้ว ฉันอยากลองกินบ้าง ก็มองหาที่ว่างแล้วดิ่งเข้าไปเลย
กับข้าวมีให้เลือกเป็นสิบ ๆ อยู่ในถาดและในหม้อ ดูร้อน ๆ น่ากินไปหมดทุกอย่าง ฉันไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ชี้ได้มาห้าอย่าง มันดีมากที่ทุกอย่างมาในจานน้อย ๆ ทำให้สามารถเลือกทดลองกินได้หลากหลาย ข้าวกะละมังใหญ่ไม่ใช่ปัญหา ฉันจัดการทุกอย่างเกลี้ยงไม่ให้เสียชื่อชาวไทยผู้เป็นกระดูกสันหลังของโลก และชำระเงินไปหมื่นกว่าดองคิดเป็นเงินไทยสามสิบห้าบาท
เดินออกมาทั้ง ๆ ที่อิ่มแล้ว แต่น้องสาวที่นั่งขายเต้าหู้ทอดในหาบเร่ ร้องเรียกมาเป็นภาษาถิ่น ฉันไม่เข้าใจหรอก แต่ได้กลิ่นแล้วก็เดินไปนั่งโดยดี เต้าหูทอดขายพร้อมกับขนมจีน มีน้ำจิ้มเป็นน้ำปลาน้ำตาลน้ำส้มและพริกตำ รสชาติดีที่เดียวเสียดายว่าอิ่มมาแล้วเลยกินแค่ชุดเล็ก
1
ฉันมาถึงทะเลสาบก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง เลยเอาสมุดบันทึกมานั่งเขียน มีพ่อค้าแม่ค้าขายโปสการ์ด แผนที่ และหนังสือวนเวียนมาเป็นระยะ และก็เด็กอีกกลุ่มที่พยายามจะมาขัดรองเท้าให้ได้ ทั้ง ๆ ที่ฉันใส่รองเท้าผ้าใบและมันเก่ามาก
พอสั่นหัวปฎิเสธไปห้ารอบ เด็กพวกนั้นก็รวมหัวกันตะโกนลั่นว่า Dirty Shoes!!! ฉันหัวเราะไม่ถือสาอะไร ก็พอดีอีคีธมานั่งข้าง ๆ เด็กกลุ่มนั้นก็เข้ามารุมใหม่อีกครั้ง เราเลยพยักหน้าแล้วพากันเดินออกมา
ระหว่างเดินน้องก็เล่าให้ฟังว่าที่พิพิธภัณฑ์ไม่มีอะไรเลยนอกจากศพโฮจิมินต์ ฉันก็ถามกลับคิดว่าจะเจออะไรในพิพิธภัณฑ์เหรอ ทำไมไม่ไปดูพวกโชว์หุ่นกระบอกน้ำอะไรนั่นล่ะ ไปพิพิธภัณฑ์ก็ต้องแบบนั้นแหละ มันเหมาะกับคนชอบประวัติศาสตร์ คีธพยักหน้าแล้วก็ถามว่าฉันทำอะไรบ้าง ฉันก็เล่าให้ฟังถึงย่านเมืองเก่าที่แสนจะวุ่นวายแต่สนุกมาก ๆ แต่ไม่มีศพใครเลยนะ ไม่สนุกเหมือนของน้องหรอก คีธรู้ว่าฉันบลั๊ฟก็หัวเราะใหญ่
1
หลังจากใช้เวลาอยู่กับคีธมาสองสามวันก็รู้ว่า น้องยังมีความเป็นเด็กมาก ซึ่งน้องก็ยังเด็กจริง ๆ นั่นแหละเพิ่งยี่สิบเอง แม้จะดูหวาดกลัว ระแวดระวังภัย แต่ก็เป็นเด็กมีน้ำใจ และขี้เล่น
ตอนที่คุยกันเรื่องแผนเที่ยวว่า ฉันต้องอยู่รอพี่สันต์ถึงวันที่ 14 น้องก็บอกว่าเสียดายที่นัดเพื่อนไว้ที่โฮจิมินต์วันที่ 13 ไม่อย่างนั้นจะอยู่เป็นเพื่อนจนเราได้พบพี่สันต์ก่อน บอกว่ากลัวเราจะเหงาที่ต้องอยู่คนเดียว หืมมม พี่ก็เที่ยวคนเดียวมาครึ่งเดือนแล้วนะจ๊ะน้อง ก็มีเหงาบ้างประปรายแต่พี่แฮนเดิลได้แล้วไม่ต้องห่วงกัน
เราปิดวันด้วยร้านอาหาร Up to you ของคีธอีกตามเคย คือแล้วแต่ฉันอยากกินอะไร แถวไหนก็ได้ไปกินกัน ซึ่งตอนนี้ฉันก็เริ่มสงสัยแล้วว่า ที่อีคีธมันห่วงว่าฉันจะเหงา หรือมันจะเหงากันแน่
11 มีนาคม 2545
Hanoi, Vietnam
วันนี้คีธไปสถานทูต นัดเจอกันอีกครั้งตอนเย็นที่เดิม ฉันก็เลยละเลียดนอนแช่อ่างอาบน้ำแบบไม่รีบ เพราะรู้ว่าวันนี้ต้องย้ายไปห้อง 305 แห่งความจริง
หลังจากย้ายกระเป๋าทั้งของฉันและของน้องไปห้อง 305 แล้วก็ออกมาเดินถ่ายรูปรถขนดอกไม้ และร่วมสมาคมจิบชากับแก๊งคุณลุง หลังจากที่ฉันจิบชาไปสามแก้ว สนนราคาแก้วละหนึ่งร้อยดอง คิดเป็นเงินไทยประมาณ สามสิบสตางค์ กินไปสามแก้วยังไม่ถึงหนึ่งบาท
ฉันก็ตั้งใจว่าจะปักหลักนั่งอยู่ร้านชาของคุณยายไปเรื่อย ๆ จึงหยิบสมุดวาดรูปออกมาสเก็ตรูปความวุ่นวายของรถขายดอกไม้ตรงหน้า
ซึ่งการวาดรูปของฉันเรียกผู้คนให้เข้ามาสนทนาด้วยไม่ขาดสาย แม้จะเป็นการสนทนาที่ฉันฟังไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม คุณยายก็ยังคงเติมชาให้ฉันเป็นระยะ เพราะจอกน้อย ๆ นั้นกระดกทีเดียวก็หมดแล้ว และฉันคงเป็นลูกค้าชั้นเยี่ยมของเช้านี้ คุณยายจึงยื่นถุงถั่วให้ฉัน พอถามว่าเท่าไหร่ ก็โบกมือแล้วคะยั้นคะยอให้กิน
วิธีการถามราคาของฉัน ตอนที่ไปยังแหล่งที่คนไม่พูดภาษาอังกฤษกันก็คือ หยิบแบงค์หรือเหรียญขึ้นมาโชว์แล้วให้เค้าเลือก ยังไม่เคยโดนโกงเลย หรือโดนโกงไปแล้วก็ไม่รู้ตัว แต่จนถึงตอนนี้ฉันรู้สึกว่าได้เจอแต่คนน่ารัก โดยเฉพาะในย่านที่ฝรั่งน้อย ๆ และไม่พูดภาษาอังกฤษ
1
เมื่อชาของยายหมดแล้ว และฉันก็ต้องการห้องน้ำพอดี ก็เลยมุ่งหน้าไปเช็คอีเมล์ที่ Romantic เจอน้องฮั้ว (Hua) เธอดีอกดีใจที่ได้เจอกันอีกแล้ว ร้องถามว่าวันนี้อยากกินผลไม้อะไรจะออกไปซื้อให้ ก็เลยได้สาลี่และมะม่วงมาติดกระเป๋า
พี่สันต์ส่งอีเมล์มาแจ้งว่าจะมาพบที่ Romantic เวลา 14.00 ให้ช่วยมองหาที่พักให้ด้วย อีเมล์อีกฉบับเป็นของสเตฟานถามว่าแผนการเดินทางในเวียดนามของฉันเป็นยังไง เผื่อเจอกันที่ไหนสักแห่งตอนที่เขาขึ้นมาฮานอย ฉันบอกไปว่าจะไปถึงเว้เช้าวันที่ 15 และจะไปดาลัดต่อแต่ยังไม่รู้วันไหน ขึ้นอยู่กับว่าจะชอบเมืองเว้มากน้อยแค่ไหน ถ้าชอบมากก็อาจจะอยู่สามสี่วัน
พักเดียวสเตฟานก็ตอบกลับมาทันทีเพราะออนไลน์อยู่พอดี งั้นไปเจอกันที่เว้ วันที่ 15 ก็แล้วกัน ฉันก็ตกลง
ฉันยังคงหลงใหลอยู่ในย่าน Old Quarter วันนี้หลุดไปอยู่ในโซนเสื้อผ้าและกระเป๋าผ้าไหม ยืนเลือกกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก ๆ เพราะน้ำหนักเบามากพอจะซื้อได้สักสองสามใบเป็นของฝาก เจ๊คนขายพูดภาษาอังกฤษได้เล็กน้อย บอกว่านี่ไม่ใช่ร้านเธอ ลดราคาไม่ได้มาก ฉันนั่งคุยอยู่ในร้านนานพอสมควร จนได้รู้ว่าเจ๊ชอบสะสมแสตมป์และมีของประเทศไทยด้วย ฉันเลยบอกว่าเดี๋ยววันที่ 14 จะแวะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับแสตมป์ไทย
ถัดจากย่านเสื้อผ้า ก็มาเจอกับย่านขายซีดีเถื่อน ส่วนใหญ่เป็นซีดีเพลงสากล ฉันเลยเลือกมองหาเพลงของ Manu Chau และ Frank Sinatra ที่เคยฟังที่บ้านน้ำปาย ได้ติดมือมา 4 แผ่น
เดินมาที่ไปรษณีย์กลางใกล้ทะเลสาบ หาที่นั่งเขียนโปสการ์ดถึงเพื่อน ๆ สักพักก็มีเด็กกลุ่มนึงเดินมาขายแผนที่และโปสการ์ด ก็จะเริ่มต้นด้วยประโยคที่ฟังมาตลอดสามวันนี้ว่า “Where are you from?” “Thailand!!” “You are very sexy girl” ซึ่งเด็กขายโปสการ์ดริมทะเลสาบเกือบทุกคนจะพูดแพทเทิร์นนี้
เด็กกลุ่มนี้ขายโปสการ์ดแพ็คละ $2 แต่ฉันเพิ่งได้มาในราคาเจ็ดพันดองในย่านเมืองเก่า ก็เลยต่อรองว่า สองแพ็ค $1 ก็แล้วกัน ทั้งสามคนร้องเสียงหลงพร้อมกัน NO!!! ฉันหัวเราะ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องชวนคุย
สรุปว่า ที่ฉันคิดว่าเด็กทั้งสามคนไม่เด็กแล้ว อายุ 25-29 กันเข้าไปแล้ว พวกเขาเข้ามาทำมาหากินในเมือง เพื่อจะหัดพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง ๆ จะได้ไปหางานทำที่ดีกว่านี้ อยากจะไปขับแท็กซี่กัน เพราะได้เงินดีกว่ามาก แล้วพวกเขาก็สอนภาษาเวียดนามที่จำเป็นให้ฉัน เช่นคำว่า ดั๊ดกว๋า ที่แปลว่า แพงไป๊ คุยกันอยู่นานเกือบชั่วโมงพวกเขาก็ขอตัวไปขายของต่อ ฉันก็เดินไปหาคีธที่จุดนัดพบ
คีธมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอฉันถามว่าเรื่องสถานทูตว่าไง น้องก็เล่าเร็ว ๆ รัว ๆ ฉันที่กำลังหยิบสาลี่ขึ้นมาพร้อมกับมีดพับสวิส ก็ดึงใบมีดออกมาแล้วชี้หน้าอีคีธว่า ถ้าพูดเร็วแบบนี้อีกจะจิ้มให้ใส้แตก ฟังไม่รู้เรื่องโว้ย!!
1
เราแลกเปลี่ยนประสบการณ์ประจำวันให้กันและกันฟัง ซึ่งฉันก็ได้สรุปให้ตัวเองไปพร้อมกับที่เล่าให้น้องฟังว่า วันนี้ฉันไม่ได้ไปสถานที่อะไรเป็นชิ้นเป็นอันแบบที่นักท่องเที่ยวควรจะไปเลย แต่ฉันกลับรู้สึกสนุกมากที่ได้พูดได้คุยผู้คนท้องถิ่นตลอดทั้งวัน
ฉันว่าฉันชอบแบบนี้มากกว่าไปเดินท่อม ๆ ตามวัดวาหรือพิพิธภัณฑ์ การละเล่นต่าง ๆ มันเหมือนฉันได้รู้จักฮานอยที่ไม่เหมือนในหนังสือท่องเที่ยวที่อ่านมาเลย ไม่ว่าจะหนังสือภาษาไทยหรือ Lonely planet
1
พรุ่งนี้ฉันต้องไปฮาลองเบย์แล้ว คีธต้องนอนฮานอยอีกหนึ่งคืนแล้วขึ้นเครื่องไปโฮจิมินต่อ คีธยกหน้าที่การหาที่พักคืนพรุ่งนี้ของเขาให้ฉัน ซึ่งตอนนี้ฉันควรสถาปนาตัวเองเป็นแม่ของมันได้แล้ว จะกินที่ไหน จะนอนที่ไหน ก็ให้ฉันจัดการไปซะหมดทุกอย่าง
เราเลยตะเวนหาที่พัก Dormitory กัน ไปเจอ Wing Hotel ในราคาคืนละ $3 ฉันก็เลยจองให้ตัวเองในวันที่กลับจากฮาลองเบย์หนึ่งคืน และจองให้พี่สันต์อีกคน
เราแวะไป Romantic อีกหนึ่งรอบเพื่อจัดการเรื่องอีเมล์ สเตฟานส่งข่าวมาอีกรอบว่าซื้อตั๋วไปเว้เรียบร้อยจะไปถึงตอน 14.00 ฉันตอบไปว่า ฉันจะถึง 10.00 ถ้าแชร์ห้องกันก็จะดีมากจะได้ประหยัด พรุ่งนี้จะไปฮาลองเบย์ อาจจะไม่ได้ตอบอีเมล์สองวัน
คืนนี้ฉันพาคีธไปกินที่ร้านเวียดนาม และอวยชัยอวยพรให้การเดินทางต่อจากนี้สนุกและราบรื่น ขอให้ได้ประสบการณ์ที่มีค่ากลับไปอังกฤษนะ คีธยิ้มรับและขอบคุณ และขอบคุณมาก ๆ ที่วันนั้นฉันเดินมาทักที่สนามบิน เพราะเขาคงไม่กล้าทักฉันก่อนแน่นอน ฉันบอกน้องไปว่า น้องเป็นหนึ่งในเรื่องดี ๆ ที่ฉันเขียนลงสมุดบันทึกนะ ดังนั้นเราต่างได้พบและเจอเรื่องดี ๆ ทั้งคู่นั่นแหละ
ขี้เกียจรออ่านเป็นตอน ๆ มี E-book นะคะ👇
โฆษณา