17 ส.ค. 2021 เวลา 04:37 • นิยาย เรื่องสั้น
บันทึกกึ่งนิยาย ตอนที่ 12
“Do you believe in true love?”
Bye Bye Laos : Xin Chao Vietnam
8 มีนาคม 2545
เวียงจันท์ เมืองหลวงประเทศลาว
ฉันตื่นสายกว่าปกติ และปฎิเสธเมื่อสองสาวชวนให้ออกไปด้วยกัน อาบน้ำด้วยความละเลียดอยู่สักพักก็เดินออกมาหาอะไรกิน
เจอร้านขนมปังชื่อร้านเป็นภาษาฝรั่งเศสแต่ด้านในก็เป็นพี่น้องชาวลาวนี่แหละที่เป็นเจ้าของ สั่งชาร้อนและขนมปังมากิน นั่งเขียนโปสการ์ดอยู่นาน เจ้าของร้านและแฟนของเขาก็เข้ามานั่งคุยด้วย
ได้ความว่าวันนี้เป็นวันแม่หญิงลาว ผู้สาวชาวลาวจะไม่ทำงานกัน วันนี้มีมานานแล้ว เป็นวันที่ให้เกียรติผู้สาวลาวทั่วประเทศ ถ้าเดินออกไปตอนนี้อาจจะได้เห็นผู้สาวแต่งตัวกันงดงามเป็นพิเศษเดินตามท้องถนน
ก่อนจะออกจากร้าน ผู้สาวแฟนเจ้าของร้านบอกทางให้ไปตลาดนัดเวียงจันทร์ เผื่อฉันจะได้เจอผ้านุ่งลาวสวย ๆ ซึ่งเมื่อมาถึงตลาดจริง ๆ ฉันก็คิดแล้วคิดอีกตอนที่เจอผ้านุ่งถูกใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อดี
การเป็นนักเดินทางแบกเป้ สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงตลอดคือน้ำหนักบนกระเป๋า ไม่ควรซื้อหาอะไรเพิ่มให้มันหนักขึ้นไปอีก แต่คุณยายใจดีที่ขายผ้านุ่ง ลดราคาให้เพิ่มจากหมื่นกีบเป็นเก้าพันกีบ และอ้อนให้ซื้อหน่อยเถอะ จะได้เอาไปใส่ให้สวยสมกับเป็นวันแม่หญิงลาว
ซึ่งฉันก็ใจอ่อนในที่สุดเพราะคิดถึงคุณยายของตัวเองขึ้นมาจับใจ ออกจากตลาดเลยแวะไปโทรศัพท์ทางไกลส่งข่าว เพื่อได้ฟังประโยคที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน “คุณยายคิดถึง” นี่เป็นประโยคที่ฉันเกือบจะยกเลิกทุกอย่างแล้วเก็บกระเป๋ากลับบ้านดีกว่า
แม้ว่าฉันกับคุณยายจะอยู่ใกล้ชิดกันมานานตั้งแต่ฉันเกิด ก็คุณยายเป็นคนเลี้ยงฉันเองตั้งแต่เล็ก แต่บ้านเราไม่ค่อยได้เอ่ยความในใจลึกซึ้งอะไรกันแบบนี้นัก ดังนั้นประโยค “คิดถึง” จากคุณยายจึงค่อนข้างกินใจ และพาลจะทำให้ฉันเหงาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
2
เดินออกจากตลาดมุ่งหน้าไปยังลานน้ำพุ รู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่ในเวียงจันทร์ลำบากมาก เพราะเมืองใหญ่กว่าหลวงพระบาง และวังเวียง จะไปไหนแต่ละทีเดินเมื่อยมาก ส่วนจะเรียกรถตุ๊ก ๆ ก็จะเจอกับราคาเปิดที่ห้าพันกีบ ทั้ง ๆ ที่ถามอ้ายชาวลาวมาแล้วว่าเค้าเปิดกันที่สามพันกีบ ดังนั้นก็ต้องจำใจเลือกทางเดินเป็นหลัก
วันนี้มาน้ำพุอีกครั้งหวังว่าจะได้เห็นการแสดงกับเค้าสักรอบ แปลกใจที่เห็นเด็กฝรั่งเนิร์ดคนเดิมนั่งอยู่บริเวณใกล้ที่เดิม ยังคงส่งสายตาแปลก ๆ มาให้ ฉันชั่งใจอยู่ว่าจะเข้าไปทักพูดคุยดีหรือไม่ ก็พอดีพบกับหนุ่มน้อยหน้าใสหัวทองสองคน
เราหยุดยิ้มให้กันและทักทาย ต่างคนก็ต่างจำไม่ได้ว่าเคยเจอกันที่ไหน นึกกันอยู่สักพักก็เอ่ยพร้อมกัน “on the bus!!” เออ ใช่จริง ๆ เด็กหนุ่มจากแคนาดาสองคนนี้ คือหนึ่งในกลุ่มคนที่เล่นเก้าอี้ดนตรีตอนที่นั่งมาจากหลวงพระบางนั่นเอง
ฉันเอ่ยชื่นชมอีกครั้ง บอกพวกเขาว่า เป็นสิ่งที่ฉันประทับใจมาก เขียนเล่าให้เพื่อน ๆ และใครต่อใครฟัง ถึงวีรกรรมที่แสนจะธรรมดาและพิเศษมาก ๆ นั้น ทั้งสองคนยิ้มเขิน ๆ และถามฉันว่ากินข้าวเย็นรึยัง พวกเขากำลังจะไปกินอาหารอินเดีย ฉันบอกว่ารอดูน้ำพุกันก่อนเถอะ นี่มาเป็นครั้งที่สองแล้ว ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่เปิดอีกจนได้
เรามาร้าน Nazim ซึ่งฉันคิดว่าร้านนี้คงมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ เพราะจำได้ว่าเคยไปกินที่หลวงพระบางกับพี่โยฮัน ฉันสั่ง Galic Nann และ Beef Curry เพื่อรำลึกและส่งท้ายให้กับพี่โยฮัน
บอกตัวเองว่า พรุ่งนี้จะข้ามไปเวียดนามแล้ว พี่โยฮันควรจะอยู่เท่ ๆ ที่ประเทศลาวนี่แหละ ส่วนฉันจะไปต่อล่ะนะ เพราะแรกเริ่มเดิมทีฉันออกเดินทางเพื่อจะได้ลืมใครคนนั้นและยืนอย่างเข้มแข็งให้ได้ ไม่ใช่เพื่อจะมาหาใครสักคนแล้วเกาะเกี่ยวไว้เพื่อพยุงตัว
1
ไปจริง ๆ ล่ะนะพี่โยฮัน ฉันบอกลาในใจ
2
9 มีนาคม 2545
Xin Chao Hanoi
มาถึงสนามบินด้วยความตื่นเต้น ทำตัวไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรก่อน อะไรหลัง มือที่กำตั๋วเครื่องบินเริ่มเย็นชื้น โชคดีที่ยังอยู่ในประเทศลาว สื่อสารภาษาไทยได้ก็เลยถามดะไปหมด
ขั้นแรกต้องเอากระเป๋าไปส่งยังช่องส่งกระเป๋าก่อน เค้าจะรัดด้วยสายสีเหลือง ๆ เหมือนกับสายรัดของกล่องที่ไปรษณีย์ จากนั้นก็ไปยื่นตั๋วที่ช่องสายการบินลาว ได้ที่นั่ง 9A อันเป็นนิมิตรหมายอันดี เดินทางวันที่เก้า เวลาเก้า ที่นั่งเก้า คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว สบายใจขึ้นมาหน่อย
เดินขึ้นไปชั้นสองนำหนังสือเดินทางไปตรวจ เจอหนุ่มแว่นคนที่เคยผ่านตามาหลายวันที่บริเวณน้ำพุ มองกันไปมองกันมาสองวันแต่ไม่เคยเข้ามาทักกันจริงจัง แต่วันนี้ฉันต้องการเพื่อนอย่างมากเลยปรี่เข้าไปทักก่อน
ได้ความว่าจะขึ้นเครื่องไปลงฮานอยเหมือนกัน แลกเปลี่ยนประวัติอยู่สักพักได้ความว่าชื่อ Keith-คีธ มาจากอังกฤษอายุ 20 ปี เป็นเด็กที่พูดอังกฤษรัวและเร็วมาก แถมสำเนียงก็ฟังยากและไม่คุ้นหูพาลให้นึกถึงอีไมเคิลขึ้นมาทันที ต่างกันตรงที่น้องคีธมารยาทดีงามกว่ามากราวหน้ามือกับหลังมือ
น้องเล่าว่าที่เห็นเดินไปเดินมาเหมือนวิญญาณแถวน้ำพุทุกวันเพราะว่าหนังสือเดินทางหายที่หลวงพระบาง โอ๊ยยย ใครจะเข้าใจเธอเท่าฉันน้องคีธ มันก็มีแต่คนที่เคยทำหายเหมือนกันเท่านั้นแหละ
1
ฉันเล่าเรื่องความโก๊ะกังที่ปากแบงให้น้องฟัง และแชร์ความกังวลว่านี่เป็นครั้งแรกที่ต้องขึ้นเครื่องบิน ไม่รู้ว่าจะเกิดอาการวิงเวียนอะไรบ้าง แถมยังเป็นครั้งแรกที่ต้องไปประเทศที่ฉันต้องใช้แต่ภาษาอังกฤษเท่านั้นอีก
คีธใจดีบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวช่วยแปลให้ ฉันก็งงว่า แปลอะไรยังไง แปลอังกฤษเป็นอังกฤษน่ะเรอะ แล้วภาษาอังกฤษของน้องก็ฟังยากแบบนี้ด้วยนะ ช่วยแปลนี่จะยิ่งไปกันใหญ่รึเปล่า
พอเครื่องบินเริ่มเชิดหัวขึ้น ยาดมที่เตรียมไว้ในมือก็ยัดเข้าไปในรูจมูกทันใด ทุกอย่างมันสั่นไปหมด เสียงก็ดังอื้ออึง ฉันนั่งนิ่งหลับตาและพยายามนึกถึงเรื่องอะไรสักอย่างที่สบายใจ แต่ก็นึกไม่ออก หัวสมองมันว่าง ๆ โล่ง ๆ แค่อึดใจเดียวเครื่องบินก็อยู่ระดับสูงและเงียบลง ฉันแปลกใจที่มันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
สักพักพนักงานต้อนรับก็เอาอาหารมาเสิร์ฟ เป็นขนมปังหน้ากุ้ง 4 ชิ้นกล้วย 1 ลูก ขนมไข่ 2 และเป๊บซี่ 1 กระป๋อง ฉันกินเพื่อไม่ให้น้องหญิงลาวเสียน้ำใจจนหมดเกลี้ยงเหลือเพียงเปลือกกล้วย แล้วก็หยิบโน๊ตที่จดไว้มาอ่าน
เมื่อคืนก่อนนอนขอ Lonely Planet ของเรแกนมาดู และพบว่ามันเป็นหนังสือที่ให้ข้อมูลละเอียดมากเหมาะสำหรับการเดินทางจริง ๆ จึงไม่แปลกใจที่นักเดินทางแบกเป้ทุกคนต้องพกติดตัวเป็นคัมภีร์ท่องเที่ยว
ฉันจดรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับฮานอยไว้ ทั้งการเดินทางเมื่อถึงสนามบิน ตำแหน่งที่พัก อาหารการกิน และข้อมูลจำเป็นอื่น ๆ และหมายมั่นว่าถ้ามีโอกาสก็จะซื้อ Lonely Planet ของประเทศเวียดนามติดตัวไว้บ้าง เพราะหนังสือเที่ยวเวียดนามฉบับภาษาไทยที่ฉันมีช่วยอะไรไม่ได้เลย หนักไปทางเรื่องราวประวัติศาสตร์มากกว่า
ระยะเวลา 1 ชั่วโมงบนเครื่องบินผ่านไปรวดเร็วมาก เรามาถึงเวียดนามแล้ว เครื่องลงจอดสร้างความลำบากให้ฉันมากกว่าตอนขึ้น เพราะปวดแก้วหูจนอยากจะอาเจียน ดีใจที่มียาดมติดมือมาด้วย
เมื่อลงมาถึงสนามบินฉันรอกระเป๋าอยู่ประมาณ 20 นาที น้องคีธที่ไม่ได้นั่งใกล้กันบนเครื่อง ตอนนี้ได้กระเป๋าแล้วและมายืนวนเวียนรออยู่ใกล้ ๆ ส่งสัณญาณว่าไปไหนไปด้วยกัน
ได้กระเป๋าแล้วก็ออกมาด้านนอกอาคาร จำที่ในหนังสือนำเที่ยวของไทยเขียนได้ว่าให้ระวังกลุ่มแท็กซี่จะเข้ามารุมล้อม ฉุดกระชากลากถู ก็เตรียมตัวระวังอย่างดี แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาฉุดกระชาก มีแต่เรานี่แหละต้องเดินไปถามราคาซึ่งมีตั้งแต่ $10 - $4
มองไปทางรถตู้ชูสองนิ้วให้แต่ไกลแปลว่า $2 เรากับคีธพยักหน้าให้กันแล้วเดินตรงไปที่รถตู้ แจ้งจุดหมายปลายทาง The Old Quarter ตามที่อ่านมาจาก lonely Planet
เมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองฮานอย สังเกตเห็นว่าป้ายต่าง ๆ ไม่ค่อยมีภาษาอังกฤษ และภาษาเวียดนามนั้นอ่านยากจัง ฉันอึ้งไปกับเสียงแตรรถที่ดังเกือบตลอดเวลา นึกถึงในไกด์บุ๊คบอกว่าฮานอยเป็นเมืองที่เสียงดัง แต่ก็ไม่คิดว่าจะดังขนาดนี้
ประเทศลาวที่จากมาคือความนิ่งและสงบงดงาม เจอเข้าไปแบบนี้ฉันก็ช็อคปรับตัวไม่ทันในตอนแรก แต่เมื่อเสียงแตรกรอกหูอยู่ไม่ขาดสาย ฉันก็ตัดสินใจว่าจะเปิดใจให้กันสักตั้ง ถ้าไม่ชอบฉันก็เผ่นแน่บล่ะ ประเทศไทยก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก
รถเข้าสู่ย่าน Old Quarter แล้วเพราะคีธสะกิดให้ดูฝรั่งที่เดินกันขวักไขว่สองข้างทาง ตอนแรกเราแจ้งเด็กรถว่าจะไปพักที่ Queen Café ตามข้อมูลในไกด์บุ๊ค แต่เค้าพามาที่โรงแรม Sinh Hotel บอกว่าให้ดูที่นี่ก่อน เพราะ Queen น่าจะเต็มใครก็จะไปแต่ที่ Queen
ฉันกับคีธเดินไปดูห้องพัก มีสองเตียง พร้อมพัดลมติดผนัง ห้องน้ำรวมที่ชั้นล่าง ห้องกว้างพอตัวแต่บรรยากาศอับ ๆ ทึม ๆ ราคา $6 ถ้าหารกันก็คนละ $3 พอรับไหว ถามคีธว่าแชร์ห้องกันมั้ย น้องพยักหน้าก็เป็นอันตกลง
เราเอาของเก็บและออกมาเดินสำรวจเมือง เจอคนขาย Post card มารุมตอมอยู่สี่ห้าคน บ้างก็ขายแผนที่ด้วย ซึ่งฉันกำลังต้องการพอดี แผนที่ราคา $1 เห็นว่าถูกดีกำลังจะซื้อ คีธร้องถาม จะซื้อแน่เหรอ แน่ใจเหรอ
ฉันก็เปลี่ยนใจไม่ซื้อก็ได้ คนขายโวยวายว่าต่อรองราคาแล้วต้องซื้อสิ แต่คีธดึงแขนฉันออกมาแล้วเดินหนี คนขายก็ตะโกนด่าไล่หลังฟังไม่ถนัด จนสุดท้ายวิ่งมาดักหน้าแล้วบอกว่า Post Card ด้วยแผนที่ด้วย $1 โอเคมั้ย ฉันรีบโอเคยื่นเงินให้ทันที คีธโวยว่า ทำไมยอมง่าย ไม่ควรซื้อนะ เพราะอ่านมาว่าอยู่เวียดนามจะเจอคนมาขายของแบบนี้อีกเยอะ ต้องเช็คราคาให้ทั่วก่อน ก็ตอบไปว่าราคา $1 นี่ฉันพอใจแล้ว ไม่ต้องถูกกว่านี้แล้วล่ะ
ตอนนี้ทั้งฉันและคีธเรายังไม่มีเงินด็องติดตัว จึงมุ่งหน้าไปธนาคารก่อนเพื่อทำการแลกเงิน ปรากฎว่าธนาคารปิดเพราะเป็นวันเสาร์
แต่ก็มีป้าชาวเวียดปรี่เข้ามาหาเราถามว่าแลกเงินเหรอ ฉันพยักหน้า ส่วนคีธส่ายหน้าแล้วกระซิบบอกฉันว่าอย่าแลกเงินกับป้านี่นะ อาจจะเป็นเงินปลอม ฉันบอกว่าไม่เป็นไรแลกไว้สัก $10 ติดตัวก่อนเถอะ ซึ่งท่าทางของป้าลับ ๆ ล่อ ๆ มีพิรุธสมควรที่คีธมันจะไม่ไว้ใจจริง ๆ นั่นแหละ แต่เงินที่แลกมากับป้าก็ใช้ได้ปกติไม่มีปัญหา
เราเดินเรื่อยมาที่ริมทะเลสาบ เพื่อหาอะไรกิน และพบว่าของแถว ๆ ริมทะเลสาบแพงกว่า แต่จะให้เดินกลับไปกินแถวที่พักก็ขี้เกียจเกินไป และอีคีธก็ยกทุกอย่างให้ฉันตัดสินใจไปซะหมด จะไปไหน กินแถวไหน ร้านอะไร คีธตอบว่า up to you มีดีอย่างนึงที่พึ่งพาได้คือ อ่านแผนที่เก่ง
กินข้าวเสร็จก็หาร้านอินเตอร์เนตเข้า ซึ่งหาไม่ยากเพราะมีร้านเยอะมาก อยู่ติด ๆ กันนั่นแหละ แต่อย่างที่คีธบอก เราต้องเช็คราคาให้ทั่วก่อน ทั้ง ๆ ที่ร้านใกล้ ๆ กันแต่ราคาไม่เท่ากันแฮะ บางร้าน 100ด็องต่อชั่วโมง แต่บางร้านก็ถูกกว่า เราหากันได้ถูกสุดคือ 60ด็องต่อชั่วโมง แล้วก็แยกกันไปเช็คอีเมล์
ปัญหาเรื่องเงินของฉันกำลังจะหมดไป ที่มีติดตัวอยู่แค่ $100 ตอนนี้ ฉันส่งเรื่องไปให้เพื่อนฝากเงิน $200 มากับพี่สันต์ พี่ชายนักเขียนนักเดินทางที่ช่วยวางแผนการเดินทางครั้งนี้ให้
พี่สันต์จะเดินทางมาฮานอยเพื่อทำธุระในวันที่ 14 ฉันต้องรออีก 6 วันเท่านั้นซึ่งไม่ใช่ปัญหา เปิดอีเมล์อีกฉบับจากสเตฟานแจ้งมาว่า ตอนนี้ออกเดินทางคนเดียวแล้ว กำลังอยู่ในกัมพูชามุ่งหน้าไซ่ง่อน เมืองหลวงของเวียดนาม ฉันตอบไปว่า ฉันอยู่ฮานอยแล้ว คงได้เจอกันสักแห่งในประเทศนี้
1
เมื่อกลับมาที่โรงแรมตอนบ่ายฉันกับคีธก็คุยปรึกษากันถึงแผนของแต่ละคน คีธบอกว่าต้องรอวันจันทร์เพื่อไปทำเรื่องเอกสารหนังสือเดินทางและวีซ่าต่าง ๆ
ส่วนฉันยังไงก็ต้องรอถึงวันพฤหัสที่ 14 เพื่อพบพี่สันต์ ฉันบอกว่าถ้ารู้ว่าคีธจะออกเดินทางต่อวันไหน ฉันจะได้หาที่พักเตรียมไว้ก่อน เพราะถ้าฉันต้องจ่ายคนเดียวคืนละ $6 ก็ไม่ไหวเหมือนกัน คงต้องไปหา Dormitory อยู่ เรามาสรุปกันที่ว่าไว้รอดูวันจันทร์อีกที
ตกค่ำฉันออกเดินสำรวจฮานอยอีกครั้ง เนื่องจากฮานอยไม่เหมือนลาวที่พอตกค่ำก็จะเงียบสงบและวังเวง ที่นี่เต็มไปด้วยแสงสีและความคึกคักน้อง ๆ เชียงใหม่เลยทีเดียว
ฉันเดินหาที่พักไปพลาง ๆ พร้อมกับเข้าไปพูดคุยกับร้านที่ขายทัวร์ต่าง ๆ ข้อมูลล้นทะลักในค่ำคืนเดียว มีทัวร์มากมายให้เลือกซื้อ ซึ่งการซื้อทัวร์ไปจะถูกกว่าหาทางไปเองมากนัก
ฉันเดินอยู่ร่วมชั่วโมงเข้า-ออกร้านขายทัวร์อยู่หลายแห่ง ถูกใจทัวร์ที่ไปฮาลองเบย์ที่ราคาจะอยู่ที่ $21-$14 ใครขยันเดินหน่อยก็ได้ราคาดีไป แต่ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องทัวร์ เพราะอยากเปลี่ยนที่พักก็เลยเดินเข้าออกไปถามโรงแรมอยู่หลายแห่ง
โรงแรมที่ฮานอยในละแวกนี้มีลักษณะคล้ายกัน เป็นคล้ายตึกแถวบ้านเราแต่มีขนาดที่ลึกกว่าและสูงกว่า ราคาจะขึ้นอยู่กับขนาดของห้อง สิ่งอำนวยความสะดวกและความสะอาด
ราคามีตั้งแต่ $20 ถึง $6 ฉันก็มองหาแต่โรงแรมราคาต่ำสุดนั่นแหละ เพราะตอนนี้มีคนช่วยหารค่าห้องจึงเลือกพักโรงแรมมันสบายกว่า ถ้าเมื่อไหร่คีธไปแล้ว ก็คงต้องลดลงมาพักพวก Dormitory ซึ่งก็คือห้องพักแบบหลาย ๆ เตียงในห้องเดียวกัน
โชคดีมาเจอกับ Camillia ในราคา $6 เป็นห้องขนาดเล็กมีสองเตียง ที่หันปลายเท้าชนกัน มีห้องน้ำในตัว และมีทีวีด้วย ทุกอย่างดีกว่าห้องที่พักอยู่ตอนนี้ ฉันก็เลยตกลงและแจ้งว่าพรุ่งนี้เช้าจะเข้ามาเช็คอิน
น้องสาวคนที่พาชมห้องจึงยื่นนามบัตรที่เขียนราคาและเบอร์ห้อง 305 ไว้ให้ด้านหลัง กำชับว่าพรุ่งนี้ให้เดินมาด้วยตัวเองพร้อมนามบัตรนี้ ห้ามไปตกลงราคากับใครที่เดินตามถนนเด็ดขาด ฟังมาก็ยังไม่เข้าใจจนถึงพรุ่งนี้เช้านั่นแหละถึงร้องอ๋อ
ขี้เกียจรออ่านเป็นตอน ๆ มี E-book นะคะ
โฆษณา