12 ก.ย. 2021 เวลา 12:39 • ประวัติศาสตร์
• คดีฆาตกรรมเด็กหญิงอันโหดเหี้ยมสยองขวัญในยุควิกตอเรีย
4
ในภาษาอังกฤษ จะมีคำแสลงแง่ลบวลีหนึ่งที่พูดติดปากกันว่า “Sweet Fanny Adams” ซึ่งไม่ได้หมายถึงสาวน้อยผู้แสนอ่อนหวานชื่อว่า แฟนนี อดัมส์ แต่อย่างใด วลีนี้กลับหมายถึง “nothing-ไม่มีอะไรเลย” หรือหมายถึงบางสิ่งที่ไร้ค่า ซึ่งวลีนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยวิกตอเรียอังกฤษ
แต่เบื้องหลังวลีนี้มาจากชื่อของเด็กหญิงผู้ไร้เดียงสานามว่า แฟนนี อดัมส์ ที่ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมจนกลายเป็นคดีสยองขวัญสั่นสะเทือนสังคมในยุคนั้น ซึ่งคดีดังในยุควิกตอเรียที่คนส่วนใหญ่รู้จักจะเป็นคดี Jack the Ripper เสียมากกว่า
ประวัติศาสตร์แห่งเหตุการณ์ฆาตกรรมที่มีที่มาจากเบื้องหลังวลีนี้เป็นเช่นไร เราลองมาอ่านกัน
ภาพการลักพาตัวและการฆาตกรรมแฟนนี อดัมส์ ที่วาดลงใน The Police Gazette (Image: History Answers)
• เหตุเกิดที่หมู่บ้านอัลตันในเขตแฮมป์ไชร์
1
ในวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม ปี 1867 ณ หมู่บ้านอัลตัน (Alton) ที่ตั้งอยู่ในเขตแฮมป์ไชร์ (Hampshire) อันเคยเป็นหมู่บ้านชนบทเล็ก ๆ ที่เงียบสงบที่อยู่ทางคอนใต้ของอังกฤษในยุควิกตอเรีย ก็เกิดเหตุที่ทำให้ความสงบสุขที่เคยมีมาเปลี่ยนไป เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการกล่าวขวัญไปทั่วประเทศ เพราะเด็กผู้หญิงวัย 8 ขวบชื่อว่า แฟนนี อดัมส์ ถูกลักพาตัวแล้วถูกนำไปฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมโดยการตัดแขนขาแยกร่าง ซึ่งสร้างความรู้สึกขนพองสยองเกล้าขยะแขยงให้แก่คนทั้งชาติ ที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุเช่นนี้กับเด็กตัวน้อยมาก่อน
7
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นมีอยู่ว่า เด็กผู้หญิงตัวน้อย 3 คนออกจากบ้านไปเล่นด้วยกัน ได้แก่ แฟนนี ลิซซี (Lizzie) น้องสาวอายุ 5 ขวบของแฟนนี และมินนี วอร์เนอร์ (Minnie Warner) เพื่อนสนิทของแฟนนีซึ่งมีอายุ 8 ขวบเท่ากัน แฟนนีเป็นเด็กที่มีนิสัยร่าเริงแจ่มใสมากคนหนึ่ง
1
ครอบครัวของแฟนนีทำอาชีพเป็นแรงงานทางการเกษตรและอาศัยอยู่กันอย่างเรียบง่ายในบ้านแบบกระท่อมเล็ก ๆ เธอมีพี่น้องทั้งหมด 5 คน วันที่เกิดเหตุนั้นเป็นเวลาเช้าที่อากาศร้อนอบอ้าวและชื้น พ่อของแฟนนีวางแผนจะออกไปเล่นคริกเก็ต ส่วนแม่วุ่นอยู่กับการดูแลน้อง ๆ ของแฟนนีและทำงานบ้าน เมื่อเด็ก ๆ ขอแม่ออกไปเล่นข้างนอกแม่ก็ยินยอมแต่โดยดีโดยไม่มีเหตุอะไรให้ต้องกังวลใจ เพราะในช่วงชีวิตของผู้คนที่นี่ไม่เคยมีเหตุร้ายเกิดขึ้น
เด็กหญิงทั้งสามออกเดินไปเที่ยวในบริเวณที่เรียกว่า Flood Meadow (ทุ่งหญ้าที่จะมีน้ำท่วมขังเวลาฝนตกหนัก) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านและเป็นสถานที่ที่เด็ก ๆ เดินไปเล่นอยู่บ่อย ๆ ขณะที่กำลังเดินไปก็มีชายคนหนึ่งเข้ามาหาพวกเธอ ชายคนนี้ชื่อว่า เฟรเดอริก เบกเกอร์ (Frederick Baker) อายุ 29 ปี ทำงานเป็นเสมียนให้กับนักกฎหมาย และเพิ่งย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ได้ประมาณ 1 ปี เด็ก ๆ เคยพบเขาในโบสถ์แล้ว
พอเบกเกอร์เข้ามาหาเด็ก ๆ พวกเธอรู้สึกสงสัยว่าเขาน่าจะเมาและดื่มมาอย่างหนัก ถึงแม้เด็ก ๆ จะรู้สึกระแวดระวังชายผู้นี้แต่ก็คิดว่าเขาเป็นชายที่เชื่อถือได้แถมยังแต่งตัวดีจึงไม่รู้สึกกลัวเขา แต่ที่เด็ก ๆ ไม่รู้คือเบกเกอร์มีรสนิยมทางเพศที่ชอบเด็ก และแฟนนีเป็นเด็กหน้าตาดีมาก และดูตัวสูงและโตกว่าอายุจริง ดังนั้นแฟนนีจึงเป็นที่ต้องตาต้องใจเบกเกอร์มากจนเขาเข้ามาประชิดตัวพวกเด็ก ๆ
เบกเกอร์เอาเงินมาล่อ โดยเสนอว่าจะให้เงินแฟนนีเป็นเงิน 1 เหรียญจำนวนครึ่งเพนนีเพื่อไปกับเขาที่สวนปลูกต้นฮ็อพใกล้ ๆ นี้ (ต้นฮ็อพถูกนำมาใช้เป็นสารที่เติมเข้าไปในการผลิตเบียร์) ส่วนเด็กอีกสองคนเขาจะให้เงินอีกครึ่งเพนนี จำนวน 3 เหรียญ เพื่อเอาไปซื้อขนมและให้พากันไปเล่นที่อื่น ด้วยความเป็นเด็กเมื่อมีคนให้เงินก็เอา แต่พอได้เงินแล้วแฟนนีก็ไม่ยอมไปไกลจากน้องกับเพื่อน แล้วเด็ก ๆ ก็พากันไปเล่นกันอย่างสนุกสนานที่ Flood Meadow ส่วนชายที่ชื่อเบกเกอร์ก็ยังมาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ไปเก็บลูกแบล็คเบอร์รีมาให้เด็ก ๆ
พอเล่นไปสักชั่วโมงลิซซีกับมินนีก็เริ่มเหนื่อย ทั้งร้อนและหิว จึงตัดสินใจเดินกลับบ้าน ในขณะที่เด็ก ๆ ตัดสินใจจะกลับบ้าน เบกเกอร์ก็มาขวางเด็ก ๆ ไว้แล้วมาขอให้แฟนนีไปเป็นเพื่อนกับเขาที่หมู่บ้านข้างกันชื่อว่าหมู่บ้านเชลเดน (Shalden) พอแฟนนีปฏิเสธเขาจึงคว้าตัวแฟนนีไว้และลากเธอเข้าไปในสวนปลูกต้นฮ็อพที่อยู่ใกล้ ๆ แฟนนีกรีดร้องและพยายามขัดขืน ส่วนเด็กอีก 2 คนตกใจกลัวจึงวิ่งหนีสุดชีวิต ตอนที่เกิดเหตุนี้ตรงกับเวลาบ่ายโมงครึ่ง
2
เมื่อวิ่งไปถึงบ้านแล้ว เด็ก ๆ ไปบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่ของมินนี แต่แม่ของมินนีไม่เชื่อจึงไล่เด็กทั้งสองให้ออกไปเล่นข้างนอกต่ออีก เด็ก ๆ จึงเล่นกันต่อ พอเวลาผ่านไปลิซซีก็เดินกลับบ้าน เพื่อนบ้านชื่อว่า มิสซิสการ์ดเนอร์ (Mrs. Gardner) พอไม่เห็นแฟนนีจึงถามว่าแฟนนีหายไปไหน ลิซซีจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอีกครั้ง ซึ่งพอได้ฟังเรื่องนี้จึงมิสซิสการ์ดเนอร์ตื่นตกใจมากและไปหาแม่ของแฟนนี จนเวลา 5 โมงเย็นทั้งสองถึงได้ออกไปตามหาตัวแฟนนีที่หายไป
3
(แต่รายละเอียดตรงนี้ข้อมูลระบุแตกต่างกันไป บ้างก็ว่าพอเบกเกอร์อุ้มแฟนนีหายตัวไปมินนีกับลิซซีก็ยังเล่นกันต่อ พอเวลา 5 โมงเย็นจึงพากันกลับบ้าน แล้วไปเจอกับมิสซิสการ์ดเนอร์ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวอดัมส์ เธอจึงถามว่าแล้วแฟนนีหายไปไหน พอเด็ก ๆ เล่าว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงรู้สึกตกใจ จึงไปกับมินนีเพื่อไปตามหาตัวแฟนนีกับเบกเกอร์)
1
ภาพถ่ายของแฟนนีตอนที่มีอายุได้ 7 ขวบ (Image: History Answers)
• แฟนนีหายตัวไปและถูกพบเป็นศพ
พอเดินไปถึงบริเวณ Flood Meadow ผู้หญิงทั้งสองคนก็ได้ไปเจอกับเบกเกอร์เข้าระหว่างทาง เขาเดินกลับหมู่บ้านโดยเดินกลับมาคนเดียว หญิงทั้งสองสั่งให้เขาบอกมาเดี๋ยวนี้ว่าแฟนนีอยู่ไหน เขาทำอะไรกับแฟนนี และทำไมถึงเอาเงินให้กับเด็ก ๆ แต่เบกเกอร์ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง จนมิสซิสการ์ดเนอร์ขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ เขาจึงพูดจาเยาะเย้ยหญิงทั้งสอง เขาอ้างว่าเขาไม่มีความจำเป็นต้องซ่อนอะไรอยู่แล้ว เขาได้ให้เงินกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านเป็นประจำอยู่แล้วเพื่อให้ไปซื้อขนม และเขาเป็นคนที่เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม พร้อมกับไล่พวกเธอให้ไปไหนก็ไป จากนั้นเขาก็เดินหนีไปหน้าตาเฉย ด้วยความน่าเชื่อถือของเบกเกอร์ พอได้ยินดังนั้นหญิงทั้งสองจึงกลับบ้านไปและคิดว่าแฟนนีคงเล่นอยู่ที่ไหนสักที่
5
แต่พอถึงเวลามื้ออาหารเย็นจน 6 โมงเย็นแล้วแฟนนีก็ยังไม่กลับบ้าน แม่ของแฟนนีกับคนในหมู่บ้านจึงพากันออกไปค้นหาตัวเธอ ไม่มีใครพบตัวเธอในบริเวณ Flood Meadow ที่เด็ก ๆ ไปเล่นหรือเส้นทางที่ไปยังหมู่บ้านข้าง ๆ กันเลย จนกระทั่งชายที่ชื่อโทมัส เกตส์ (Thomas Gates) คนงานในหมู่บ้านเข้าไปดูแลต้นฮ็อพในสวนจึงได้พบกับศพแฟนนีในนั้น
2
สิ่งที่ชายชื่อว่าโทมัส เกตส์ ได้เจอนั้นเป็นภาพที่น่าสยดสยองมาก ตรงทางเข้ามีแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยเลือด พอเข้าในสวนนั้นเขาก็พบศีรษะของแฟนนีถูกตัดออกมาแล้วเสียบกับแท่งไม้สองแท่งที่หัวถูกโยนเข้าไปติดในพุ่มไม้ หูทั้งสองข้างของเธอถูกตัดออก แล้วบนใบหน้าของเธอมีรอยกรีดหรือตัดจากปากไปจนถึงส่วนขมับตรงหูอีกด้วย
แฟนนีไม่ได้ถูกตัดหัวอย่างเดียว แต่ร่างของเธอและอวัยวะภายในต่าง ๆ ถูกตัดแยกเป็นชิ้นส่วนแล้วถูกโยนไปทั่วบริเวณสวนนั้น แขนขาของเธอถูกตัดออกจากตัวทั้งหมด ตรงส่วนอกด้านซ้ายมีรอยผ่า 3 รอย แขนข้างซ้ายถูกผ่าลึกเข้าไปและกล้ามเนื้อถูกตัด เท้าถูกตัดออกจากขา เนื้อส่วนอกและเชิงกรานถูกเฉือนออก ตับและหัวใจถูกตัดออก ช่องคลอดของเธอหายไป และตาก็ถูกควักออก สภาพศพของเธอนั้นถูกกระทำอย่างสยดสยองมาก
5
เมื่อแม่ของแฟนนีมาเห็นศพลูกสาวตัวน้อย เธอช็อกและเป็นลมล้มพับไป จากนั้นจึงมีคนไปตามตัวพ่อของแฟนนีที่กำลังเล่นคริกเก็ตอยู่ พอรู้ข่าว พ่อของแฟนนีรู้สึกว่าโลกถล่มทลายลงกับตา เขารีบเร่งกลับบ้านเพื่อไปล่าตามหาตัวเบกเกอร์ด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่เพื่อนบ้านพากันมาห้ามไว้และเอาปืนออกไปจากตัวเขา แล้วกันให้เขาอยู่แต่ในบ้านไม่ต้องออกไปไหนโดยมีคนเฝ้าอยู่ด้วยทั้งคืน
1
ในวันต่อมาคนจำนวนมากร่วมหลายร้อยคนก็ไปตามเก็บและตามหาชิ้นส่วนต่าง ๆ ของร่างแฟนนีที่ส่วนแห่งนั้นอีกครั้ง โดยเก็บมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเก็บได้ มีคนพบตาของเธอที่ถูกควักออกตรงแม่น้ำที่อยู่ใกล้กับสวน ชิ้นส่วนเท้าของเธอข้างหนึ่งยังติดกับรองเท้า ชิ้นส่วนมือข้างหนึ่งยังกำเหรียญที่ได้มา ลำไส้ก็ถูกควักออกมาจากตัว แต่ชิ้นส่วนบางชิ้นก็หายไปหาชิ้นส่วนไม่พบ เสื้อผ้าของเธอถูกฉีกทึ้งกระจายไปทั่วก็ถูกเก็บรวบรวมมา
2
ชิ้นส่วนที่เก็บได้ทั้งหมดนำมารวบรวมมาเก็บไว้ที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านที่เรียกว่า Ye Olde Leathern Bottle เพื่อให้หมอเย็บรวมกันต่อไป แต่ไม่มีใครพบอาวุธที่ใช้ลงมือฆ่าแฟนนีในบริเวณนั้น แต่มีคนพบหินที่มีเศษผมเศษเนื้อติดอยู่และนำมามอบให้ตำรวจเพราะอาจตะเป็นอาวุธที่ใช้แยกร่างของเธอก็เป็นได้
ในขณะเดียวกัน ตำรวจก็ไปตามจับตัวเบกเกอร์ ซึ่งเขายังคงไปทำงานตามปกติที่สำนักงานกฎหมายในอัลตัน พอพบตัวเขาปฏิเสธว่าบริสุทธิ์และขัดขืนการจับกุมตัว แต่เขาเป็นผู้ต้องสงสัยเพียงคนเดียว เขาจึงถูกจับเป็นผู้ต้องสงสัยว่าก่อเหตุฆาตกรรม ชาวบ้านต่างโกรธแค้นตามมาที่สำนักงานด้วยเพื่อจะตั้งศาลเตี้ยเพื่อฆ่าเขาเป็นการลงโทษกับความโหดเหี้ยมที่ทำลงไป จนหัวหน้าตำรวจต้องแอบพาตัวเบกเกอร์ออกไปทางประตูหลังเพื่อพาไปควบคุมตัวที่สถานีตำรวจ
1
พอไปถึงสถานีตำรวจ จึงค้นตัวเขาและพบว่าเขามีมีดเล็ก ๆ อยู่ 2 อัน แต่มีดไม่มีรอยเปรอะเปื้อนใด ๆ และตรงข้อมือของเสื้อแขนยาวทั้งสองข้างของเขาพบหยดเลือดเล็ก ๆ ติดอยู่เล็กน้อย ส่วนขากางเกงของเขาเปียกโชกซึ่งเป็นไปได้ว่าทำให้เปียกเพื่อกลบรอยเลือดออก แต่หลักฐาน 2 ชิ้นนี้ก็ยังไม่ใช่หลักฐานที่แน่นหนักมากพอว่าเขาก่อเหตุสังหารเด็กน้อยอย่างแฟนนี เมื่อสอบสวนรอยเลือดที่แขนเสื้อเขาตอบหน้าตายว่าเขา “ไม่เห็นรอยอะไรที่มือของเขาที่จะเอามาอธิบายรอยเลือดเล็ก ๆ ที่แขนเสื้อได้”
1
โฉมหน้าของมือสังหารแฟนนี (Image: Find A Grave)
• การไต่สวนและดำเนินคดี
หลังจากถูกจับกุมและตั้งข้อหาแล้ว ในชั้นแรกเบกเกอร์ถูกสอบปากคำที่ Duke’s Head Inn ในตอนเย็นวันอังคารที่ 27 สิงหาคม มีพยานที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำ และมีการนำหลักฐานมาแสดงด้วยนั่นคือชิ้นส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแฟนนี ส่วนเบกเกอร์เมื่อถูกถามว่าเขามีอะไรจะพูดไหมสิ่งเดียวที่เขาตอบมาก็คือ “ผมเป็นผู้บริสุทธิ์” การไต่สวนครั้งนี้สรุปว่าเขามีส่วนรับผิดชอบต่อการฆาตกรรมแฟนนี เบกเกอร์ถูกคุมตัวไว้ที่อัลตันราว 1 อาทิตย์ ซึ่งตอนอยู่ในที่คุมขังในเมืองอัลตันนั้นเขามีอาการกินนอนไม่ค่อยได้และมีอาการตัวกระตุก
5
ในเวลาต่อมา มีการพบหลักฐานสำคัญ 2 ชิ้น ชิ้นแรกคือบันทึกประจำวันที่พบในสำนักงานของเขา ซึ่งเขียนไว้ว่าวันที่ 24 สิงหาคมนั้นเขาได้ “ฆ่าเด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่ง ซึ่งเป็นไปได้ดีและร้อนมาก” หลักฐานชิ้นที่ 2 คือพยานซึ่งเป็นเด็กชายคนหนึ่งให้ข้อมูลว่าเขาเห็นเบกเกอร์ออกจากสวนในวันที่แฟนนีถูกฆ่าตอนเวลาบ่าย 2 โมง แถมยังเห็นว่ามือและตัวของเบกเกอร์เต็มไปด้วยเลือด จากนั้นก็เห็นเขาหยุดล้างตัวในแม่น้ำใกล้ ๆ เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดตัวเช็ดเลือดอย่างใจเย็น และเห็นเขาเก็บมีดและวัตถุอื่นไว้ในกระเป๋าเสื้อ
2
จากหลักฐานชิ้นแรกเห็นได้ชัดว่าชาวอังกฤษเป็นชนชาติที่ชอบบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นชีวิตจิตใจ แม้กระทั่งบันทึกที่เขียนไว้เป็นหลักฐานที่จะสามารถมัดตัวเองว่ามีความผิดได้ก็ตาม
1
จากนั้น มีการนำตัวเขาไปดำเนินคดีต่อ เขาถูกส่งไปที่เรือนจำที่เมืองวินเชสเตอร์ (Winchester) ช่วงเดือนตุลาคม ที่เมืองนี้มีประชาชนที่โกรธแค้นรอคอยการมาถึงของเขาอยู่แล้ว ตำรวจต้องกันตัวไว้ไม่ให้ฝูงชนที่ตะโกนอย่างโกรธแค้นยื้อยุดฉุกกระชากตัวเขาไปได้ แต่พอมาอยู่ที่เรือนจำในเมืองวินเชสเตอร์เขากลับมีอาการกินอิ่มนอนหลับ พูดจาปราศรัยกับผู้คุมเป็นต่อยหอยว่าสงสัยว่าใครคือฆาตกร เขาหวังว่าฆาตกรจะถูกจับ แล้วยืนยันว่าตัวเขานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์
1
ตำรวจได้ส่งสิ่งของทุกอย่างรวมถึงมีดและเสื้อผ้าของเบกเกอร์เพื่อตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ที่โรงพยาบาลในกรุงลอนดอน ซึ่งผลพบว่าที่มีดของเขานั้นมีหลักฐานว่ามีเลือดติดอยู่และเลือดนั้นก็เป็นของมนุษย์ ส่วนเสื้อผ้าของเขาในวันที่ถูกจับตัวนั้นก็พบคราบเลือดติดอยู่เช่นเดียวกัน แต่ไม่พบหลักฐานว่ามีการข่มขืนเกิดขึ้น ซึ่งมีการลงความเห็นว่าเขาสามารถตัดชิ้นส่วนแยกร่างของแฟนนีได้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แต่อาวุธที่ใช้ตัดแยกร่างนั้นน่าจะเป็นวัตถุที่มีขนาดใหญ่มากกว่ามีดใบเล็ก ๆ
2
เบกเกอร์ถูกนำตัวไปทำการไต่สวนในข้อหาฆาตกรรมแฟนนีเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ตลอดเวลาที่ถูกไต่สวนเบกเกอร์ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ฆ่าเด็กคนนี้ได้อย่างสงบเยือกเย็นและคุมสติไว้ได้เป็นอย่างดี ฝ่ายเบกเกอร์ให้การคัดค้านโดยใช้เรื่องปัญหาทางจิตมาลบล้าง โดยอ้างว่าเบกเกอร์อาจไม่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่กระทำลงไป เพราะเบกเกอร์เป็นคนสติวิปลาส แถมในวัยเด็กเขาและคนในครอบครัวได้ผ่านประสบการณ์ทนทุกข์กับพ่อที่ระเบิดอารมณ์แล้วใช้ความรุนแรงลงไม้ลงมือกับเขาและคนในบ้าน ลูกพี่ลูกน้องของเขาก็รักษาตัวในโรงพยาบาลบ้า ตัวเขาเองเคยพยายามฆ่าตัวตายตอนอกหัก แต่ข้อแก้ตัวนี้ถูกปฏิเสธและตีตกไปโดยคณะลูกขุน
2
คณะลูกขุนใช้เวลาเพียง 15 นาทีและตัดสินว่าเขามีความผิดจริง ดังนั้นผู้พิพากษาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตัดสินประหารชีวิตเบกเกอร์
3
เป็นอันว่าเบกเกอร์ถูกลงโทษด้วยการตัดสินให้ถูกแขวนคอในวันคริสต์มาสอีฟ คือวันที่ 24 ธันวาคม ปี 1867 ที่หน้าเรือนจำวินเชสเตอร์ต่อหน้าฝูงชนที่ที่มาเป็นสักขีพยานนับ 5,000 คน เพราะคดีนี้ดังมากจนมีคนตามมาดู โดยเขาได้รับเกียรติเป็นคนสุดท้ายที่ถูกแขวนคอต่อหน้าประชาชนในที่สาธารณะที่เมืองวินเชสเตอร์
2
ก่อนถูกประหาร เบกเกอร์เขียนจดหมายถึงครอบครัวของแฟนนีเพื่อแสดงความเสียใจกับสิ่งที่เขาทำลงไป และขอให้ครอบครัวของเธอยกโทษให้แก่เขา
ลิซซีกับมินนีถ่ายรูปกับหลุมฝังศพของแฟนนี (Image: History Answers)
• ส่งท้าย
เศษซากของแฟนนีถูกฝังไว้ที่สุสานประจำเมืองอัลตัน และชาวบ้านในหมู่บ้านอัลตันระดมเงินมาสร้างแผ่นหินจารึกหน้าหลุมฝังศพเพื่อเป็นการรำลึกถึงแฟนนี ซึ่งแผ่นจารึกนี้ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันในสุสานซึ่งชิ้นส่วนต่าง ๆ ของแฟนนีถูกนำมาฝังไว้ที่นี่
ส่วนที่มาของวลี “Sweet Fanny Adams” นั้นเกิดขึ้นในปี 1869 เมื่อมีการผลิตเนื้อแกะกระป๋องเพื่อเป็นเสบียงปันส่วนให้แก่ราชนาวีอังกฤษ แต่เนื้อแกะกระป๋องนี้รสชาติแย่มาก บรรดากะลาสีจึงพากันบ่นเรื่องที่อาหารเช่นนี้มันชั้นเลวมาก จึงพากันเปรียบเปรยว่าอาหารกระป๋องนี้สงสัยว่าน่าจะทำมาจากชิ้นส่วนอวัยวะของ แฟนนี อดัมส์ หรือ “sweet Fanny Adams” ที่ถูกฆ่าแยกชิ้นส่วน เพราะคดีของเธอนั้นโด่งดังอื้อฉาวไปทั่วประเทศ
ต่อมาไม่ช้าไม่นานเรื่องตลกวิตถารนี้จึงแพร่หลายไปทั่วว่าเนื้อแกะกระป๋องนี้เปรียบเสมือนกับเนื้อกระป๋องของ แฟนนี อดัมส์ ปัจจุบันนี้ทหารเรืออังกฤษได้รับเสบียงอาหารที่ถูกเรียกกันเล่น ๆ ในชื่อว่า “แฟนนี” จากนั้นแสลงว่า “Sweet Fanny Adams” ก็แพร่หลายไปสู่สังคมภายนอก และกลายเป็นคำเรียกแทนอะไรก็ตามที่ไร้ค่าหรือไม่มีอะไรสักอย่างเลย ทุกวันนี้ วลีนี้ถูกเรียกอย่างย่อว่า “sweet F.A.”
1
อนึ่ง มีผู้พบเห็นวิญญาณของแฟนนี อดัมส์ ยังมาเล่นแถว ๆ Flood Meadow ซึ่งเป็นบริเวณที่เธอเล่นก่อนจะถูกฆ่าตาย ซึ่งมีคนพบเห็นวิญญาณของเธอมาเล่นตรงนี้ตั้งแต่ปี 1867 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวทั้งหมดของแฟนนี อดัมส์ เด็กน้อยผู้น่าสงสารที่ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมที่สุดในยุควิกตอเรีย
ป้ายหลุมศพของแฟนนีในปัจจุบัน (Image: Wikipedia)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา