16 ส.ค. 2021 เวลา 05:07 • นิยาย เรื่องสั้น
บันทึกกึ่งนิยาย ตอนที่ 11
"Do you believe in True Love?"
วังเวียง -> เวียงจันทน์
7 มีนาคม 2545
วังเวียง - เวียงจันทร์ ประเทศลาว
เช้านี้ฝนเทลงมาขนาดหนัก และหยุดพักให้ออกไปหาอะไรกินตอนเช้า ขณะที่เดินกลับมาเจอน้องผู้หญิงชาวเยอรมันแบกเป้สวนมา จำหน้ากันได้แต่จำชื่อไม่ได้ เห็นกันในคืนที่ไปนั่งคุยกับเดวิด
น้องบอกว่ากำลังจะไปเวียงจันทร์ ฉันนึกอะไรก็ไม่รู้เดินตามไปท่ารถกับน้อง เพื่อสอบถามเวลารถออก ได้ความว่ามีรอบบ่ายโมง แต่ถ้าจะไปให้มาก่อนเวลาสักชั่วโมงจะได้มาจองที่นั่ง ร่ำลาน้องสาวเสร็จก็รีบวิ่งกลับที่พักเพราะฝนเริ่มพรำอีกแล้ว
ฉันเดินไปรับผ้าที่ร้านใกล้ที่พัก เอื้อยบอกว่าโชคดีฝนตกวันนี้ถ้าตกเมื่อวานผ้าแห้งไม่ทันที่นัดไว้แน่ ๆ กลับมาถึงฉันก็เอาผ้ามาวางกองไว้แล้วเริ่มจัดกระเป๋า เพราะเตรียมย้ายที่พักไปบ้านลุงที่คุยกันไว้เมื่อวาน เสร็จแล้วก็นั่งมองรอสายฝน
ความเหงามาจากไหนไม่ทันตั้งตัว วิ่งมาเกาะหัวใจฉันทันที ซึ่งถ้ายังนั่งอยู่แบบนี้ อาจจะต้องมีการเสียน้ำตา ฉันคว้ากระเป๋าที่ใส่สมุดบันทึกและโปสการ์ดวิ่งมุ่งหน้าไปร้านอาหารที่พี่เดวิดนั่งประจำ ระยะทางไม่ไกล และฝนก็ไม่แรงมาก เลยไม่เปียกเท่าไหร่
หยิบโปสการ์ดออกมาวางเรียง เขียนโน๊ตเล็ก ๆ ว่าใบไหนของใคร แต่ยังไม่ทันจรดปากกาฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมากลางหัวฉันเลย คือฟ้าไม่ได้ผ่าจริง ๆ หรอกแต่เป็นคนตรงหน้าที่เดินยิ้มร่าเข้ามา พระเอกของเรา น้องไมเคิลแห่งไอแลนด์นั่นเอง โอ๊ย วันอากาศแย่ ๆ แบบนี้ขอเรื่องดี ๆ บ้างเถอะ
4
น้องไมเคิลมากับสองสาวที่ฉันไม่คุ้นหน้า ยิงคำถามว่า Do you get here today? ฉันด้วยความตื่นตระหนกตกใจฟังไม่รู้เรื่องอีกแล้ว ถามซ้ำกลับไปสองรอบ พอรอบที่สาม อีไมเคิลย้ำทีละคำชัด ๆ DO YOU GET HERE TODAY
กริยาชั่วช้าแบบนี้ ฉันได้รับจากอีนี่คนเดียวเท่านั้นแหละ ตั้งแต่เจอเพื่อนนักเดินทางมาหลายคน ยังไม่เคยเจอใครแบบนี้มาก่อน ทั้งอายทั้งเจ็บ
1
ซึ่งน้องไมเคิลควรเลิกตอแยฉันได้แล้ว เมื่อรู้ว่าคุยกันทีไรฉันถามซ้ำสองสามรอบทุกที ไม่เคยคุยกันรื่นหูรู้เรื่อง
แต่ก็นะ ไมเคิลไม่เข้าใจ ไมเคิลไม่รู้ไม่ชี้ ไมเคิลนั่งลงร่วมวงกับฉันโดยไม่ได้รับเชิญ ฉันยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร พระเอกขี่ม้าขาวก็มาช่วยไว้ทัน พี่เดวิดนั่นเอง ฉันไม่ถามเลยว่าทำไมมาแต่เช้า เพราะมาก็ดีแล้ว มาช่วยหน่อยเร็ว
1
ไมเคิลกับพี่เดวิดก็คุยกันถูกคอยืดยาว มีบ้างที่เอ่ยถึงฉัน แต่โปสการ์ดที่ก้มลงเขียนอย่างตั้งใจเป็นเกาะกำบังได้อย่างดีในตอนแรก ซึ่งไมเคิลก็ทำลายเกาะของฉันพังทันทีเมื่อโยนคำถามมาให้ว่า
“รอพี่โยฮันอยู่ที่วังเวียงเหรอ”
1
และโดยไม่รอคำตอบก็บอกต่อว่า อีกวันสองวันนี้แหละเดี๋ยวก็ตามมา เพิ่งเจอกันเมื่อวานเย็น
ฉันมองดูนาฬิกาที่ติดอยู่ในร้าน อีกยี่สิบนาทีจะสิบเอ็ดโมง ฉันกวาดข้าวของลงกระเป๋า เอ่ยลาทุกคนแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย เดินไปจ่ายเงินแล้วเดินดุ่มกลับที่พัก คว้าเป้ที่จัดไว้เรียบร้อยขึ้นหลัง เดินมุ่งหน้าตรงไปยังท่ารถ
ต้องรออีก 2 ชั่วโมงกว่ารถบัสจะออก แต่เอื้อยเสนอว่ามีรถสองแถวที่จะออกรอบสิบเอ็ดโมงนะแพงขึ้นสองพันกีบเป็นแปดพันกีบ ฉันรีบตกลงแล้วเดินขึ้นไปนั่งบนรถทันที
รถเคลื่อนตัวออกจากวังเวียงมุ่งหน้าสู่เวียงจันทร์ ฉันยังตกอยู่ในพะวังอะไรบางอย่าง ข้างในหัวมันอึนไปหมด ส่วนข้างในใจก็โหวงเหวง
ฉันรู้ว่าทำไมถึงตัดสินใจกระทันหันแบบนี้ แม้ว่าฉันยังชอบวังเวียง ชอบผู้คนที่พบเจอที่นั่น ชอบกิจกรรมที่ได้ทำ และวางแผนว่าจะทำ ฉันยังอยากอยู่ต่อ ยังอยากละเลียดวังเวียงอีกสักหน่อย แต่เมื่อม้าเร็วมาส่งข่าวแบบนี้ ฉันก็ต้องไป โทษใครไม่ได้เลย โทษอีไมเคิลคนเดียว
พี่โยฮันทำให้ฉันใจแกว่ง ฉันมองตัวเองออกเป็นฉาก ๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าได้พบกันอีก คราวนี้จะแกะตัวเองออกจากพี่โยฮันยากขึ้น และบรรยากาศที่วังเวียงดีงามกว่าหลวงพระบางตั้งหลายเท่า
1
นึกถึงที่เพื่อนตอบฉันในเว็บบอร์ดว่า “มึงเพิ่งเริ่มนะ หนทางอีกไกลไปต่อเถอะ กูรออ่านบันทึกการเดินทาง” ฉันรู้ว่าตัดสินใจถูก รู้แน่แก่ใจทีเดียว แต่มันก็อดโหวงเหวงไม่ได้
สบายดี เวียงจันทร์
รถมาจอดที่ท่ารถเวียงจันทร์ตอนบ่ายสองกว่า ๆ ฉันลงหันซ้ายหันขวาว่าจะไปทางไหนดี ก็เห็นฝรั่งสองสาวกำลังต่อรองตุ๊ก ๆ กันอยู่ ก็เลยเข้าไปถามว่าจะไปไหนกัน สองสาวบอกว่าจะไป ​Mixy guest house ฉันขอไปด้วย เราเลยร่วมหารค่ารถคนละพันกีบ
ฉันเริ่มเชื่อเรื่องโชคชะตาอีกครั้ง เมื่อเรามาถึง Mixy แล้วได้รับแจ้งว่าเหลือห้องพักเพียงห้องเดียว ซึ่งมี 3 เตียงพอดี และทั้งสองสาวยินดีให้ฉันร่วมแชร์ด้วยคนละ $2 ต่อคืน อะไรกันนี่ ต้องมีใครเขียนบทชีวิตให้ฉันแน่ ๆ
2
เมแกน และเรแกน อายุยี่สิบต้น ๆ มาจากอเมริกา เป็นหญิงสาวที่แค่ยิ้มโลกก็สว่างขึ้นโดยพลัน ยิ้มทั้งหน้าและยิ้มทั้งตา มีความเป็นมิตรสูงมาก
เรานั่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันอยู่สักพัก ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปจัดการเรื่องเงินและเรื่องการเดินทางไปเวียดนามต่อจากนี้ แม้จะไม่รู้ว่าจะอยู่เวียงจันทร์อีกกี่วัน แต่เพื่อความอุ่นใจฉันควรมีแผนการเดินทางคร่าว ๆ ให้พร้อมในมือ
ที่เวียงจันทร์มีร้านเอเย่นขายตั๋วเดินทางอยู่หลายที่ ส่วนใหญ่อยู่ในย่านที่มี Guest house สำหรับนักเดินทางแบกเป้ โดยปกติร้านแบบนี้ก็จะพ่วงเปิด Internet Cafe ไปด้วย
ฉันแวะส่งข่าวถึงเบน ขอโทษขอโพยที่จากมาโดยไม่ได้ร่ำลา และฝากขอโทษไปยังพี่คริสด้วยที่ผิดนัดว่าจะไปกระโดดน้ำเล่นห่วงยางกัน ไม่มีอีเมล์จากแม็ตตี้ แต่มีอีเมล์รำพึงรำพันตัดพ้อของสเตฟานอันยาวเหยียด
ตอนนี้สเตฟานและ “เธอ” เดินทางไปถึงกัมพูชาแล้ว และเรื่องราวมันเริ่มซับซ้อนเมื่อมีผู้ร่วมวงใหม่มาเพิ่ม เป็นหญิงสาวชาวเยอรมันอีกคน สเตฟานตัดพ้อว่า ทั้ง “เธอ” และหญิงสาวชาวเยอรมันตัดสินใจวางแผนเที่ยวกันโดยไม่ถามความเห็นเขาเลย ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเป็นหมาที่ถูกจูงไปทางไหนก็ได้
ฉันอ่านแล้วก็ได้แต่เห็นใจ จึงตอบไปสั้น ๆ ว่า “Just leave her and the german girl alone. It’s time for you to travel by yourself”
3
เมื่อจัดการธุระบนอินเตอร์เน็ตเรียบร้อย ก็เดินมาที่โต๊ะขายตั๋วในร้าน ได้ความว่าจะมีรถนอนข้ามไปเวียดนามราคา $25 ตอนนั้นฉันมีเงินเหลือติดตัวอยู่เพียง $100 จึงยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อตั๋วถามน้องว่า ธนาคารที่มีตู้ ATM ใกล้ที่สุดอยู่ทางไหน น้องสาวชี้มือบอกทางให้ไปธนาคารพร้อมข้อมูลที่ว่า นี่คือตู้ ATM เดียวที่เวียงจันทร์มี
ฉันมีบัตรเครดิตของ AMEX ติดตัวมาแค่ใบเดียว ซึ่งเคลมว่ากดเงินสดได้ทั่วโลก ค่ะ!! ทั่วโลก ยกเว้นที่เวียงจันทร์!! เดินออกมาจากธนาคารแบบมึนงง และก็ตัดสินใจในทันทีเมื่อเห็นตึกสายการบินลาว
ฉันจองเที่ยวบินไป ​​​Hanoi และชำระด้วยบัตร AMEX ในราคา $102 วันที่ 9 มีนาคม เวลา 09.45 มองดูตั๋วในมือ ก็ยังสงสัยความฉับไวของตัวเอง และนึกขึ้นได้นี่มันจะเป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในขีวิตฉันเลย
ฉันเดินเลาะแม่น้ำโขงมาเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณน้ำพุ เห็นเด็กฝรั่งหนุ่มใส่แว่นท่าทางเนิร์ดๆ นั่งอยู่ มองมาสายตาแปลก ๆ จะว่าเป็นมิตรก็ยังสงสัย ตั้งใจจะมาถ่ายรูปน้ำพุที่ว่ากันว่าจะเปิดแสดงน้ำพุเต้นระบำเป็นรอบ ๆ แต่ก็เงียบสนิท
ฉันจึงเดินจากมาเพราะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สักพักถึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีแบบดีเลย์
มะรืนฉันจะได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก
มะรืนฉันจะได้ไปเหยียบประเทศเวียดนามเป็นครั้งแรก มะรืนฉันจะต้องใช้ภาษาอังกฤษอย่างเดียวเป็นครั้งแรก มะรืนฉันจะพูดภาษาไทยไม่ได้อีกแล้ว
มะรืนจะไม่มีพี่น้องชาวลาวที่แสนดีที่เข้าใจฉันเมื่อพูดภาษาไทยอีกแล้ว
โอยยย ทำไมใจเต้นแรงแบบนี้ ไม่อยากไปเลย อยากอยู่ที่ลาวอีกสักพัก ทำยังไงดี
ค่ำคืนที่เวียงจันทร์ทำให้ฉันลืมเรื่องที่หนีพี่โยฮันไปได้สนิท เมื่อเรแกนถามว่า มีแพลนอะไรสำหรับคืนนี้รึยัง เธอนัดเพื่อนไว้อีกสองสามคนที่เพิ่งเจอกันวันนี้ ว่าจะไปเที่ยวดิสโก้เธคกัน ฉันตกลงทันที อยากรู้ว่าดิสโก้เธคที่ลาวจะเป็นยังไง
หลังจากที่เดินเลือกมาตั้งแต่ “สามล้อ Pub” “​Jazz Club” และชื่ออะไรที่อ่านไม่ออกอีกสองสามที่ ก็มาตกลงปลงใจที่ “Cheese Cafe” ที่อ่านชื่อแล้วไม่น่ามันส์ แต่ปรากฎว่ามันดีมาก
ก่อนเข้าเราเห็นป้ายประกาศเป็นภาษาอังกฤษประมาณว่า “นักท่องเที่ยวเอ๋ย พวกเธอห้ามกลับ guest house หลังเวลา 23.30 นะจ๊ะ นี่เป็นกฎของประเทศลาวจ้ะ” เราอ่านแล้วก็ลืม ๆ ไป เพราะบรรยากาศสนุกสุดเหวี่ยง
วงขนาดสี่ห้าคนบรรเลงเพลงสากลทำนองคึกคักสนั่นหู เพลงแล้วเพลงเล่าต่อเนื่องกันแบบไม่พัก ฉัน เรแกนและทุกคนที่นั่นก็เต้นกันอย่างไม่พักเช่นกัน
พอถึงเวลา 23.30 นักดนตรีก็เลิกเล่น แต่ผู้คนยังคงปักหลัก แถมยังมีทยอยเข้ามาเพิ่มไม่หยุดทั้งคนลาวและฝรั่ง เสียงเพลงดังขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่จากวงแต่ถูกเปิดจากแผ่นเสียง ฉันและเรแกนเต้นต่ออีกสองเพลง แล้วก็จูงมือกันกลับ ถึงที่พักตี 1 พอดีเป๊ะ หลับเป็นตาย
ขี้เกียจรออ่านเป็นตอน ๆ มี E-Book นะคะ👇
โฆษณา