25 ก.ย. 2021 เวลา 04:25 • ข่าวรอบโลก
• เหตุฆาตกรรมหมู่ที่เรือนรัก Taliesin
1
แฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ (Frank Lloyd Wright) ในด้านสว่างคือสถาปนิกชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับโลก แต่ในด้านมืดเขาได้ก่อเหตุที่สร้างความสั่นสะเทือนด้านศีลธรรมแก่สังคมอเมริกันในอดีต ด้วยการพบรักในวัยดึกกับภรรยาของเพื่อนบ้านที่จ้างเขาออกแบบบ้านให้ พวกเขาตกหลุมรักกัน แล้วทั้งสองต่างละทิ้งคู่สมรสและลูก ๆ ของตัวเองเพื่อมาครองคู่ชู้ชื่นอยู่ด้วยกัน จนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวคาวสวาทในแวดวงสังคม สถาปนิกชื่อก้องจึงออกแบบและสร้างบ้าน Taliesin ในชนบทเพื่อหลีกหนีการที่สังคมติฉินนินทาจะได้มาครองรักกันโดยห่างไกลจากผู้คน แต่บ้าน Taliesin ที่ต่อมาได้รับคัดเลือกให้เป็น UNESCO World Heritage Site นี้ก็กลายเป็นจุดเกิดเหตุสยองขวัญขึ้น …
2
บ้าน Taliesin สถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมสยองขวัญกับคู่รักผู้อื้อฉาวแห่งศตวรรษคือ Frank Lloyd Wright กับ Mary Bouton Borthwick (Images: Frank Lloyd Wright Foundation, Wikipedia)
• จุดเริ่มต้นของความรักที่ผิดที่ผิดเวลา
เพื่อไม่ให้เรื่องเยิ่นเย้อเสียเวลา จะไม่ขอสาธยายประวัติชีวิตความเป็นมาของแฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ ตั้งแต่ต้น จะตัดฉับมาเล่าเฉพาะประเด็นที่ต้องการนำเสนอเท่านั้นพอ
1
จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมของความรักเกิดขึ้นเมื่อปี 1903 เมื่อเอ็ดวิน เชนีย์ วิศวกรไฟฟ้ามาว่าจ้างไรท์ให้ออกแบบและสร้างบ้านให้ บ้านนี้เรียกว่า Edwin H. Cheney House ซึ่งอยู่เขตชานเมืองชิคาโก เชนีย์อาศัยในละแวกเดียวกับไรท์คือเขต Oak Park ของรัฐอิลลินอยส์แต่อยู่ติดกับชิคาโก
ในตอนนั้นไรท์สามารถสถาปนาตัวเองเป็นสถาปนิกที่ดีที่สุดคนหนึ่งของชิคาโกแล้ว เมื่อได้รับมอบหมายงานชิ้นนี้เขาก็ขมักเขม้นลงมือทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี
โชคชะตาจึงนำพาให้ไรท์ได้พบกับภรรยาของผู้ว่าจ้าง คือ มาร์ธา หรือ มามาห์ บอร์ธวิก เชนีย์ (Mamah Borthwick Cheney) แล้วกามเทพเจ้ากรรมก็แผลงศรให้ทั้งคู่ตกหลุมรักกัน ฝ่ายไรท์ยังครองคู่อยู่กับภรรยาคนแรก (ถ้าเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้แสดงว่าต้องมีคนภรรยาคนต่อ ๆ ไป) ชื่อว่าแคทเธอรีน โทบิน (Catherine Tobin) หรือคิตตี้ ซึ่งแต่งงานกันมาตั้งแต่ปี 1889 แถมมีลูกด้วยกัน 6 คนแล้ว แต่แต่งงานกันมาสิบกว่าปีคงทำให้ความรักกับคิตตี้จืดจางลง ส่วนฝ่ายมามาห์นั้นก็มีลูกกับเชนีย์อยู่ 2 คน
3
ความรักเมื่อบังเกิดกับคนที่ใช้ชีวิตตามความต้องการของตนแล้วเรื่องจึงเลยเถิดเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่ ไรท์ตกหลุมรักมามาห์อย่างรวดเร็วและแบบหัวปักหัวปำ ฝ่ายมามาห์เป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ที่ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แต่ในบ้าน เธอมีความสนใจต่อโลกที่อยู่ภายนอกบ้าน เป็นนักสตรีนิยมรุ่นแรก ๆ เธอเป็นคนมีการศึกษาดีจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และมีอาชีพการงานเป็นของตัวเอง
มามาห์รู้จักกับแคทเธอรีนภรรยาของไรท์อยู่ก่อนแล้ว เพราะได้พบปะกันตามสโมสรงานสังคมต่าง ๆ และมารู้จักไรท์เอาตอนที่สามีของเธอว่าจ้างเขาให้ทำบ้านให้
ไรท์ถูกตาต้องใจมามาห์เป็นอย่างมาก เขาเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีระดับสติปัญญาเท่าเทียมกับเขา พอตกหลุมรักทั้งคู่ก็เริ่มต้นความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันทันทีโดยมินำพาต่อสิ่งใด เช่น การออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกด้วยกัน มีคนเห็นมามาห์นั่งรถยนต์ของไรท์ไปทั่ว Oak Park อยู่บ่อย ๆ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงตกเป็นข่าวดังระดับ “talk of the town” เรื่องรักโรแมนติกของสองคนนี้เป็นสิ่งอื้อฉาวสำหรับสังคมอเมริกันในต้นศตวรรษที่ 20 ที่ในเวลานั้นต้องประพฤติตนให้สงบเสงี่ยมและเหมาะสม แถมเวลานั้นทั้งคู่ก็อยู่ในช่วงวัยกลางคนแล้ว
1
โฉมหน้าของมามาห์ชู้รักของไรท์ (Image: Bettmann/History.com)
• ทิ้งครอบครัว
พอล่วงมาปี 1909 พอความรักสุกงอมจนไม่ต้องการให้สิ่งใด ๆ มาเป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของพวกเขาได้ ทั้งไรท์และมามาห์ต่างฝ่ายต่างก็ทิ้งลูกและคู่สมรสของตัวเองเพื่อมาอยู่กินกันฉันสามีภรรยาโดยทางพฤตินัยอย่างเปิดเผย หนังสือพิมพ์หลายฉบับต่างขุดคุ้ยสืบเสาะติดตามชีวิตรักของชายหญิงคู่นี้อย่างหนัก
1
เมื่อตกเป็นขี้ปากของชาวบ้านหนักเข้า ทั้งไรท์และมามาห์จึงหนีไปอยู่ยุโรปด้วยกันเมื่อปี 1909 เพื่อให้เรื่องอื้อฉาวนั้นเงียบลง
สถานที่ในยุโรปที่ชู้รักคู่นี้ไปพำนักมีหลายแห่ง ที่แรกที่ทั้งสองแวะพักคือเบอร์ลิน โดยทั้งคู่พยายามทำทุกอย่างเพื่อหลบเลี่ยงนักข่าวที่คอยตามขุดตามทำข่าวแบบไม่ลดละ จากนั้นพวกเขาก็ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ปารีส อิตาลี และสวีเดน แต่แล้วก็พบว่าการหนีมาอยู่ยุโรปแทบไม่ได้ทำให้เรื่องอื้อฉาวเงียบลงสักเท่าใดเลย
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งปี ไรท์กลับสหรัฐฯ ก่อนในเดือนตุลาคม ปี 1910 ส่วนมามาห์ยังอยู่ที่ยุโรปต่อเพื่อที่จะใช้เป็นเหตุผลในการหย่าว่าละทิ้งแยกกันอยู่แล้ว เธอเดินทางกลับประเทศในเดือนมิถุนายนปี 1911
มามาห์หย่ากับเชนีย์ได้สำเร็จเมื่อปี 1911 หลังจากที่หย่าจากเชนีย์ได้เธอก็กลับมาใช้นามสกุลเก่าคือบอร์ธวิก ตอนที่หย่านั้นลูกของเธอชื่อว่าจอห์นกับมาร์ธายังเล็กอยู่ (John and Martha) ซึ่งฝ่ายเชนีย์ได้รับสิทธิ์ในการดูแลลูกไป แต่เขาให้สิทธิ์แก่มามาห์ในการได้เจอลูกอยู่ แต่ฝ่ายคิตตี้ภรรยาของไรท์ไม่ยอมหย่าให้ในตอนนั้น
3
หลังจากที่ทั้งคู่หลบไปพักผ่อนที่ยุโรปเป็นการชั่วคราวมาก็พบว่าการออกไปจากเมืองน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะพวกเขาพบว่าไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยอยู่ที่ชิคาโกได้เลยแม้แต่น้อย สื่อตามติดชีวิตพวกเขาไม่เคยปล่อย คอยติดตามรายงานข่าวทุกฝีก้าวแม้กระทั่งหลบไปยุโรปแล้วก็ไม่ยอมหยุด แถมเสียดสีทั้งคู่ว่าเป็น “เนื้อคู่หนังคู่กระดูก”
หนังสือพิมพ์ลงข่าวการหย่าระหว่างมามาห์กับสามี (Image: Wrightlibrary.com)
• รังรัก Taliesin
เพื่อให้ทั้งคู่ได้ครองรักกันอย่างสงบสุขเป็นส่วนตัวโดยไม่ต้องถูกจับจ้องจากสังคมเมืองชิคาโก ไรท์จึงออกแบบและสร้างบ้าน Taliesin ขึ้นมาที่ผืนดินอันเป็นเงินจากฝ่ายแม่ของเขาซื้อไว้ที่เขตชนบทที่ Spring Green ในรัฐวิสคอนซิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเกิดของเขา ชื่อบ้านหลังนี้อ่านว่า แทเลียซิน หรือ แทลีเออะซิน เป็นชื่อที่มาจากตำนานเวลช์ที่เป็นทั้งกวี นักบวช และผู้วิเศษ เพราะบรรพบุรุษฝั่งแม่ของเขาเป็นชาวเวลช์
บ้านหลังนี้กลายเป็นผลงานชิ้นเอกของเขา เพราะเป็นบ้านพร้อมสตูดิโอให้ทำงาน ที่งดงามอยู่ท่ามกลางธรรมชาติในชนบทที่เหมาะสมสำหรับการพักผ่อนหรือหลบลี้หนีหน้าจากสังคมเมือง แถมก็ไม่ได้ห่างไกลจากชิคาโก เขายังสามารถเดินทางไปรับงานที่ชิคาโกได้ และมามาห์ก็สามารถไปเยี่ยมลูก ๆ ของเธอได้
แต่ใช่ว่าหนีไปจากสังคมเมืองแล้วคนจะไม่พูดถึง สาธารณชนยังคงเย้ยหยันคู่รักคู่นี้อยู่ แม้ไรท์จะพยายามปกป้องมามาห์จากสารพัดสื่อที่รายงานเรื่องลบและการถูกตำหนิติเตียนจากสาธารณชนอย่างไรก็ตาม ตามมาตรฐานศีลธรรมของสังคมอเมริกันในต้นศตวรรษที่ 20 ที่มีความอนุรักษ์นิยมเป็นอย่างมากจึงถือว่าเขาทั้งสองคนใช้ชีวิตอยู่กับบาปที่หลบเลี่ยงไม่ได้ สองคนนี้อยู่กินกันโดยที่ไม่ได้แต่งงานเพราะฝ่ายคิตตี้ยังไม่ยอมหย่าให้ สื่อเรียกบ้าน Taliesin แบบเหยียด ๆ ว่า กระท่อมรังรัก (Love Cottage) บ้าง บังกะโลรักบ้าง ปราสาทรักบ้าง
4
แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของที่ Spring Green ยังประณามไรท์ว่าเป็นผู้นำความอื้อฉาวมาสู่หมู่บ้าน คนในท้องที่ไม่ต้อนรับคู่รักคู่นี้ เพราะการมาใช้ชีวิตของพวกเขาเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อเด็ก ๆ ในวัยเรียนเพราะจะต้องมาเห็นตัวอย่างที่ไม่เคารพต่อพันธะหน้าที่ในการแต่งงาน ถึงขั้นมีการขู่ว่าจับนำตัวทั้งคู่มาแก้ผ้าทาเนื้อทาตัวเพื่อประจาน แต่คำขู่ไม่สามารถไล่พวกเขาออกไปจากพื้นที่ได้ก็ถึงขั้นมีการแจ้งจับคู่รักคู่นี้เลยทีเดียว
2
เรื่องส่วนตัวอันอื้อฉาวส่งผลกระทบต่องานของไรท์อยู่ไม่น้อย เพราะเขาแทบไม่ได้รับงานสำคัญใหญ่ ๆ สักชิ้นเลย งานชิ้นใหญ่ที่สำคัญกว่าจะเข้ามาก็ปี 1913
พอปี 1911 มามาห์ก็ย้ายเข้าไปอยู่รังรักที่ไรท์สร้างไว้ให้แก่เธอ แต่รังรักที่หมายจะใช้ชีวิตครองคู่อย่างสงบสุขกลับกลายเป็นสถานที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมอันสยองขวัญขึ้นมา ความรักของไรท์กับมามาห์จึงมิได้ลงเอยแบบมีความสุขไปตลอดกาล
3
ภาพบ้าน Taliesin ที่ไรท์สร้างให้กับมามาห์และตัวเขาได้อยู่ด้วยกัน (Image: Henry Fuermann and Sons/Wisconsin Historical Society / Wikimedia Commons)
• ฆาตกรรมหมู่อันสยองขวัญ
ที่บ้าน Taliesin ทั้งไรท์และมามาห์ไม่ได้อยู่กันอย่างโดดเดี่ยว พวกเขาจ้างคนงานเพื่อดูแลบ้านและคนรับใช้ในบ้าน ยังมีสมาชิกครอบครัวแวะมาเยี่ยมเยือนอยู่ ในบรรดาคนรับใช้ที่พวกเขาจ้างมามีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งชื่อว่า จูเลียนกับเกอร์ทรูด คาร์ลตัน (Julian Carlton, Gertrude) โดยให้เป็นคนทำกับข้าวและรับใช้ในบ้าน
ในวันที่ 15 สิงหาคม ปี 1914 เป็นอีกวันที่ชีวิตดูเหมือนจะดำเนินไปตามปกติ มามาห์รับประทานอาหารเที่ยงอย่างรื่นรมย์อยู่ตรงระเบียงบ้านชื่นชมความงดงามของภูมิประเทศยามฤดูร้อนกับลูกทั้งสองคนของเธอที่มาเยี่ยมเธอที่บ้าน Taliesin
1
คนรับใช้ที่ชื่อจูเลียน คาร์ลตัน ก็มาเสิร์ฟอาหารให้กับเธอดังเช่นที่เขาทำเป็นประจำเหมือนทุกวัน แต่สิ่งที่มามาห์ไม่รู้เหมือนที่คาร์ลตันรู้คือมื้ออาหารมื้อนี้จะเป็นมื้อสุดท้ายในชีวิตของเธอ
พอมามาห์ลงมือรับประทานอาหารกับลูก ๆ คาร์ลตันก็เดินไปบอกภรรยาของเขาที่เป็นแม่ครัวทำกับข้าวให้ออกจากบ้านไปก่อน แล้วคาร์ลตันก็เทพาราฟินรอบตัวบ้าน ล็อคประตูทุกบ้าน จากนั้นก็จุดไฟเผาบ้าน จากนั้นเขาก็ไปยืนรออยู่ที่ระเบียง และลงมือใช้ขวานฟันใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในบ้านที่พยายามหนีไฟไหม้ออกมา เขาลงมือฟันคนตายไป 7 คนจากทั้งหมด 9 คน
3
ในตอนนั้นคนงานในบ้านก็รับประทานข้าวอยู่เช่นกัน คนที่รอดชีวิตออกมาได้เล่าว่าพวกเขาได้ยินเสียงสาดน้ำใส่บ้านและเห็นของเหลวคล้าย ๆ กับน้ำล้างจานไหลผ่านใต้ประตูเข้ามา คนที่รอดชีวิตได้คือต้องกระโดดหนีออกทางหน้าต่างและไถลตัวไปกับเนินเพื่อดับไฟที่ไหม้เสื้อผ้า และมองเห็นเหตุการณ์ที่คาร์ลตันคอยลงมือใช้ขวานฟันคนอื่นที่พยายามหนีออกมา คนที่รอดรีบหนีไปขอความช่วยเหลือจากบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดซึ่งก็อยู่ห่างไปครึ่งไมล์ แล้วก็มีการโทรศัพท์เรียกคนมาช่วย
มามาห์ในวัย 45 ปี คือหนึ่งในเหยื่อที่ถูกมือขวานสังหารโหด เธอถูกขวานฟันจนตาย แล้วร่างของเธอก็ถูกทิ้งไว้ให้ไหม้ไปพร้อมกับบ้านที่ไรท์สร้างให้กับเธอ ลูกทั้งสองคนของมามาห์ก็ไม่รอด จอห์นวัย 11 ขวบ กับมาร์ธาวัย 9 ขวบก็ถูกฆ่าด้วย
อีก 4 คนที่เหลือที่ถูกฆ่าตายเป็นลูกจ้างในบ้าน ได้แก่คนสวนชื่อว่าเดวิด ลินด์โบลม (David Lindblom) คนร่างแบบชื่อว่าเอมิล โบรเดลล์ (Emil Brodelle) คนงานชื่อว่าโทมัส บรันเกอร์ (Thomas Brunker) และลูกชายวัยรุ่นของคนงานคนหนึ่ง(ที่รอดชีวิต)ชื่อว่าเอิร์นเนส เวสตัน (Ernest Weston)
ในวันที่เกิดเหตุนั้นไรท์ไม่ได้อยู่ที่บ้าน เขาอยู่ที่ชิคาโกเพราะกำลังมีโปรเจ็คออกแบบสวนที่กำลังจะเปิดใหม่ให้ลงมือทำ ในชั้นแรกเขาได้รับข่าวเพียงว่าบ้านถูกไฟไหม้ เขาต้องเดินทางโดยสารรถไฟเป็นเวลาหลายชั่วโมงกว่าจะกลับมาถึงบ้านเพื่อจะพบความจริงว่าคู่รักของเขาและคนอื่น ๆ ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม เขามาถึงบ้านในตอนกลางคืนวันที่ 15 โดยมาพร้อมกับเชนีย์อดีตสามีของมามาห์
หนังสือพิมพ์ลงข่าวหน้าหนึ่งเหตุฆาตกรรมในครั้งนี้ (Image: History.com)
• ผู้ก่อเหตุสังหาร
หลังจากก่อเหตุ คาร์ลตันหลบซ่อนตัวอยู่ในบริเวณบ้าน ตำรวจสามารถจับกุมตัวคาร์ลตันได้ทันที และข่าวเหตุร้ายที่บ้าน Taliesin แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง ฝูงชนที่โกรธแค้นต่างพากันมารวมตัวเพื่อจะจับคาร์ลตันไปลงโทษเอง บางคนถึงขั้นพยายามจะตั้งศาลเตี้ยรุมแขวนคอคาร์ลตันเสียเอง ซึ่งพฤติกรรมนี้เกิดขึ้นทั่วไปในอเมริกาช่วงปี 1882-1968 ที่ชายหญิงและเด็กที่เป็นคนผิวดำหลายพันคน และคาร์ลตันก็เป็นคนผิวดำที่มีพื้นเพมาจากบาร์เบดอส เขาโชคดีที่รอดพ้นจากการถูกจับแขวนคอโดยฝูงชน แต่สุดท้ายก็ตายในคุกอยู่ดี
สาเหตุของการตายของคาร์ลตันมาจากการขาดอาหารตาย เหตุมาจากว่าเขาพยายามฆ่าตัวตายหนีความผิดหลังจากลงมือก่อเหตุทันที เขาพยายามจะฆ่าตัวตายด้วยการกลืนกรดไฮโดรคลอริกเข้าไป แต่พิษมันไม่แรงพอเขาจึงไม่ตาย แต่ผลของพิษนั้นได้ไหม้ลำคอและทางเดินอาหารจนเขาไม่สามารถกินอะไรเข้าไปได้ เขาทรมานอยู่ 7 อาทิตย์จนเสียชีวิต ถึงแม้ว่าจะได้รับการรักษาก็ตาม
แรงจูงใจในการสังหารโหดครั้งนี้ไม่มีใครรู้ เพราะคาร์ลตันปฏิเสธที่จะพูดว่าเพราะสาเหตุใดเขาจึงทำสิ่งนี้ ส่วนภรรยาของเขาก็ไม่สามารถเดาที่มาของแรงจูงใจในการลงมือครั้งนี้ได้ บ้างก็ว่าเขามีสภาวะทางจิตที่ไม่แน่นอน แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏคือภรรยาของคาร์ลตันเล่าว่าเขาได้ไปซื้อขวานที่ใช้ในการลงมือก่อเหตุล่วงหน้ามาหลายวันแล้ว พอได้มาเขาก็เอาถุงที่ใส่ขวานใบนี้มาวางไว้ใกล้ ๆ กับที่นอนเวลาเขาจะนอนทุกวัน
1
บรรดานักศีลธรรมวิเคราะห์ว่าสาเหตุของการลงมือครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการลงโทษไรท์กับมามาห์ต่อบาปที่พวกเขาได้กระทำลงไป สิ่งที่พวกเขาเคยทำลงไปนั้นสมควรได้รับผลของการกระทำ
1
แต่บ้างก็ว่าแรงจูงใจมาจากการทำงาน เพราะกล่าวกันว่ามามาห์ต้องการไล่คาร์ลตันกับภรรยาออกจากงาน และได้แจ้งความประสงค์นี้ให้คาร์ลตันได้รับรู้ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลงมือก่อเหตุ แต่การวิเคราะห์นี้ก็ยังเป็นที่กังขาอยู่ เพราะมีคำถามตามมาว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริงทำไมคาร์ลตันจึงไม่ลงมือฆ่าเฉพาะมามาห์แต่กลับฆ่าคนอื่นด้วยอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็มีคำกล่าวอ้างอีกว่าคาร์ลตันมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมงานอยู่
1
พาดหัวข่าวเหตุสังหารโหดที่เกิดขึ้นที่บ้าน Taliesin (Image: Press Reader)
คาร์ลตันผู้เป็นฆาตกรอายุ 30 ปีกับอุปกรณ์ที่ใช้ลงมือก่อเหตุ (Images: BBC News)
• ชีวิตหลังเหตุสยองขวัญ
ในตอนแรก ไรท์ผู้อยู่ในวัย 47 ปีตกอยู่ในความโศกเศร้าจนมีอาการนอนไม่หลับ น้ำหนักตัวลด และมีอาการมองไม่เห็นชั่วคราว จนต้องมีน้องสาวของเขามาคอยดูแลอาการ ส่วนค่าใช้จ่ายงานศพของคนตายทั้งหมดเขาเป็นคนจ่าย ร่างของมามาห์ถูกนำไปฝังไว้ที่สุสานใกล้กับโบสถ์ในละแวกบ้านนั้นโดยไม่มีพิธีศพเพราะไรท์ทำใจยังไม่ได้
เมื่อลูกทั้งสองเสียชีวิต เชนีย์ที่เดินทางมาบ้าน Taliesin จึงนำร่างที่เหลือของลูก ๆ กลับไปที่ชิคาโกด้วย ส่วนเขาแต่งงานใหม่หลังจากหย่ากับมามาห์ได้เพียงปีเดียว และมีลูกอีก 3 คน
บ้าน Taliesin ไม่ได้มอดไหม้ในเปลวเพลิงจนหมด ไฟไหม้เฉพาะส่วนที่อยู่อาศัย แต่ส่วนที่ทำงานของไรท์ไม่ได้ไหม้ เขาจึงสร้างบ้าน Taliesin ขึ้นมาใหม่ แต่ในปี 1925 ก็เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง แต่คราวนี้เกิดจากปัญหาการขัดข้องทางไฟฟ้า และไรท์ก็สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาใหม่เป็นครั้งที่ 3
ไรท์ไม่ได้จมปลักกับความสูญเสียอยู่นาน ไม่ช้าเขาก็มีสาวคนใหม่ในอ้อมแขนเป็นนักปั้นชื่อว่ามิเรียม โนเอล (Miriam Noel) ซึ่งแต่งงานกันในปี 1923 หลังจากที่ภรรยาคนแรกคือคิตตี้ยอมหย่าให้ในปี 1922 แต่ชีวิตรักกับภรรยาคนที่ 2 ก็ยุติลงด้วยการแยกทางกันหลังจากแต่งได้ไม่ถึงปี สาเหตุมาจากฝ่ายหญิงติดมอร์ฟีน แล้วต่อมาเขาก็พบรักกับสาวนักเต้นที่ชื่อว่าโอจิวานนา ลาโซวิช (Olgivanna Lazovich) ทั้งที่ยังไม่หย่ากับภรรยาคนที่สอง แล้วก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้าน Taliesin ด้วยกัน และไรท์มีลูกสาวกับหญิงคนนี้ในปี 1925 ส่วนกับภรรยาคนที่ 2 ได้หย่ากันในปี 1927 ไรท์จึงได้แต่งงานเป็นครั้งที่ 3 กับโอจิวานนาได้ในปี 1928
1
ในด้านชีวิตส่วนตัวแม้จะเน่าเฟะขนาดไหน แต่หลังจากเหตุฆาตกรรมหมู่หน้าที่การงานของไรท์ก็รุ่งเรืองขึ้นมา และเขาได้สร้างผลงานที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากมาย
สภาพบ้าน Taliesin หลังเกิดเหตุ (Image: BBC News)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา