27 ก.ย. 2021 เวลา 04:00 • ไลฟ์สไตล์
ไปเจอกระทู้ๆ หนึ่งในเวป ดัง มีข้อความถามมาประมาณว่า 'ผมเพิ่งเลิกลากับแฟนได้ 7 วันแล้วครับ สุดแรงยื้อที่จะไปต่อด้วยกันในอนาคต' มันทำให้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวของคนดัง อย่าง Bill Gates กับภรรยา ขนาดรวยระดับนั้น และก็อยู่ด้วยกันมาตั้ง 27 ปี ยังเลิกรากันได้
1
เลยคิดได้ว่า มีหลายคนที่ไม่สมหวังในความรัก ความรักไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะมีได้จริงๆ บางครั้งมันมาอยู่กับเราได้เป็นสิบๆปี บางทีก็มาแค่ไม่กี่ปี หรือไม่กี่เดือน มันมีปัจจัยหลายอย่างประกอบ มันเป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าความรักมันไปต่อไม่ได้แล้ว
ฝรั่งเค้ามีประโยคที่คอยเตือนสติให้เพื่อนฝูงและครอบครัวว่า 'Time heals all wounds' เป็นประโยคโคตรคูล ที่บอกว่า เวลาจะเยียวยาทุกบาดแผล(ทุกสิ่ง)
สำนวนที่ว่านี่ ชวนให้นึกถึงความเจ็บป่วยของร่างกาย แล้วมันเป็นแบบนั้นจริงไหม? อาการอกหักกับความรู้สึกเจ็บปวด เรื่องนี้มีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง โดยเมื่อเกิดความรักร่างกายจะผลิตสารแห่งความสุขออกมา เช่น (Phenylethylamine) โดพามีน เฟนิลเลไธลามีน (dopamine) และเอนดอร์ฟินส์ (Endorphins) ออกมา โดยสารเหล่านี้จะทำให้เรามีความสุข รู้สึกร่าเริง กระปรี้กระเปร่า กระชุ่มกระชวย
แต่ในทางตรงกันข้าม หากเราอกหัก สมองจะสั่งไม่ให้หลั่งสารเหล่านี้ออกมาอย่างฉับพลัน มันจะทำทำให้เรารู้สึกหมดกำลังใจ ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไร นอกจากนี้ร่างกายจะมีปริมาณฮอร์โมนคอติซอล (Cortisol) เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ไม่อยากทำอะไร และอาจส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยทางกาย เพราะเมื่อเกิดความเครียดแล้ว ย่อมส่งผลต่อหลอดเลือดของหัวใจ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวได้น้อยลงนั่นเอง
แล้วถ้าไม่อยากอยู่ในอาการเซื่องซึม อ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ ต้องรับมืออาการอกหักรักคุด ยังไงกันดีละ?
5 ข้อแนะนำเพื่อก้าวข้ามผ่านอาการอกหัก
❶ ยอมรับความจริง ไม่ว่าเราจะเผชิญปัญหาใดในชีวิต การอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงจะทำให้เราสามารถรับรู้ และเข้าใจปัญหาจนสามารถก้าวผ่านมันไปได้ เมื่อไหร่ที่เรายอมรับปัญหาได้ เราจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เสียที เราจะหยุดตั้งคำถามว่า ทำไม? เลิกคิดถึงแต่อดีตที่มันไม่สามารถย้อนมาได้อีกแล้ว
2
❷ เลิกหมกมุ่น ไม่หมกมุ่นกับปัญหา หรือเก็บเอาปัญหามาคิดซ้ำ ๆ ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะยิ่งทำให้เราทุกข์ใจหนักกว่าเดิม เอาสิ่งที่ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ออกไปให้พ้นสายตา พยายามทำให้ตัวเองลืมเรื่องเก่าๆ พยายามตั้งสติ มองดูปัจจุบันว่าต้องทำงาน ต้องกินต้องใช้ ดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมาจากปัญหาที่มันเกิดขึ้นแล้ว และก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วเช่นกัน
2
❸ กลับไปใช้ชีวิต ดำเนินกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม เลิกฟุ้งซ่าน เพื่อกระตุ้นให้สมองกลับมาทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง หาอะไรทำ ตั้งสติ มองดูความเป็นจริง จะนอนจมปลักในที่นอน ร้องไห้ฟูมฟายมันไม่ช่วยอะไร เดี๋ยวบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ามือถือ ค่ารถ ค่าบ้าน ค่าอะไรอีกสาระพัดจะมาแล้ว ถ้าไม่ทำงาน จะเอาที่ไหนจ่าย
1
❹ พูดคุยหรือหาที่ปรึกษาที่ดี การย้ำคิดย้ำทำอยู่กับปัญหาเพียงคนเดียวอาจจะทำให้หาทางออกไม่เจอ การพบปะ หรือขอคำปรึกษาจากคนอื่นจึงเป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้เห็นมุมมองอีกด้านหนึ่ง ซึ่งอาจจะกลายเป็นทางออกของปัญหาที่เราเผชิญ ลองเปิดใจพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ เพื่อนสนิท หรือผู้ให้คำปรึกษามืออาชีพดู วิธีนี้ก็สามารถช่วยให้คุณก้าวผ่านความเสียใจได้เร็วขึ้น
1
❺ สร้างพลังใจให้ตัวเอง รักตัวเอง และมองให้เห็นคุณค่าในตัวเอง วิธีที่กล่าวมาจะไม่มีผลเลยหากคุณยังเห็นว่าตัวเองด้อยค่า ไม่หันมาดูแลตนเอง และมอบความรักให้กับตัวเอง จำเอาไว้ว่า ไม่มีใครรักเราเท่าตัวเราเอง นึกถึงคนที่รักคุณ พ่อแม่พี่น้อง หาทางเติมพลังดู ทำเองไม่ได้ก็กลับบ้านไปพักดีไหม ทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้คุณกลับมาเป็นตัวเองได้เสียที
1
แผลกายยังพอรักษาให้หายได้ แต่แผลทางใจต้องใช้เวลาในการเยียวยารักษา ถึงแม้แต่ละก้าวจะทรมาน ต้องอดทนผ่านมันไปให้ได้ ทุกอย่างผ่านเข้ามามันก็จะผ่านออกไป เหมือนลมที่พัดผ่านหน้าเรานี่แหล่ะ แล้วมันจะผ่านไปค่ะ
2
นึกถึงตัวเองให้ดี เราเคยยิ้ม เคยหัวเราะไม่อยากให้ตัวเองมีความสุขแบบนั้นเหรอ ต้องกลับมาเป็นแบบนั้นให้ได้ ชีวิตของเรา เรากำหนดเองค่ะ อย่าให้ใครมามีอำนาจเหนือเราค่ะ ต้องก้าวเดินต่อไปเพื่อค้นพบหนทางที่ดีกว่าวันเดิมนะคะ
1
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
กรมสุขภาพจิต : https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=29870

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา