7 ต.ค. 2021 เวลา 08:25 • การศึกษา
ข้อสอบการพูด การให้คะแนนเป็นแบบองค์รวม คือฟังแล้วพิจารณาภาพรวมของการพูดจากนั้นให้หรือหักคะแนนตามเกณฑ์ที่วางไว้
สิ่งที่นำมาพิจารณามี 3 อย่าง
1. สำเนียงพูด น้ำเสียงต้องคงที่และชัดเจน มีการออกเสียง (pronunciation) ที่ถูกต้อง เป็นธรรมชาติและมีสำเนียง (intonation) เสียงสูงต่ำอย่างภาษาอังกฤษ (ซึ่งแตกต่างจากการพูดภาษาไทย)
2. การใช้ภาษา มีการเลือกใช้คำและใช้ไวยากรณ์ได้เหมาะสมซึ่งจะส่งผลให้เนื้อหาของคำตอบชัดเจนไม่กำกวม
3. การขยายความ (topic development) คำตอบของผู้สอบมีครบถ้วนทุกประเด็นที่ถาม มีความชัดเจนในตัวเองและมีการเชื่อมโยงความคิดให้เข้าใจได้ง่าย
ผมแนะนำให้สมัครคอร์สฟรีของ ETS ใน edX ซึ่งผมให้ลิ้งก์ไว้ในอ้างอิง ส่วนที่สอนเรื่องสอบการพูดจะมีตัวอย่างข้อสอบให้ทำ คืออัดเสียงแล้วส่งไปประเมินคะแนน และมีการเฉลยโดยละเอียดว่าการตอบแบบใดจะทำคะแนนได้ดี การตอบแบบใดทำคะแนนได้ปานกลาง และทำไมจึงได้คะแนนอย่างนั้น ซึ่งมีเนื้อหาและรายละเอียดดีมาก แต่เนื้อความก็ยาวมากจนผมไม่อาจยกมาอธิบายในนี้ได้
จากคะแนนเต็ม 30  ผมทดลองทำและได้คะแนนในระดับ Fair
ข้อสอบการพูดมี 3 แบบ
แบบแรก Independent ตอบคำถามอย่างอิสระโดยไม่มีเนื้อหาอื่นมาประกอบ ผู้สอบต้องตอบคำถามและคำตอบนั้นคือหัวข้อการสนทนาที่ผู้สอบต้องอธิบายให้เหตุผล แสดงความเชื่อมโยงและสร้างความเข้าใจให้ได้ ยกตัวอย่างเช่น Some people think it is more fun to spend time with friends in restaurants or cafes. Others think it is more fun to spend time with friends at home. Which do you think is better? Explain why. ผู้สอบมีเวลาคิดเตรียมคำตอบ 15 วินาที จากนั้นมีเวลาพูดตอบผ่านไมโครโฟน 45 วินาที
ผู้เชี่ยวชาญจาก ETS แนะนำว่า
1. ใช้เวลา 15 วินาทีอย่างคุ้มค่า เรียบเรียงความคิดพร้อมกับจดคำหรือแนวทางการตอบสั้น ๆ แค่พอใช้เตือนความจำ การเขียนแล้วท่องไม่เกิดประโยชน์อะไร
2. ตอบให้เป็นธรรมชาติไม่ใช่จากความจำ เนื่องจากกรรมการให้คะแนนรู้ได้จากเสียงพูดว่าผู้สอบพูดตอบแบบไหน การพูดแบบท่องจำจะบั่นทอนคะแนนที่ควรได้
3. เนื่องจากเป็นการสอบพูดในเวลาจำกัด ผู้สอบไม่ต้องเรียบเรียงคำตอบให้เป็นลำดับเหมือนบทความที่จะมีส่วนเกริ่นนำ อธิบายและสรุป แค่พูดไปตามที่คิดและรู้จักเลือกใช้คำเชื่อมระหว่างประโยคให้เหมาะสม ตัวอย่างคำเชื่อมประโยคเช่น because, so, after that, on the other hand, I want to mention, and what this means is เป็นต้น
การฝึกฝนเพื่อตอบข้อสอบ
1. พูดคุยกับชาวต่างประเทศที่ใช้สำเนียงภาษาอังกฤษแบบมาตรฐานหรือใกล้เคียง หรือฝึกสนทนาภาษาอังกฤษกับคนที่พูดภาษาอังกฤษได้
2. ค้นหาและรวบรวมรูปภาพจากแหล่งต่าง ๆ มาใช้เป็นแบบฝึกหัด มองรูปแล้วอธิบายในเวลา 45 วินาทีหรือกว่านั้นบ้าง จากนั้นลองอธิบายอีกครั้งด้วยคำคุณศัพท์ (adjective) อื่นและอธิบายรายละเอียดของรูปเพิ่มเติม
3. ทำเสมือนสอบจริง คือคิด 15 วินาทีแล้วพูดตอบ 45 วินาทีเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวาน และทำเช่นเดียวกันกับเรื่องที่พรุ่งนี้จะทำ สังเกต tense ที่ใช้ว่าถูกต้องตรงกับช่วงเวลาที่กล่าวถึง
4. ฝึกพูดในลักษณะแนะนำโดยเลือกหัวข้อที่สนใจ เพื่อฝึกการให้คำอธิบายว่าทำไมนั่นคือวิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำบางเรื่อง มีหลักคิดหรือเหตุผลอะไรอยู่ในนั้น
5. การฝึกข้อ 2-4 ควรมีอุปกรณ์บันทึกเสียงเพื่อนำกลับมาฟังแล้ววิเคราะห์หาจุดบกพร่องที่ต้องปรับปรุง เช่นน้ำเสียงหรือการใช้คำเชื่อม
แบบที่สอง Integrated Speaking question about campus situations ในที่นี้ Integrate หรือบูรณาการ หมายถึงผู้สอบต้องใช้ทักษะมากกว่า 1 อย่างร่วมกันเพื่อทำข้อสอบ โจทย์จะเป็นสถานการณ์สมมติคล้ายกับสิ่งที่มักเกิดขึ้นในการเรียนมหาวิทยาลัย เช่นนักศึกษาพูดคุยกันเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ หรือนักศึกษาสอบถามข้อมูลจากผู้ดูแลห้องสมุด เป็นต้น ผู้สอบจะได้อ่านบทความสั้น ๆ ในหัวข้อหนึ่งแล้วฟังเสียงสนทนาที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้น หลังจากนั้นคำถามจึงปรากฏ มีเวลา 30 วินาทีให้เตรียมตัวและ 60 วินาทีสำหรับการตอบคำถาม
การฝึกฝนเพื่อตอบข้อสอบ
1. ฝึกฝนกับเพื่อนโดยหยิบยกเนื้อหาที่หาได้จากเว็บไซต์จำพวกกองกิจการนักศึกษาของมหาวิทยาลัยในหัวข้อเกี่ยวกับการรับนักศึกษา การเช่าหอพัก กิจกรรมนักศึกษา การลงทะเบียนเรียน การแข่งกีฬา หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นำมาพูดคุยแสดงความคิดเห็นกันในภาษาอังกฤษ
2. ค้นหาบทความกับคลิปวีดีโอที่กล่าวถึงหัวข้อเดียวกัน อาจเป็นการกล่าวถึงคนละมุมมองหรือเป็นไปในแนวทางที่ใกล้เคียงกันก็ได้ จากนั้นตั้งโจทย์แล้วทำเสมือนตอบข้อสอบที่ใช้เวลาพูด 1 นาที คำตอบต้องประกอบด้วยความคิดเห็น เหตุผลสนับสนุนสักสองข้อและรายละเอียดของเหตุผลเหล่านั้น ควรมีเครื่องบันทึกเสียงเพื่อนำกลับมาฟังแล้วแก้ไขจุดบกพร่อง
3. จากข้อ 2 ให้เกลาถ้อยคำและสังเกตน้ำเสียงที่ใช้ พยายามทำให้มันเป็นการนำเสนอที่ดี ลองเรียบเรียงหรือปรับเปลี่ยนบางวลี ออกเสียงให้ชัดถ้อยชัดคำและลื่นไหลเป็นธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการเว้นวรรคโดยไม่จำเป็น เลือกคำเชื่อมให้เหมาะสมและอื่น ๆ ตามเกณฑ์ที่ ETS ใช้พิจารณา
แบบที่สาม Integrated Speaking questions about academic courses เป็นสถานการณ์สมมติเหมือนการเรียนในมหาวิทยาลัย มีสองข้อ คือผู้สอบจะได้อ่านบทความสั้นก่อนตามด้วยฟังการบรรยาย จากนั้นอ่านคำถามแล้วเตรียมตัว 30 วินาทีเพื่อพูดตอบ 60 วินาที อีกข้อหนึ่งคือผู้สอบจะได้ฟังการบรรยาย จากนั้นอ่านคำถามซึ่งถามถึงใจความโดยสรุปของการบรรยาย ผู้สอบมีเวลาเตรียมตัว 20 วินาทีเพื่อพูดตอบ 60 วินาที
คำถามประเภทแรกที่ให้อ่านบทความตามด้วยฟังการบรรยายมักเกี่ยวข้องกับศัพท์เทคนิคหรือกระบวนทัศน์ (concept) ที่พบได้ในเนื้อหาวิชาเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ส่วนคำถามประเภทสองที่ให้ฟังเพียงการบรรยายนั้นมักเริ่มต้นด้วยประเด็นสำคัญหรือกระบวนทัศน์แล้วยกตัวอย่างเพื่อขยายความ มันจึงตรงไปตรงมาสำหรับการสรุปให้กระชับพร้อมกับหยิบยกตัวอย่างจากการบรรยายมาเสริมใจความสำคัญ
ผู้เชี่ยวชาญจาก ETS แนะนำว่า
1. ลองอ่านตำราเรียน (textbook) ภาษาอังกฤษ อ่านเพื่อเพิ่มความคุ้นเคย การสอบนี้ทดสอบทักษะการใช้ภาษา ฉะนั้นผู้สอบไม่จำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานในด้านที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาสำหรับสอบไม่ว่ามันจะมาจากสาขาวิชาใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ จิตวิทยา ธรณีวิทยา ลืมเรื่องความรู้พื้นฐานแล้วเน้นสร้างความคุ้นเคยกับการใช้ภาษาอังกฤษ
2. ผู้สอบจดบันทึกได้ ระหว่างฟังจึงควรจดคำสำคัญหรือแนวคิดตามความเข้าใจ จดในภาษาของตนเอาไว้
3. หากตอบเสร็จแล้วแต่เวลายังไม่หมด 60 วินาที ไม่ต้องพูดซ้ำหรือพยายามพูดให้เต็มเวลา แต่อาจขยายความ แจกแจงรายละเอียดลงไปอีกขั้นหนึ่งหรืออธิบายต่อยอดจากคำตอบได้
4. สร้างความคุ้นเคยเมื่อต้องพูดกับคอมพิวเตอร์ บางคนอาจมีปัญหาไม่สะดวกใจที่ต้องพูดคนเดียวกับคอมพิวเตอร์เนื่องจากเคยชินกับการสนทนากับมนุษย์ที่มีปฏิสัมพันธ์กัน ให้นึกเสียว่ากำลังพูดคุยกับพ่อแม่พี่น้องหรือเพื่อนที่คุ้นเคย มันไม่ต่างกับที่เรากำลังคุยโทรศัพท์ ฉะนั้นทำเสมือนกับกำลังสนทนาจริง ๆ กำลังเล่าเรื่องหรือสรุปใจความสำคัญของบทความให้คู่สนทนาฟัง ขณะที่บางคนอาจรู้สึกเกร็งและกังวลคล้ายเวลาสอบสัมภาษณ์ที่ต้องพบกรรมการ ทว่าปัญหานี้ไม่ยุ่งยากเหมือนปัญหาแรก ขอแค่ระลึกไว้ว่าคอมพิวเตอร์ไม่ตัดสินเราจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็น รวมถึงมันไม่แสดงความคิดเห็นตอบกลับมาหรือ “บูลลี่” คุณแน่ ๆ ทำใจให้สบาย
การฝึกฝนเพื่อตอบข้อสอบ
1. เพิ่มคลังคำ (academic vocabulary) ด้วยการอ่านตำราเรียนภาษาอังกฤษ จดคำศัพท์ไว้และออกเสียงคำศัพท์
2. อ่านข่าวที่เป็นบทความสั้น ๆ แล้วสรุป จากนั้นลองพูดแล้วอัดเสียงของตนเก็บไว้เพื่อฟังแล้วถอดความออกมาแบบคำต่อคำ จากนั้นลองหาวิธีอธิบายใจความแบบเดียวกันนี้ด้วยแนวทางอื่น
3. หาหนังสือเรียนหรือเนื้อหาวิชาในภาษาอังกฤษที่มีแบบฝึกหัดท้ายบท ฝึกอ่านจับใจความแล้วพูดตอบแบบฝึกหัดนั้น เริ่มจากเนื้อหาวิชาที่คุ้นเคยแล้วขยับไปเนื้อหาวิชาอื่น ๆ
4. หากมีครูฝึกก็บันทึกเสียงคำตอบของตนแล้วให้ครูช่วยประเมินตามเกณฑ์ของ ETS (TOEFL Speaking rubrics)
อ้างอิง
Answers to Common Questions for TOEFL® Test Preparation: The Insider’s Guide
The TOEFL iBT ® Test Speaking Rubrics เกณฑ์การให้คะแนนฉบับเปิดเผยสำหรับบุคคลทั่วไป (หมายถึงไม่ใช่ฉบับ “โดยละเอียด” ของ Raters หรือของผู้ให้คะแนน)
TOEFL® Test Preparation: The Insider’s Guide เป็นคอร์สเรียนบนเว็บไซต์ edX แค่สมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ก็สามารถลงทะเบียนเรียน (enroll) ฟรีได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา