20 ก.ย. 2021 เวลา 15:05 • หนังสือ
Tefa Mamus Adicson
EP. 3 วันพิพากษา
ณ ห้องประชุมใหญ่มากแห่งหนึ่ง ผู้คนนับพันรวมตัวกันแบบงงๆ ในชุดคนไข้ทั้งชายและหญิงวัยประมาณ 20 ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกัน ต่างฝ่ายต่างมองกันและกันและมองไปรอบๆ ห้องประชุม ซึ่งยังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่กำลังเดินเข้ามาเพิ่มในห้องประชุมนี้อีก โดยมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่แต่งเครื่องแบบทยอยพาเข้ามา
ออง โม (Ong Mo) ป้ายชื่อที่เสื้อด้านหน้าอกซ้ายของชายคนหนึ่ง สูงประมาณ 175 ผิวพรรณขาวอย่างคนเอเชีย หน้าตาหล่อคมดูเฉลียวฉลาด กำลังมองเจ้าหน้าที่ที่เดินมาส่งและมองคนอื่นไปรอบๆ ที่เขาเดินผ่าน ซึ่งทางเข้าห้องมีคนแออัดกันมากเบียดเสียดไหลตามๆ กันมาจนถึงกลางห้อง ออง โม มองไปรอบๆ ห้องจนมองเห็นประตูทางเข้าทั้งหมดปิดลงจนหมด "นี่คงจะเป็นห้องพิพากษาล่ะมั้ง" ออง โม พึมพำกับตัวเอง หัวเราะ หึๆ แล้วทรุดตัวลงคุกเข่า มือทั้งสองข้างจับเข่า คอตก แล้วก็เริ่มสะอึกสะอื้นร้องไห้แบบรุนแรงแต่พยายามควมคุมเก็บเสียงเก็บอาการไว้อย่างหนัก จนคนรอบข้างสุดจะเวทนา หลายคนก็เกิดอาการคล้ายๆ กับ ออง โม เหมือนกัน บางคนสวดมนต์ บางคนคุ้มคลั่งเสียงดัง เต็มไปด้วยบรรยากาศที่แสนจะหดหู่
ทันใดนั้นเสียงเพลง jazz โบราณ tenor saxophone บรรเลง melody สอดรับด้วย chords จาก piano grand baby โดยมี rhythm เป็นกลองไม้แซ่ทองเหลืองกับเสียง double bass นุ่มลึก บรรเลงเบาๆ ในอารมณ์ที่ฟังดูแล้วรู้สึกอบอุ่น ทำให้บรรยากาศทั้งห้องประชุมคลายความหดหู่ลงได้มาก จน ออง โม หยุดร้องไห้และตั้งใจฟัง และกลับลุกขึ้นยืนอีกครั้งเพื่อมองสำรวจรอบๆ ห้องอีกที
ห้องโถงประชุม เก่า ใหญ่ โบราณ แบบฝรั่ง บวกกับศิลปะที่ทันสมัยและล้ำสมัยไปด้วย technology ที่ดูแปลกใหม่ แสงไฟเริ่มเปิดสว่างมากขึ้น ด้านหนึ่งของห้องมองสูงขึ้นไปประมาณ 3 ชั้น มีระบบไฟแสงสีและเครื่องเสียงอย่างกับห้องจัดงาน มองลงมาอีกหน่อยเป็นเวทีขนาดใหญ่เหมือนเวทีคอนเสิร์ตที่คนแต่งตัวในเครื่องแบบที่ดูเนี๊ยบมากๆ ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่บนเวทีประมาณ 10 กว่าคน เสียงเพลง fade เบาลงจนปิดสนิท แล้วชายหนุ่มคนนึงในแถวก็เดินออกมาหน้าเวที กล่าวทักทายสวัสดีด้วยภาษาต่างๆ ที่พอจะพูดได้ หนึ่งในนั้นเป็นภาษา พม่า ออง โม ตั้งใจฟังมากขึ้นทันที จนมาจบที่ภาษาสุดท้ายที่ ภาษาไทย
"ขออนุญาตแนะนำตัวนะครับ ผมชื่อ สุรชัย โสภณ เป็น ผู้อำนวยการ โรงพยาบาล มิตรสยาม hospital ขอกล่าว ยินดีต้อนรับทุกท่าน ในวันนี้" สุรชัย กล่าวด้วยภาษาไทย แต่มี subtitles แปลหลายภาษาอยู่ที่จอ TV monitor ขนาดใหญ่ด้านหลังเวที "เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเชิญทุกท่าน พบกับหัวหน้าฝ่ายที่ดูแลพวกคุณประจำวันพฤหัสบดี คือ วันนี้ .. ขอเสียงปรบมือต้อนรับ ท่านรองฯ วาสนา กำเนิดแก้ว หรือ รองฯ ตุ๋ย ได้ ณ บัดนี้" สุรชัย พูดจบ ทุกคนก็ปรบมือตามกันจนเสียงดัง
ผู้หญิงวัย 35 สวยผ่องผาดในเครื่องแบบสุดเนียบเดินมาอย่างทะมัดทะแมงที่หน้าเวทีหยุดนิ่งเงียบ เสียงปรบมือก็หยุดลงทุกอย่างอยู่ในความเงียบอีกครั้ง แต่มีเสียงหนึ่งเล็ดลอดมาจากฝูงชนเบาๆ ว่า "เย้...เราอยู่บนสวรรค์" รองฯ วาสนา ยิ้มมุมปากและกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง แล้วพูดขึ้นว่า "4,366 คน จำนวนไม่น้อยเลยนะ ที่ได้เดินทางมาสถานที่แห่งนี้ นั่นหมายถึงอะไร… หมายถึง พวกคุณได้ตายไปแล้วน่ะสิ ภายในวันนี้" เสียงผู้คนพึมพำทันที
"ที่นี่ ไม่ใช่ นรก หรือ สวรรค์ อย่างที่พวกคุณคิดหรอก นรกสวรรค์ไม่มีจริง" เสียงผู้คนพึมพำขึ้นอีก จนรองฯ วาสนา ต้องเน้นเสียงพูดกว่าเดิม "ไม่ว่าพวกคุณจะเป็นใครมาจากไหน รวย จน เก่ง ไม่เก่ง หรืออะไรก็ตามแต่ ในที่ที่พวกคุณจากมา ที่นี่ จะเป็นโอกาสที่สองในการมีชีวิตของพวกคุณ" เสียงผู้คนดังขึ้นอีกจนรองฯ วาสนา นิ่งเงียบอยู่พักนึง แล้วพูดต่อ "จงทำตัวให้มีคุณค่ากว่าที่เคยเป็น แสดงความสามารถโดดเด่นของคุณให้เราเห็น บ้านหลังนี้ ยังต้องการผู้คนที่มีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมากมาย ที่นี่จะคล้ายจนเหมือนกับที่ที่คุณจากมา พวกคุณจะมีสังคมใหม่ โอกาสใหม่ ให้คุณแก้ตัว มีงานให้พวกคุณได้ทำ ได้แสดงคุณค่า ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบาย เหมือนสวรรค์ล่ะมั้ง …
แต่….แต่มีข้อแม้ว่า กฏของการอยู่ที่นี่น่ะ ง่ายๆ ข้อเดียว ภายใน 364 วันนับจากนี้ ถ้าคุณยังไร้ค่า เราขอร่างกายคืน ส่วนวิญญาณของคุณจะสลายไปเองกลับคืนสู่ Manian หรือ แม่ธรณี" เสียงผู้คนเงียบกริบพักนึง "มีเวลา ก็จงทำสมาธิ ภาวนา มองดูตัวเอง รู้จักตัวเองให้ชัดเจน แล้วจะเกิดพลัง อย่างคำขวัญที่ว่า….เอ่อ...สมาธิ สติ ปัญญา ก่อเกิดพลังอนันต์ …. เอาล่ะ หลังจากนี้ก็ เขิญทุกท่าน enjoy ของว่าง อาหาร เครื่องดื่ม เจ้าหน้าที่ได้จัดวางไว้ตามจุดต่างๆ รอบๆ ห้อง .. บริการตัวเองนะคะ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะจัดกลุ่มพวกคุณเพื่อขนส่งไปยังที่พักและแจกแจงข้อมูลเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันในการมีชีวิต ในการรับโอกาสที่สอง….. ณ บ้านหลังอบอุ่นแห่งนี้ ที่นี่คือเขตเมือง Samana Funun ...ขอให้ทุกท่านโชคดีนะคะ"
รองฯ วาสนา กล่าวจบบทสนทนา ผู้คนพึมพำกันยกใหญ่ เจ้าหน้าคนอื่นๆ บนเวทีออกกล่าวเสริมเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มและบอกกับเจ้าหน้าที่ด้านล่างใครพร้อมก็เริ่มแบ่งกลุ่มเดินทางได้เลยเพราะคนเยอะมาก ออง โม ทรุดลงคุกเข่าอีกครั้งท่ามกลางผู้คนที่เริ่มจับกลุ่มคุยกัน หลายกลุ่มก็เริ่มเดินทางตามเจ้าหน้าที่ออกไปภายนอก "คุณๆ" เจ้าหน้าที่คนนึงเข้ามาจับบ่า ออง โม ทักทาย เขาพยายามทักทายอยู่หลายภาษา แต่ ออง โม ก็ตอบกลับไปว่า "ครับ ผมพูดไทยได้ครับ" "คุณมาจากไหน….ประเทศอะไรน่ะครับ" เจ้าหน้าที่ถามต่อพลางดูชื่อที่หน้าอก ออง โม ลุกขึ้นยืนแล้วหันหน้าตอบไปด้วยใบหน้าเศร้าแต่ฝืนให้ดูเป็นธรรมดาว่า "ผมเป็นคนพม่า ทำงานอยู่ประเทศไทยครับ" "ดีเลย.. วันนี้กลุ่มพม่าเขาจับกลุ่มกันไปหมดแล้ว คุณพูดไทยได้..งั้นมารวมกลุ่มนี้แล้วกัน กินอะไรหรือยัง" เจ้าหน้าที่ถาม "ไม่ครับ.. ผมยังไม่หิว" ออง โม ตอบ
แล้ว ออง โม ก็เดินเข้าไปสมทบกลุ่มที่เจ้าหน้าที่แนะนำและพากันเดินออกไปด้านนอก แสงสว่างจากภายนอก มันช่างเร้าให้ ออง โม อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อไป ถึงจะยังมีอารมณ์เศร้าอยู่ก็ตาม กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า คนแล้วคนเล่าที่พากันเดินทางออกจากห้องประชุมใหญ่ในโรงพยาบาล มิตรสยาม จนคนสุดท้าย เจ้าหน้าที่ปิดประตู แล้วแสงไฟก็ดับลง
ร้านกาแฟเล็กๆ ริมถนนแห่งหนึ่งในเขตเมือง Samana Funun มีชายแก่สองคนกำลังนั่งจิบกาแฟคุยกัน ฝรั่งแก่หัวล้าน
ท้วมๆ พูดว่า "มึงรู้มั๊ย ข่าวลือที่ว่าน่ะ มันมีเคล้าโครงจะเป็นเรื่องจริงแล้วนะเฮ้ย" อาแป๊ะเพื่อนร่วมโต๊ะตั้งใจฟัง "มันมีคนตายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น อุบัติเหตุ ก่อการร้าย ภัยธรรมชาติ โรคระบาด ข้างบนโลกนั่นปั่นป่วนกับเต็มที่ พวกมันคงจะขึ้นผิวโลกในไม่ช้านี้แน่ว่ะ" ฝรั่งแก่พูดย้ำด้วยเสียงกระซิบที่หนักแน่น "ก้าช่างมาลงเถอะ เลามากายเท่าลี้ก้าลีมากเลี้ยว" อาแป๊ะตอบ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา