26 ต.ค. 2021 เวลา 15:54 • ไลฟ์สไตล์
ของขวัญที่ไม่เคยเปิดจากพ่อ by Saya
เมื่อย้อนระลึกไปในวัยเด็ก พ่อไม่เคยเล่าเรื่องราวอะไรให้ฟังมากมายนัก แม้พ่อจะเป็นคนพูดเก่ง แต่ส่วนมากจะใช้การพูดไปกับสังคมการงาน มิตรสหาย และการทำงานส่วนรวม
น้อยครั้งพ่อจะเล่าเรื่องราวอะไรให้ฟัง และไม่เคยสอนอะไรเป็นพิเศษ
จนไม่นานมานี้ ที่เพิ่งรู้สึกตัวว่า ทำไมพ่อไม่เคยพูดอะไรเลย ที่เราจะนำไปใช้ในชีวิตเป็นแนวทาง เมื่อถึงวันที่ต้องใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ย้อนไปแล้ว ความทรงจำดูเหมือนเศษแก้วที่กระจัดกระจายไม่เป็นชิ้น
และล่าสุด เพิ่งคิดได้ว่า เคยเห็นพ่อถ่ายรูปกับป้ายอันหนึ่ง ซึ่งก็ไม่เคยสนใจมาก่อน แต่ในเมื่อโลกทุกวันนี้มีข้อมูลมากมาย ทำไมเราไม่ลองหาร่องรอยจากภาพ ๆ นี้ดู
ป้ายนั้นเขียนว่า The Ordnance Training Command เดิมก็รู้แค่ว่า พ่อเคยไปเรียนที่นี่ แต่ไม่ได้สนใจ จึงลองไปค้นเรื่องราวดู ก็พบว่า หลายสิ่งที่ได้รู้จักพ่อ และพ่อได้นำเข้ามาในชีวิตตอนเด็ก ๆ น่าจะมีรากฐานมาจากสถานที่แห่งนี้ ซึ่งมีผลต่อการใช้ชีวิต ทัศนคติของพ่อตลอดมา
ภาพสถาบันที่พ่อไปเรียน
ตั้งแต่เด็กมาจนทุกวันนี้ รู้สึกตัวเองว่ามีทัศนคติไม่ค่อยเหมือนคนอื่น คุณตาเคยบอกว่า เราเหมือนคนอเมริกันมากกว่าคนไทย เมื่อมาคิดดูแล้ว เป็นไปได้ว่า พ่อซึ่งได้ไปเรียนที่รัฐแมรี่แลนด์ในสมัยนั้น เมื่อกลับมา ได้เลี้ยงดูลูกแบบชาวต่างประเทศ ที่ให้อิสระในการแสดงออก ไม่ครอบงำสิ่งใด สื่อสารตรงไปตรงมา และไม่เคยสอนให้รู้สึกไม่เท่าเทียมกับใครในสิทธิต่าง ๆ พ่ออาจไม่ตั้งใจเช่นนั้นก็จริง แต่ด้วยสิ่งแวดล้อมที่ได้พบ ทำให้เป็นแนวทางในการสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้ลูก
มาแกะรอยโรงเรียนที่ว่า จากหนังสืออนุสรณ์เก่า ๆ ที่ประกาศขายในเว็บ สถานที่แห่งนั้นเป็นศูนย์ฝึกอาวุธยุทโธปกรณ์ของทหารสหรัฐสมัยก่อน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์
เมื่อเข้าไปดูภาพต่าง ๆ จะเห็นว่า นี่คือเส้นทางที่พ่อถูกอบรมมา
จากความทรงจำที่กระจัดกระจาย มีอะไรบ้างที่ พ่อได้นำมาใช้ นอกจากการเป็นนักรักบี้ที่สามารถ และนักวิ่งมาราธอน ซึ่งก็คงมาจากการเล่นกีฬาที่สถานศึกษาแห่งนี้
สิ่งที่ต่างจากคนอื่นคือ อาหารบำรุงที่พ่อจัดหามาให้อย่างมากมาย ซึ่งมาอ่านสรรพคุณแล้วล้วนช่วยให้เกิดความแข็งแรงต่อเซลล์ จึงทำให้มองเห็นว่า ทำไมเมื่อเราเติบโตขึ้น ร่างกายจะค่อนข้างแข็งแรง เลือดไม่มีปัญหาพวกไขมัน หรือ ค่าต่าง ๆ ที่ผิดปกติ แม้จะมีน้ำหนักตัวมาก ซึ่งหมอเคยบอกว่า เป็นเพราะเซลล์ที่ดี ซึ่งก็คงมาจากอาหารเสริม และยาพวกนี้เอง แต่ละยี่ห้อล้วนมีขายในต่างประเทศ ซึ่งบางอย่างในไทยก็ไม่ค่อยได้ยินชื่อแล้ว ได้แก่ วอเตอร์เบอรี่ คอมพาวด์, เฟอราดอน, น้ำมันตับปลาสกอต, ไกร์ฟวอเตอร์
ตอนเด็ก พ่อจะชอบพาไปกินไอติม ซึ่งสมัยนั้นมีตราเป็ด หากเป็นร้านก็ พบเกาะเย็นที่ราชวัตร หรือ กินรีนาวา รวมทั้งไอศกรีมไข่แข็ง ที่ตลาดนางเลิ้ง และชอบซื้อ หมูหยอง หมูแผ่นมาให้กิน
เป็นของว่างแทนขนมเวลานั่งรถกลับบ้าน
เมื่ออ่านเรื่องราวสมัยนั้น เพื่อนพ่อได้เขียนเล่าว่า พ่อและเพื่อนคนไทย จะทำอาหารเลี้ยงโฮสต์ทุกอาทิตย์ โดยทำอาหารไทยง่าย ๆ ในชีวิตของพ่อ จึงมักจะทำอาหารสองสามอย่างให้กินเสมอ ได้แก่ ต้มจับฉ่าย ปลาโอต้มเค็ม ซึ่งมาคิดดูแล้ว น่าจะเป็นเมนูที่พ่อเคยทำตอนที่เรียนในต่างประเทศ และมันก็เป็นของมีประโยชน์ด้วย
ภาพพ่อ จะคล้ายกับสไตล์ภาพทหารในหนังสือนั้น
แม้จะแกะรอยความเป็นพ่อได้เพียงเท่านี้ แต่ก็ยังทำให้เข้าใจในความปรารถนาดีที่พ่อพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุด ตามประสบการณ์ที่พ่อได้รับมาให้กับลูก
สิ่งเหล่านี้อาจผ่านเลยไป หากเราไม่ฉุกคิดถึงความเป็นมาของมัน นอกจากเรื่องของกิน และการใช้ชีวิตแบบทหารแล้ว ในด้านการเรียน พ่อไม่เคยบังคับหรือเน้นว่าจะต้องสอบให้ได้ที่เท่าไหร่อย่างไร พ่อเพียงแต่เคยให้นายสิบซึ่งเรียนมาทางวาดภาพมาสอนวาดรูปตอนเริ่มเข้า ร.ร. เพียงครั้งเดียว และไม่เคยสอนวิชาอะไรให้อีกเลย ทั้ง ๆ ที่พ่อเก่งคณิต และวิทยาศาสตร์มาก ซึ่งย้อนไปแล้วก็ต้องขอบคุณ ที่พ่อให้อิสระในการเติบโต มาเป็นตัวของตัวเอง ที่ไม่มีอิทธิพลจากสิ่งใดมากำหนด สิ่งเดียวที่พ่อปลูกฝังคือ การเลี้ยงสัตว์หลายชนิด เป็นสัตว์เลี้ยง ทำให้มีจิตใจเมตตา และรับผิดชอบต่อชีวิตอื่น ๆ ส่วนพ่อเอง เลี้ยงม้าสามตัวในช่วงที่เราเกิดมา ภาพจำของม้าช่างสวยงาม และประทับใจอย่างยิ่ง
ในด้านสังคมคือ พ่อจะพาไปเยี่ยมบ้านคนอื่น หรือมีเพื่อนของพ่อมาเยี่ยมที่บ้านเป็นประจำ และเราต้องเล่นดนตรีให้แขกฟัง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีฝีมืออะไรเลย แค่เป็นการหัดให้ต้อนรับแขกและเข้าสังคม พ่อจะจัดงานสังสรรค์ งานสนุกสนานมีกิจกรรมต่าง ๆ เป็นประจำ ซึ่งเราก็รับเอาความชอบพวกนั้นมาอย่างง่ายดาย ส่วนการทำบุญ รวมญาติ พ่อก็จะมีทุกปี และพาพวกเราไปร่วม เป็นการแสดงถึงการให้ความสำคัญต่อบรรพบุรุษ และเครือญาติ ซึ่งมีมากมาย
เชื่อว่า หากทุกคนลองแกะรอยของบรรพบุรุษดู ก็จะเห็นว่า สิ่งที่สอดแทรกเข้ามาในชีวิตและก่อเกิดเป็นตัวเรา เป็นทัศนคติ และการใช้ชีวิตของเรา จริง ๆ แล้วก็มาจาก สิ่งที่ท่านเหล่านั้นเป็นมานั่นเอง ทุกคนจึงต่างกัน อยู่ที่ว่า บรรพบุรุษของเราให้คุณค่าต่อสิ่งใด และเราคงได้ถ่ายทอดต่อไปยังผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
เมื่อเปิดของขวัญของพ่อที่ไม่มีตัวตนปรากฏขึ้นมาในวันนี้ รู้สึกว่า มันมีค่ายิ่งนัก เพราะไม่สูญหายไปตามกาลเวลา แต่คงอยู่ในจิตวิญญาณของเราตลอดมา ลองหาดูแล้วมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา