16 ต.ค. 2021 เวลา 12:45 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
สรุปหนังสือ The body วิชาร่างกาย101
ตอนที่ 4 สมอง
ลองหลับตาลงแล้วจิตนาการว่า คุณกำลังนั่งอยู่ริมชายหาดจิบเบียร์เย็นๆสักกระป๋อง คุณจะได้ยินเสียงคลื่นซัดฝั่ง เท้าเปลือยเปล่าของคุณรู้สึกทรายเม็ดละเอียด ลมเย็นๆปนอากาศชื้นๆพัดมาโดนตัวของคุณ คุณสามารถจิตนาการและรู้สึกภาพเหล่านี้ได้ทั้งๆที่คุณกำลังไถมือถืออยู่ที่บ้านของคุณ นอกเหนือไปกว่านั้นมนุษยชาติยังสามารถจิตนาการออกไปยังนอกโลกถึงจักรวาลอันไกลโพ้นทั้งๆที่มนุษย์ไม่เคยไปมาก่อน ทั้งหมดนี้คือ พลังของก้อนเต้าหู้ขนาด 1.5 ลิตร ที่เรียกว่า "สมอง"
สมองหนักเพียงแค่ 2% ของน้ำหนักร่างกายแต่ต้องการปริมาณเลือดไปเลี้ยงถึง 20% ของเลือดทั้งหมด ส่วนในทารกต้องการพลังงานมากกว่านั้นอีกหลายเท่า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทารกจึงหลับตลอดเวลาเพราะต้องการประหยัดพลังงานไว้ให้สมองเจริญเติบโต
โดยปกติแล้วสมองจะเผาผลาญพลังงาน 400 แคลอรีในแต่ละวัน ไม่ว่าคุณจะทำกิจกรรมอะไร นั่นหมายความว่ายิ่งคุณใช้พลังงานสมองคิดอะไรหนักๆประสิทธิภาพสมองยิ่งต่ำลง สมองเราจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในการแก้ปัญหายากๆตอนที่สมองอยู่ในช่วงเตรียมพร้อม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเวลาเราให้สมองไปสักพักประสิทธิภาพจะเริ่มต่ำลง (คิดอะไรไม่ออกหัวตื้อ) เมื่อถึงต้อนนั้นคุณควรจะไปพักน่าจะดีกว่า
การเจริญเติมโตของสมองส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วง 2 ปีแรกและจะช้าลงมากๆเมื่อถึงอายุ 5 ขวบ จนเมื่อถึงอายุ 10 ขวบสมองจะเจริญไปแล้ว 95% โดยสมองเจริญเต็มที่จะมีเซลล์ประสาทโดยประมาณ 84,000 ล้านเซลล์ (ไม่ใช่ที่ลุงแถวบ้านบอก 84,000 เซลล์) จนกระทั่งถึงวัยรุ่นตอนต้นๆ สมองคุณจะมีเซลล์ประสาททั้งหมดเท่าที่ร่างกายต้องการ
เราเคยเชื่อว่าความฉลาดขึ้นอยู่กับจำนวนเซลล์ประสาทในสมอง แต่ความเป็นจริงแล้วความฉลาดขึ้นอยู่กับ "การเชื่อมต่อกันของเซลล์ประสาท" โดยคนเราสามารถพัฒนาความฉลาดเราขึ้น โดยทำให้ให้เซลล์ประสาทเชื่อมต่อกัน ซึ่งสามารถทำได้โดย การอ่าน การทำสิ่งใหม่ๆ การแก้โจทย์ปัญหา รวมถึงการออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ใหม่ๆ
ถึงแม้ว่าสมองของวัยรุ่นจะเจริญเติบโตเต็มที่แล้วแต่ว่าการเชื่อมประสานกันระหว่างเซลล์ประสาทจะยังคงไม่สมบูรณ์จนกว่าจะอายุยี่สิบกลางๆ นั่นหมายความว่าพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นในวัยรุ่นจะมากกว่าตอนเป็นผู้ใหญ่ แต่วัยรุ่นก็เรียนรู้อะไรได้เร็วกว่าผู้ใหญ่เช่นกัน
ความจำเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าทึ่งสำหรับสมองมนุษย์ ความจำโดยหลักๆจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเรียกว่าความจำระยะสั้น(short-term memory) และความจำระยะยาว (long-term memory) มีการประมาณการว่าสมองสามารถเก็บความจำได้ถึง 2,000 TB.
ความจำระยะสั้นจะผ่านสมองส่วนที่เรียกว่า Hippocampus โดยความจำระยะสั้นนี้จะทำให้เราทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวันอย่างราบลื่น ถ้าสมองส่วนนี้เสียหาย เราจะลืมไปว่าเรากินข้าวเช้าแล้ว ทั้งๆที่เราพึ่งจะกินไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว และสมองส่วน Hippocampus นี้ยังช่วยจัดการข้อมูลให้ไปอยู่ในความจำระยะยาวผ่านการ "ชำแหละข้อมูล" เป็น ใบหน้า สถานที่ ความรู้สึก สัมผัสต่างๆ ก่อนที่จะไปเก็บไว้ในบริเวณต่างๆของสมองส่วน Cerebrum การเรียกความทรงจำก็คือการเอาข้อมูลต่างๆมาประกอบกันใหม่ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบางทีความจำเราอาจจะแปลกๆไปบ้างเมื่อเวลาผ่านไปนานๆเช่น ทักเพื่อนอีกคนด้วยชื่อเพื่อนอีกคน
การแก้โจทย์คณิตศาสตร์คือผสมรวมความจำระยะสั้นและระยะยาวเข้าด้วยกัน เช่น โจทย์จะอยู่ในความจำระยะสั้น (เดินออกนอกห้องสอบก็ลืมแล้ว) ส่วนทักษะการแก้โจทย์จะอยู่ในความจำระยะยาว (ยิ่งฝึกบ่อยยิ่งเรียกความจำออกมาได้ง่าย) ความจำของเราถูกเก็บไว้อย่างถาวรที่ไหนสักแห่งในสมอง แต่ส่วนมากจะถูกผนึกไว้จนเราจำไม่ได้ในทันที จนกว่าจะไปพบประสบการณ์ที่คุ้นเคยแล้วค่อยนึกออก เช่นความจำในวัยเด็กว่าเคยกินก๊วยเตี๋ยวร้านนี้ เคยมีของเล่นชิ้นนี้
ถ้าคุณ "ขี้เกียจอ่าน" เราจะเล่าย่อยให้เอง
ถ้าคุณอ่านเรื่องย่อนี้แล้วรู้สึก "สนุก" ขอแนะนำให้คุณซื้อหนังสือมาอ่านเลยครับ คุณจะได้ประสบการณ์การอ่านที่ยอดเยี่ยมแน่นอน
Reference
หนังสือ The body วิชาร่างกาย101

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา