29 ส.ค. 2021 เวลา 01:00 • ปรัชญา
"วิมุตติญานทัศนะ"
"... เมื่อใดก็ตามที่เราอบรมวิปัสสนากรรมฐาน
แล้วเกิดการเห็นตามความเป็นจริงตรงนี้
การมองโลก มองทุกอย่างของเรามันจะเปลี่ยนไป
1
ทีพระพุทธองค์ตรัสว่า
รูปแตกดับประดุจต่อมน้ำ มันเป็นอย่างไร
มองมันอย่างไร มันก็ไม่เป็นต่อมน้ำสักทีนะ
มันก็เป็นเนื้อเป็นหนัง
ก็เรายังเห็นแบบสมมุติอยู่ไง
1
แต่พอเราอยู่ในวิปัสสนาญาน
รูปมันมีแต่สิ่งที่แตกดับ
แบบต่อมน้ำเลย ยุบยับ ยุบยับ
1
ไม่ว่าญานจะหยั่งลงในเนื้อ ในเอ็น ในกระดูก
ในส่วนในของกาย ส่วนใดของรูป
มันมีแต่สิ่งที่ยุบยับ ยุบยับ ยุบยับ
แตกดับ ประดุจต่อมน้ำทั้งหมด
เวทนาแตกดับประดุจฟองน้ำ
สัญญาแตกดับประดัจพยับแดด
มันมีแต่สิ่งที่แตกดับของรูปนาม ขันธ์ ๕
ลึกซึ้งไหม วิปัสสนาญาน
มันไม่ใช่ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แค่นั้น
มันลึกซึ้งกว่านั้นมาก
ไม่งั้นถ้าเราแค่รู้สึกว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เราพ้นทุกข์กันไปนานแล้ว
ไม่ติดแง็กกันอยู่แบบนี้หรอก
มันลึกซึ้งกว่านั้นมาก
วิปัสสนาญานจริง ๆ
ซึ่งพระพุทธองค์จัดไว้ใน
หลังจากเจริญอริยมรรคมีองค์แปดแล้ว
จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า "สัมมาญาน" ผล ขึ้นมา
คือการรู้เห็นตามความเป็นจริง
สิ่งนี้ประเสริฐอย่างไร ?
เพราะว่าเมื่อเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง
สภาวะมันจะเป็นประดุจหยดน้ำบนใบบัวเลย
รู้จักหยดน้ำบนใบบัวไหม ?
เวลาหยดน้ำ มันหยดลงใบบัวเป็นยังไง ?
มันกลิ้งออก
มันไม่มีการยึดติด
มันไม่ซึมซาบ
รูปนาม ขันธ์ ๕ ก็เช่นกัน
มันมีแต่การแยกธาตุ แยกขันธ์
แตกดับของใครของมัน
เหมือนน้ำกับน้ำมันที่มันไม่ระคนกัน
มันมีแต่สภาวะที่แตกดับของรูปนาม ขันธ์ ๕
ท่ามกลางความว่างของเนื้อธรรมชาติ
ในสภาวะของวิปัสสนาญานตรงนี้
มันไม่มีอุปาทาน
เพราะว่า แม้กระทั่งเมฆหมอกแห่งอวิชชา
มันก็หลุด เพิกออกไป
วิญญานขันธ์ก็แตกดับออกไป
จากปกติมันยังมีการยึดวิญญานขันธ์อยู่
เรายังรู้สึกว่าตัวรู้ เป็นตัวเราอยู่
ต่อให้เราท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง
ว่าจิตไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
แต่เมื่ออาการยึดมันยังมีอยู่
มันก็ยังมีความเป็นตัวเราอยู่
ที่เราคิด มันเป็นสัญญา
มันไม่ใช่การรู้แจ้ง
จะรู้แจ้งได้มันต้องเกิดดวงตาเห็นธรรม
มันหลุดออกไปแตกดับต่อหน้าต่อตา
ที่เรียกว่าญานเห็นจิต
1
หลวงปู่ดุลย์ท่านบอกว่า
"จงทำญานให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป"
มันเห็นการแตกดับของวิญญานขันธ์แบบนั้น
มันเห็นด้วยญานในวิปัสสนาญาน
เหมือนสิ่งที่มันเล็ก เป็นอนุภาคอะไรต่าง ๆ
ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น
แต่มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทำกล้องจุลทรรศน์
เข้าไปก็สามาถเห็นสิ่งที่เล็กที่สุดได้
เรื่องของญานมันลึกซึ้งกว่านั้นมาก
มันสามารถเห็นได้ แต่มันไม่ใช่เป็นนิมิต
มันเป็นเรื่องของการเห็น
หรือรู้สึกตามสภาวะตามความเป็นจริง
ซึ่งตรงนี้ มันต้องแยกให้ออก
ระหว่างการเห็นแบบจิตที่ยังเป็นสมมติอยู่
แต่เห็นแบบความเป็นทิพย์นะ
ความเป็นทิพย์ เค้าก็เห็นได้
แต่มันยังเห็นแบบสมมติอยู่
กับเห็นด้วยการรู้เห็นตามความเป็นจริง
ที่เรียกว่า ญานทัศนะ มันต่างกัน
แต่หลักง่าย ๆ เลย
การรู้เห็นด้วยญานทัศนะจะปราศจากการยึดติด
ไม่อะไรกับอะไรเลย
เห็นสักแต่ว่าเห็น
ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน
ทราบสักแต่ว่าทราบ
รู้สักแต่ว่ารู้
ในขณะที่ดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาน
กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท ยังมีดำเนินอยู่
แต่ว่ามันเพิกออกไปแล้ว ไม่ใช่เราแล้ว
มีจิตยังเกิดดับได้อยู่
วิญญานขันธ์ยังเกิดดับอยู่
แต่เมื่อใดที่สามารถสลัดคืนได้
เข้าสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
เมฆหมอกแห่งอวิชชา จะสลายตัวไป
ภาษาพระท่านเรียกว่า วิมุตติญานทัศนะ
การรู้เห็นการหลุดพ้น
ปกติเราต้องใช้วิญญานขันธ์ในการรับรู้ ใช่ไหม ?
จิตเกิดที่ตา เกิดการเห็น
เกิดที่หู เกิดการได้ยิน
เกิดที่จมูก เกิดการได้กลิ่น
เกิดที่ลิ้น เกิดการลิ้มรส
เกิดที่กาย เกิดการสัมผัสรับรู้ทางกายขึ้นมา
ต้องใช้วิญญานขันธ์เป็นเครื่องมือ
ในการรับรู้โลกใบนี้
แล้วถ้าวิญญานขันธ์มันดับไปล่ะ
แล้วจะเป็นยังไง ?
พิสูจน์ด้วยตัวเอง
มันจะเป็นยังไง
:
พระพุทธองค์จะพูดถึงสภาวะที่เรียกว่า
วิญญานขันธ์ตั้งอยู่ไม่ได้
ต้องสลายสิ่งนี้
เพราะว่ามันคือก้อนแห่งอัตตาตัวตน
สภาวะที่วิญญานขันธ์ตั้งอยู่ไม่ได้
ถึงจะเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน
ครั้งนึง มีพราหมณ์ได้ทูลถามว่านิพพานเป็นอย่างไร ?
มีที่อยู่ ที่ตั้งไหม ?
พระพุทธเจ้าอุปมาให้ฟังว่า
เปรียบเหมือนมีไฟอยู่ จุดไฟขึ้นมา
แล้วไฟมันดับ พรึ่บ ... เข้าใจไหม ?
โลกธาตุทั้งหมดมันก็คือ จิต นั่นแหละ
ก้อนอวิชชาทั้งก้อน มันคือตัว
ทุกอย่างเกิดที่ใจ แล้วก็จบที่ใจ
ถ้าจะดับ ที่เรียกว่าดับ นิพพาน
มันก็คือการดับสิ่งนี้แหละ ก้อนอวิชชา
สลายวิญญานขันธ์ทั้งหมด
ตัวตนมันอยู่ที่นั่นทั้งหมดเลย
มิติ ภพภูมิ มันอยู่ภายในจิตตรงนั้นทั้งหมดเลย
เมื่อสิ่งนี้ถูกสลายตัวไป
มันเหมือนไฟที่ดับปุ๊บ
จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
โดยธรรมชาติเลย
เข้าถึงเนื้อของความบริสุทธิ์
เพราะฉะนั้น เราจะนิพพาน เอาอะไรไปได้บ้างไหม ?
ขนบ้าน เข้าไปได้ไหม ?
เดี๋ยวกลัวหิวข้าว
เอาทรัพย์สมบัติได้ไหม ?
แม้กระทั่ง บุญบาป ยังเอาไปไม่ได้เลย
สิ่งนี้เหนือบุญเหนือบาป
พ้นดี พ้นชั่ว
คือความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
ซึ่งมีอยู่แล้วตลอดกาล
ไม่ต้องไปสร้างสิ่งอะไรเพิ่ม
แต่จะเข้าถึงได้ ต้องสละออก
การสละออกก็ไม่ได้หมายความว่า
ต้องไปขายบ้าน ขายรถ
ไปนั่งเหมือนฤาษีชีเปลือยอยู่
อย่างนี้จะสละออกไหม ?
แต่จิตยังยึดอยู่ เป็นยังไง ?
มันสละที่ใจ
ก็คือต้องสามารถสลายอัตตาตัวตน สิ่งนี้ได้
จะทำได้ต้องอบรมสติปัฏฐาน 4
จนเกิดจิตตั้งมั่นก่อน
ต้องรวมมาเป็นตัวรู้ก่อน
จากจิตที่มันส่งออกเนี่ย
มันจะไปสลายได้ยังไงเล่า
พอจิตตั้งมั่นแล้ว เปลื้องจิตออกได้
เห็นการแตกดับของวิญญานขันธ์ได้
จึงจะสามารถเพิกออก สลัดคืนได้
แล้วจึงจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
ภาษาพระท่านเรียกว่า วิมุตติญานทัศนะ
การรับรู้ในระดับโลกุตตระ
ไม่ต้องใช้วิญญานขันธ์
รู้สักแต่ว่ารู้
การรับรู้ตรงนี้
จะไม่มีการยึดติดกับสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น
สภาวะประดุจหยดน้ำบนใบบัว
แต่ผู้ที่ดับรอบเท่านั้น
ถึงจะอยู่กับสภาวะนี้ได้โดยสมบูรณ์
ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า
พระอรหันต์เท่านั้นที่เป็นผู้ที่มีสติโดยสมบูรณ์
อย่างเรา ๆ ก็อาจจะผลุบ ๆ โผล่ ๆ
แต่แน่นอนว่ามันผลุบมากกว่าโผล่แน่นอน
มันได้เข้าบ้าง หลุดบ้าง มันก็ยังดี ได้แตะ ๆ
แค่แตะครั้งหนึ่ง
มันเป็นความประเสริฐที่สุดเลย
เหมือนเราได้เข้าถึง สิ่งที่ไม่เคยเข้าถึง
แต่ถ้าเราได้มีโอกาสเข้าถึงสักครั้งหนึ่ง
มันมีทางสว่างแล้ว
เราจะรู้ร่องแล้ว
ว่าเราจะต้องดำเนินต่อไปอย่างไร
ความสำคัญของการเข้าถึงเนื้อธรรมที่บริสุทธิ์
มันจะมีร่อง
แม้เพียงเข้าถึง ได้แตะเพียงครั้งเดียว
ประเสริฐกว่าการใช้ชีวิตมากี่ภพชาติเลย
เทียบกันไม่ได้เลย
เพราะว่ามันจะมีร่องแล้ว
จากนั้นมันจะดำเนินไปสู่วิถีตรงนั้น
ที่พาฝึกในทุก ๆ วัน
ก็เพื่อเข้าถึงภาวะตรงนี้
แล้วค่อย ๆ ชำระกันไป
ท่านทั้งหลายว่ามันสำคัญไหม ?
นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ที่พวกเราควรฝึก เพื่อเข้าถึงอยู่เนือง ๆ ... "
.
ธรรมบรรยาย โดย
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา