4 พ.ย. 2021 เวลา 03:18 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Measure of Control, Illusion of choice and Cookies
พวกเครื่องจักรควบคุมมวลมนุษย์ไว้ได้โดยสมบูรณ์มานานนับศตวรรษแล้ว ภาพรวมของการควบคุมนี้เห็นได้ชัดจากคำพูดของสถาปนิกระหว่างสนทนากับนีโอ
“หน้าที่ผู้ปลดปล่อยตอนนี้ก็คือกลับไปยังแหล่งก่อน ยินยอมให้รหัสที่คุณถือไว้แพร่กระจายชั่วคราวโดยสอดโปรแกรมหลักเข้าไป หลังจากนั้นคุณจะถูกขอให้เลือกมนุษย์ 23 คน หญิง 16 คน ชาย 7 คนจากเมทริกซ์เพื่อสร้างไซออนใหม่ การไม่ร่วมมือกับกระบวนการนี้จะก่อหายนะ ส่งผลให้ทุกคนที่เชื่อมต่อกับเมทริกซ์ตายเนื่องจากระบบ (เมทริกซ์) ล่ม ซึ่งเมื่อรวมกับการฆ่าล้างไซออนจะมีผลท้ายสุดคือการสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยสิ้นเชิง”
การควบคุมนี้ช่วยรักษาเสถียรภาพของเมทริกซ์และจำกัดจำนวนประชากรของไซออน ทุกครั้งที่ผู้ปลดปล่อยกลับมาพบสถาปนิก พวกเขาจะได้รับรู้ความจริงนี้ เซนติเนลพร้อมจะสังหารหมู่ผู้คนในไซออนและผู้ปลดปล่อยเหลือทางเลือกคือยอมทำตามที่สถาปนิกบอกหรือปฏิเสธ ซึ่งห้าคนก่อนหน้านีโอเลือกกลับไปยังแหล่งเพื่อไม่ให้มนุษย์สูญพันธุ์
สาเหตุที่พวกเขาเลือกเช่นนั้นก็มาจากการควบคุมด้วยเช่นกัน ดังที่เขากล่าวว่า “บรรพบุรุษ 5 คนก่อนนั้นอ่าน (ใจ) ได้ง่าย พวกเขาถูกออกแบบให้ผูกพันกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งเอื้อต่อหน้าที่ของผู้ปลดปล่อย” (Your five predecessors were, by design, based on a similar predication: a contingent affirmation that was meant to create a profound attachment to the rest of your species, facilitating the function of the One.)
ดูเหมือนผู้ปลดปล่อยรุ่นก่อน ๆ จะถูก “ปลูกฝัง” ความรักและเห็นอกเห็นใจในเพื่อนมนุษย์ลงไป ณ จุดใดจุดหนึ่งก่อนที่เขาจะเข้าพบสถาปนิก ซึ่งเป็นกลไกควบคุมอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับวงรอบการใช้ชีวิตของผู้ปลดปล่อย ตั้งแต่เกิดและเติบโตขึ้นในเมทริกซ์ ถูกระบุตัว หนีออกสู่โลกความเป็นจริง จากนั้นกลับสู่เมทริกซ์แล้วเข้าพบสถาปนิกเพื่อกลับสู่แหล่ง เส้นทางนี้มีการออกแบบไว้ล่วงหน้าแล้ว
แหม คิด ๆ ดูผมก็อยากใช้คำว่า “วงจรชีวิต” เหมือนกันนะ แต่ว่าผู้ปลดปล่อยก็ไม่ใช่หนอนผีเสื้อที่ออกจากไข่ ลอกคราบ เข้าดักแด้แล้วเปลี่ยนร่างออกมาสวยงามจากนั้นผสมพันธุ์แล้ววางไข่ หากมองอย่างสิ้นหวังผู้ปลดปล่อยดูเหมือนหมูหรือวัวที่รอวันถูกส่งเข้าโรงเชือดเสียมากกว่า ทว่าเมื่อเรามองภาพรวมของเมทริกซ์อย่างโปรแกรม ผู้ปลดปล่อยที่กลับไปยังแหล่งก็คือข้อมูลป้อนกลับ (feedback) ของระบบนั่นเอง
คำถามคือความรักและเห็นอกเห็นใจนั้นเกิดขึ้นเมื่อไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร ? การได้พบเห็นชะตากรรมของมนุษย์ในไซออนเปรียบเทียบกับมนุษย์ในโถที่ทุ่งตัวอ่อนเป็นตัวกระตุ้นที่เพียงพอหรือไม่เพื่อให้ผู้ปลดปล่อยอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ พวกเครื่องจักรไม่มีทางปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามยถากรรมอย่างเด็ดขาด มันชอบความแน่นอน ถูกต้องแม่นยำ ฉะนั้นกลไกควบคุมที่มีบทบาทตรงนี้จึงปรากฏตัวขึ้น
เทพพยากรณ์
หล่อนเป็นผู้เผยแพร่คำทำนายเรื่องผู้ปลดปล่อย สังเกตว่าเรื่องราวที่กลุ่มต่อต้านทำเกี่ยวข้องกับเมทริกซ์จะต้องมีการติดต่อหรือปรึกษากับเทพพยากรณ์ด้วยเสมอ และหลังผู้ปลดปล่อยออกจากเมทริกซ์แล้วหล่อนก็เป็นผู้ชี้ทางให้ผู้ปลดปล่อยไปพบสถาปนิกและกลับสู่แหล่งโดยอาศัยช่างทำกุญแจ ซึ่งนั่นสอดคล้องกับคำอธิบายเรื่องโปรแกรมของเทพพยากรณ์ในภาคสองที่ว่า เมื่อโปรแกรมจะถูกลบทิ้งมันมีทางเลือกคือลี้ภัยเช่นซ่อนในที่ ๆ มันเคยอยู่หรือกลับไปยังแหล่งกำเนิด และสาเหตุที่โปรแกรมต้องถูกลบทิ้งก็เพราะมันชำรุด มีความบกพร่องหรือมีการเขียนโปรแกรมที่ดีกว่าขึ้นมาใหม่
นัยยะของโปรแกรมนั้นย่อมหมายรวมถึงผู้ปลดปล่อยด้วย ดังที่สถาปนิกเคยกล่าวกับนีโอไว้ว่าชีวิตของนีโอคือผลรวมความวิปริต (ของระบบ) อันเป็นผลพวงจากสมการของเมทริกซ์ที่เขาพยายามขจัดออกแต่ทำไม่ได้ (Your life is the sum of a remainder of an unbalanced equation inherent to the programming of the matrix. You are the eventuality of an anomaly, which despite my sincerest efforts I have been unable to eliminate from what is otherwise a harmony of mathematical precision.) ในเมื่อขจัดไม่ได้จึงสร้างกลไกควบคุมขึ้นเพื่อกำหนดว่าผู้ปลดปล่อยต้องอยู่ตรงไหนของระบบ
เราจึงอนุมานได้ว่าชีวิตของนีโอหรือโปรแกรมผู้ปลดปล่อยเป็น “มวลรวมความบกพร่องของเมทริกซ์” ผู้ปลดปล่อยจึงเหลือทางเลือกว่าจะซ่อนตัว (อยู่ในไซออนหรือที่ไหนสักแห่ง) หรือกลับสู่แหล่ง แต่ไซออนก็ถูกกองกำลังเซนติเนลที่กำลังรบเหนือกว่าไซออนบุกโจมตีจนยากจะอยู่รอด ฉะนั้นผู้ปลดปล่อยจึงถูกบังคับกลาย ๆ ให้กลับสู่แหล่งแม้ว่าท้ายที่สุดตนจะถูกลบทิ้งเพื่อคืนเสถียรภาพให้เมทริกซ์ก็ตาม
ขอแวะออกนอกเรื่องสักนิด นี่ทำให้ผมนึกถึง Star Wars ในแง่นำสมดุลกลับคืนสู่พลัง เพียงแต่ในหนัง ดิ เมทริกซ์ ผู้ปลดปล่อยถือกำเนิดขึ้นเพื่อถูกลบทิ้ง สมดุล (ของสมการ ?) จะได้กลับคืนสู่เมทริกซ์จนกว่าจะมีผู้ปลดปล่อยคนต่อไป
แม้เส้นทางทั้งหมดถูกสร้างและวางแผนมาอย่างรัดกุมแล้ว แต่ถ้าผู้ปลดปล่อยไม่คิดและเข้าใจตามที่เทพพยากรณ์กับสถาปนิกวางแผนไว้ผลลัพธ์ก็จะผิดเพี้ยนไป ดังที่เทพพยากรณ์ได้เตือนสตินีโอในภาคสองเมื่อสนทนากันว่า หากนีโอปฏิเสธไม่ทำความเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ไซออนจะพินาศ ถึงกระนั้นจะเป็นอย่างไรหากผู้ปลดปล่อยไม่ยินยอมกลับสู่แหล่งหลังพบสถาปนิก ? ทั้งสถาปนิกและเทพพยากรณ์ย่อมทราบดีว่าปัญหานี้อาจเกิดขึ้นหากผู้ปลดปล่อยไม่ได้รักและเห็นอกเห็นใจมนุษย์มากพอ แล้วระบบควบคุมจัดการกับปัญหา “รักไม่มากพอ” ที่อาจเกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร ?
คุ้กกี้
ในหนังภาคแรกเทพพยากรณ์ให้นีโอกินคุ้กกี้ชิ้นหนึ่ง อาหารในเมทริกซ์ก็เป็นโปรแกรมอย่างหนึ่งและมันส่งผลต่อผู้รับประทานได้ เหมือนกับที่ในภาคสองเมโรวินเจียนส่งเค้กให้หญิงสาวคนหนึ่งทานแล้วนีโอก็เห็นรหัสนั้นทำงานในตัวของหล่อน เทพพยากรณ์เองก็กินลูกกวาดและยื่นมันให้นีโอเม็ดหนึ่งซึ่งน่าจะเป็น patch (โปรแกรมเสริมเพื่อปรับปรุงข้อมูล) สำหรับป้องกันการครอบงำของสมิธ นอกจากนี้ในภาคสาม (ขอสปอยเล็กน้อย) ขณะที่เทพพยากรณ์ให้เด็กหญิงชื่อซาทีช่วยทำคุ้กกี้ เธอก็สอนเด็กหญิงว่า
“คุ้กกี้ต้องการความรัก”
ฉะนั้นคุ้กกี้ที่เทพพยากรณ์อบเสร็จใหม่ ๆ แล้วมอบให้นีโอกินอาจเป็น “โปรแกรมความรักและเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์” ที่เทพพยากรณ์เขียนขึ้นเพื่อปลูกฝังลงในตัวนีโอ อย่างไรก็ตามนั่นเป็นสมมติฐานบนพื้นฐานที่ว่าการอบคุ้กกี้เพื่อมอบให้ผู้ปลดปล่อยคือสิ่งที่เทพพยากรณ์ทำเหมือน ๆ กับการพบปะกับผู้ปลดปล่อยคนก่อน ๆ ข้อเท็จจริงจากภาพยนตร์คือเราไม่อาจรู้ว่าเทพพยากรณ์ทำอย่างไรกับผู้ปลดปล่อยคนก่อนหน้านี้บ้าง และคุ้กกี้ที่นีโอกินคือโปรแกรมอะไรกันแน่
ส่วนตัวผมมีสมมติฐานเรื่องคุกกี้ที่ต่างออกไปดังนี้ คุ้กกี้เป็นโปรแกรม “ยื้อชีวิต/ชนะกระสุน” ในภาคแรกนีโอถูกสมิธยิงรัว ๆ แล้วล้มลง สัญญาณชีพทุกอย่างหยุดนิ่งแต่แล้วเขาก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในเมทริกซ์ จากนั้นมีความสามารถพิเศษหลายอย่างแต่หนึ่งในนั้นคือหยุดกระสุนได้ น่าแปลกที่นีโอไม่มีปัญหากับหัวกระสุนฝังในหลังจากฟื้นคืนชีพ ส่วนในภาคสองตอนช่วยทรินิตี้ นีโอล้วงมือเข้าไปหยิบหัวกระสุนออกจากร่างเธอ ผมจึงมองว่าคุ้กกี้กับความสามารถของนีโอที่ทำกับกระสุนอาจเกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง
นอกจากนี้บางคนก็ตั้งสมมติฐานว่าคุ้กกี้คือชีวิตที่สองของนีโอแต่จะทำงานเมื่อชีวิตแรกตาย เหมือนเวลาเราเล่นเกมที่ตัวละครในบังคับของเรามีหลายชีวิต ส่วนอีกสมมติฐานหนึ่งกล่าวว่าคุ้กกี้คือผลรวมค่าผิดปกติที่เทพพยากรณ์ให้นีโอกินเพื่อเปลี่ยนจากคนธรรมดากลายเป็นผู้ปลดปล่อย ไม่น่าเชื่อว่าคุ้กกี้อันเดียวที่เทพพยากรณ์ให้นีโอกินจะกลายเป็นประเด็นชวนให้คิดและอภิปรายต่อยอดได้มากขนาดนี้ นี่คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของภาพยนตร์ไตรภาค ดิ เมทริกซ์ ฉะนั้นก็อยู่ที่คุณแล้วล่ะว่าจะเชื่อที่คนอื่นวิเคราะห์หรือตั้งสมมติฐานอะไรขึ้นมาเพิ่ม
ทว่าผู้ปลดปล่อยคนที่หกอย่างนีโอนี้ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ เทพพยากรณ์จงใจเบี่ยงเบนนีโอจากเส้นทางที่กำหนดไว้ จากความรักในเพื่อนมนุษย์กลายเป็นความรักส่วนตัวแบบหญิงชาย หล่อนโปรแกรมเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าด้วยคำพยากรณ์ที่บอกกับทรินิตี้ว่าเธอจะหลงรักผู้ปลดปล่อย แล้วท้ายที่สุดทรินิตี้ก็รักนีโอ และนีโอก็เลือกหนทางที่แตกต่างจากผู้ปลดปล่อยคนก่อน ๆ นั่นคือเลือกทรินิตี้แล้วกลับสู่เมทริกซ์แทนที่จะไปยังแหล่ง ประจวบเหมาะกับโปรแกรมสมิธกำลังขยายตัวและเป็นปัญหาใหญ่ในเมทริกซ์ นีโอจึงกลายเป็นตัวแปรเดียวที่รู้เรื่องทั้งหมดและอยู่บนโลกภายนอก เทพพยากรณ์อาจคิดเรื่องนี้ถี่ถ้วนแล้ว ดูเหมือนเธอต้องการจบเส้นทางของผู้ปลดปล่อยพร้อม ๆ กับแก้ปัญหาของโปรแกรมสมิธไปด้วยกัน
เหตุการณ์ทั้งหมดจึงเป็นไปตามที่เมโรวินเจียนเคยกล่าวไว้เมื่อมอร์เฟียสและพรรคพวกไปพบในร้านอาหาร เขากล่าวว่าความจริงสากลมีเพียงหนึ่งเดียวคือ Causality หมายถึงทุกสิ่งเกิดจากเหตุ เมื่อมีการกระทำจึงเกิดปฏิกิริยาขึ้นสนองตอบ (You see there is only one constant. One universal. It is the only truth. Causality. Action, reaction. Cause and effect.)
มอร์เฟียสแย้งว่าทุกสิ่งเริ่มต้นด้วยทางเลือก ทว่าเมโรวินเจียนก็โต้ตอบอย่างฉะฉานว่าทางเลือกคือภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นคั่นกลางระหว่างผู้เรืองอำนาจกับผู้ไร้อำนาจ (Choice is an illusion created between those with power and those without.)
อำนาจของสถาปนิกและเทพพยากรณ์ช่างน่าสะพรึงกลัว มันแทรกซึมเข้าครอบงำทั้งในและนอกเมทริกซ์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทุกสิ่งที่มนุษย์คิดและทำอยู่ในความคาดหมายและการควบคุมของเครื่องจักร ทว่าอำนาจนั้นกำลังถูกท้าทาย โปรแกรมสมิธตนหนึ่งกลับหลุดออกจากเมทริกซ์ได้ขณะที่พรรคพวกของมันแพร่เชื้อใส่โปรแกรมอื่นไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้งโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์หรืออำนาจอะไรทั้งสิ้น ทุกการกระทำของมันเป็นไปเพื่อต้องการผลลัพธ์เพียงสิ่งเดียว
“ไปมีเสรี”
หรืออำนาจที่ว่านั้นจะสลายไปเหมือนภาพลวงตา เชื้อร้ายสมิธอาจชนะและบ่อนทำลายทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น โปรดติดตามในบทความต่อไปที่ผมจะเล่าเรื่องของ The Matrix Revolutions (2003)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา