15 ต.ค. 2021 เวลา 09:41 • ประวัติศาสตร์
KV-1A (รถถังคลีเมนต์ โวโรชีลอฟ 1)
รถถังในซีรีย์ Kv คันนี้ถูกใช้บ่อยครั้งในบทบาทเชิงรุก และเป็นหัวหอกบุกทะลวงแนวรบข้าศึก และ ถูกเรียกขานตามชื่อของนายคลิเมนต์โวโรชิรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของรัสเซียในขณะนั้นและยังเป็นพื้นฐานรถถังหนักรุ่นต่อมาอีกหลายสิบปี
แนวคิดการสร้างรถถังแบบหลายป้อมปืนของสหภาพโซเวียตค่อยๆเสื่อมลงอย่างช้าๆจนกระทั่งมีความพยายามจะผลิตรถถังแบบใหม่ที่ใช้แทนรถถัง T-35 ที่ล้าสมัยขึ้นในปี 1939 สำนักออกแบบยาน
เกราะหลายๆสำนักได้ส่งแบบแปลนรถถังหลายป้อมปืนให้กองทัพพิจรณาแต่มีเพียงสำนักเดียวที่ส่งแบบแปลนรถถังป้อมปืนเดียวเข้าประกวดโดยตั้งชื่อรถถังคันนี้ตามชื่อของ คลิเมนต์ โรโวชิรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น
รถถังหนักคันนี้จึงถูกสร้างใช้ในสงครามฤดูหนาวที่รบกับฟินแลนในปี 1940
ในรถถังรุ่น KV-1 ได้ถูกสั่งให้ผลิตออกมาและเข้าสู่สมรภูมิ รุ่นแรกคือ KV-1A โดยรุ่นนี้ติดตั้งปืน F-32 ขนาด 76.2 มม.แทนปืนรุ่น L-11 ที่ติดตั้งในรุ่นต้นแบบ
-รูปแบบและการปรับเปลี่ยน
ขณะที่ KV-1 แบบเดิมถูกผลิตมาเพียง 141 คันในปี 1939 และได้ถูกดัดแปลงเป็น KV-2 และผลิตมาเพียง 334 คันเนื่องจากน้ำหนักอันมหาศาลและป้อมปืนที่ใหญ่ที่มีความสูงมากจนตกเป็นเป้าได้ง่าย ในปี 1940 KV-1ได้กลายเป็นกองกำลังรถถังหนักของโซเวียตในปี 1940 KV-1A ได้รับการผลิตออกมามากที่สุด โดยเกราะของมันหนา 37-78 มม.
แม้ว่า KV-1A จะถูกบั่นทอนประสิทธิภาพด้วยปัญหาทางกลไกลตลอดอายุการใช้งาน แต่ก็ทำงานได้ดีพอสำหรับการบุกทะลวงแนวรับ ทำลายที่มั่นต่อตีเป้าหมายหลังแนวรบเพื่อทำลายกองทัพข้าศึกที่ถอยร่น รถถังคันนี้ใช้เครื่องยนต์ V-2K แบบตัววี 12 สูบ ให้กำลังขับเคลื่อน 550 แรงม้า ทำความเร็วได้สูงสุด 35 กม./ชม.รถถัง KV-1A ติดตั้งปืนกล DT ขนาด 7.92 มม. สามกระบอกใช้กระสุนรวม 3,024
นัด โดยหนึ่งกระบอกติดที่ตัวรถกระบอกที่สองเป็นปืนกลร่วมแกนที่ป้อมปืนและกระบอกที่สามบนป้อมปืนหันไปด้านหลังเพื่อป้องกันการจู่โจมจากท้ายรถและในบางคันยังติดตั้งปืน 7.62 มม.ที่ช่องผู้การเพื่อใช้ต่อกรกับทหารราบและเครื่องบินของข้าศึก
-พื้นที่อันคับแคบ
KV-1Aในรุ่นย่อยหลังๆยังคงใช้พลประจำรถเหมือนเริ่มแรกคือ 5 นาย พลขับนั่งด้านหน้าตรงกลางพลปืนนั่งด้านหน้าซ้าย ผู้บังคับรถและพลปืนกับพลปืนหลังนั่งในป้อมปืนจุดด้อยที่สำคัญคือผู้บังคับรถต้องบรรจุกระสุนปืนใหญ่เอง จึงไม่สามารถจดจ่อกับการตรวจการณ์และสั่งการได้ขณะสู้รบ
-เสริมเกราะให้หนาขึ้น
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ดำเนินไปและรถถังเยอรมันได้รับการเสริมประสิทธิภาพ ทั้งเกราะที่หนาขึ้นและปืนใหญ่อานุภาพสูงกว่าเดิม KV-1A จึงถูกปรับปรุงตาม ด้วยการเสริมเกราะ 25-35 มม.ที่ด้านหน้าและข้างในรุ่น KV-1B เปลี่ยนการประกอบป้อมปืนด้วยแผ่นเหล็กยึดมาเป็นหล่อชิ้นเดียวในรุ่น KV-1C ส่วนการเพิ่มอำนาจการยิงในรุ่นต่อมานั้นไม่ประสบความสำเร็จ ความพยามที่จะติดปืนขนาด 107 มม. นั้นล้มเหลวในปี 1943 KV-1 จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ติดปืน DT ขนาด 85 มม. และให้นามเรียกขานใหม่ว่า KV-85 เกราะถูกลดความหนาลงเพื่อให้แล่นได้เร็วขึ้น แต่ KV-1S นี้กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในด้านยุทธการ
-เครื่องยนต์ ที่เปราะบาง
ในช่วงเวลาที่ผลิตระหว่างปี 1939-1943 และเวลาที่ประจำการ จนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 KV-1A และรุ่นแยกย่อยของมันต่างประสบปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้อง KV-1 รุ่นแรกๆ มีปัญหา ที่ระบบเกียร์ และ คลัทช์ บ่อยจนมีหลายครั้งที่เปลี่ยนเกียร์ไม่ได้จนต้องปรับปรุ่งเครื่องยนต์ โดยเพิ่มกำลังเครื่องยนต์อีก 100 แรงม้า
-ปัญหาใหม่ที่เกิดและการนำไปสู่
หลังจากการปรับปรุงเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มกำลังเครื่องยนต์กลับนำไปสู่ปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้องในรูปแบบอื่นอีก และความเทอะทะไม่คล่องตัวนี้เป็นจุดอ่อนที่สำคัญในพื้นที่ทุ่งกว้างใหญ่ของรัสเซียแม้ว่ารถถังหนักตระกูล KV จะมีปัญหาด้าน
เครื่องยนต์ และนักวิจารณ์ต่างใก้ความเห็นว่ามันยังด้อยประสิทธิภาพกว่ารถถังฝ่ายตรงข้าม KV-1 ก็ยังเป็นแบบรถถังที่ดีสำหรับกองทัพแดงในยุคนั้น ที่ถูกใช้ในการทะลวงแนวรบเยอรมันอย่างได้ผลมาตลอด ทั้งยังเป็นพื้นฐานของรถถังสตาลิน ที่มีสมรรถนะสูงในเวลาต่อมา
โฆษณา