5 พ.ย. 2021 เวลา 03:53 • หนังสือ
✴️ บทที่ 3️⃣ กลับมาเกิด (ตอนที่ 4)
◾ กฎแห่งกรรมและบทเรียน ◾
เรามีหนี้สินที่ต้องชำระ หากเราไม่ชำระหนี้ ทั้งหมดก็ต้องนำติดตัวไปต่อในชาติหน้า...เพื่อเราจะได้แก้ไขหนี้เหล่านั้นให้หมดสิ้น เจ้าก้าวหน้าได้ก็ด้วยการชำระหนี้ชีวิต บางดวงวิญญาณก้าวหน้าได้เร็วกว่าดวงอื่น หากมีบางอย่างมาขัดขวางความสามารถของเจ้า...เพื่อจะชำระหนี้นั้น เจ้าก็ต้องกลับไปยังระนาบที่สามารถจำเรื่องราวได้ ที่นั่นเจ้าต้องรอจนกว่าดวงวิญญาณที่เจ้าค้างหนี้เขาอยู่ได้มาพบเจ้า เมื่อเจ้าทั้งสองสามารถกลับมาเกิดในรูปสังขารได้พร้อมกันจึงจะอนุญาตให้กลับมาเกิดได้... แต่ยามนี้ เจ้าตั้งใจกลับมา เจ้าตั้งใจมั่นคงแล้วว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะใช้หนี้คืนได้ มีเวลาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ...ที่จะเติมเต็มข้อตกลงทุกประการ และหนี้ค้างชำระทั้งปวงให้เสร็จสิ้น.
ผมยังรู้ว่ามีระนาบอื่น ๆ อีกมากมายไม่รู้จักหมดสิ้น แต่ระนาบนี้ที่ว่าด้วย “หนี้ชีวิตที่ต้องชำระ” สะท้อนหลักความคิดเรื่องกรรมชัดเจน
‘กรรม’ คือ #โอกาสที่ให้เราได้เรียนรู้_ให้เราได้ฝึกฝนความรักและการรู้จักให้อภัย
‘กรรม’ คือ #โอกาสให้เราได้ชดเชยแก้ไขสิ่งที่ทำพลาด เพื่อล้างชีวิตให้สะอาด เพื่อทำความดีทดแทนให้แก่ผู้ที่เราเคยทำผิดต่อเขาหรือทำร้ายเขามาก่อนในอดีตที่แล้วมา
กรรมไม่ได้เป็นหลักการที่มาจากตะวันออกเท่านั้น แต่เป็นแนวคิดของสากลโลกที่บรรจุอยู่ในศาสนาที่ยิ่งใหญ่ทุกศาสนาเลยครับ (ลองดูในภาคผนวก ก. “คุณค่าทางจิตวิญญาณร่วมกันระหว่างศาสนา” หัวข้อ “ความรับผิดชอบต่อการกระทำของตน”) ในไบเบิลเขียนไว้ว่า “หว่านพืชเช่นไร ได้ผลเช่นนั้น” ทุกความคิด ทุกการกระทำหนีไม่พ้นที่จะเกิดผลตามมา เราเป็นคนรับผิดชอบเต็มที่ต่อการกระทำของตัวเอง
วิถีที่ตรงที่สุดที่ส่งให้เรามาเกิดในเชื้อชาติใดหรือศาสนาใด ที่ให้ต้องมาเป็นกลุ่มชนที่โดนอคติโดนต่อต้าน ก็เพราะความเกลียดชังเป็นเสมือนรถไฟสายด่วนพิเศษที่ส่งคุณมาเกิดในเชื้อชาตินี้ เพราะบางทีดวงวิญญาณจะเรียนรู้จักความรักได้ก็ด้วยการเกิดมาเป็นสิ่งที่เราเคยชั่งน้ำหน้าเป็นที่สุดนั่นเอง
🛑 สำคัญมากจริง ๆ ที่เราต้องจำไว้ว่า ‘กรรม’ คือ #การเรียนรู้_ไม่ใช่การลงโทษแม้แต่น้อย
ทั้งพ่อแม่ของเราและคนอื่นที่เราปฏิสัมพันธ์ด้วย เขาก็มีจิตอิสระหรือ 𝗳𝗿𝗲𝗲𝘄𝗶𝗹𝗹 ติดตัวมา พวกเขาจะเลือกรักและช่วยเหลือเราก็ได้ หรือจะเลือกเกลียดและทำร้ายเราก็ได้เหมือนกัน การเลือกของเขาไม่ใช่กรรมของเราเลย #ทางที่พวกเขาเลือกเป็นผลจากการใช้จิตอิสระมาสร้างชีวิต พวกเขาเหล่านั้นต่างก็กำลังเรียนรู้อยู่เช่นกัน
หลายครั้งที่ดวงวิญญาณจะเลือกเกิดในชีวิตที่ต้องเจอเรื่องหนักหนามากเพื่อจะเร่งพัฒนาดวงจิตเร็ว ๆ หรือเลือกทางที่ต้องยื่นมือไปรัก ไปช่วยเหลือ ไปนำทางหรือไปดูแลผู้อื่นที่ผ่านชีวิตทุกข์ยากคล้าย ๆ กัน ชีวิตที่ทุกข์เหลือเกินไม่ใช่การลงโทษเลยครับ #แต่เป็นโอกาสต่างหาก
ที่มนุษย์เลือกเกิดมาสลับเชื้อชาติ ศาสนา สลับเพศ และสถานะเงินทองก็เพราะจะต้องเรียนรู้ให้ทั่วทุกด้าน เราต้องประสบกับทุกเรื่องราวให้ถ้วนทั่ว กรรมคือความยุติธรรมสูงสุด ไม่มีสิ่งใดหลุดรอดหรือปล่อยพลาดไปได้ #ในกระบวนการเรียนรู้ของเรา
💟 แต่...ความรักความเมตตาหักล้างกรรมได้ครับ จิตใจที่รักและเมตตาคือการหักล้างอันประเสริฐสูงส่งยิ่ง คือมืออันเปี่ยมด้วยรักที่ส่งมาจากเบื้องบนสวรรค์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ และปลดวางขื่อคาแห่งภาระจากตัวทุกข์ที่เราแบกอยู่ลงได้ แค่เราได้เข้าใจบทเรียนของเราแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไปแม้ว่าหนี้ทั้งหลายยังชำระไม่ครบก็ตาม 💟
#เรามาเกิดบนโลกเพื่อจะเรียนรู้ไม่ใช่ทนทรมาน
. . .
เอลิซาเบธ คูเบลอร์-รอสส์ เป็นแพทย์หญิงและนักเขียนที่โด่งดังไปทั่วโลก ผลงานการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับความตายและประสบการณ์ฟื้นจากความ ตาย (𝗡𝗗𝗘) ที่เธอเป็นผู้บุกเบิก ช่วยเปลี่ยนแปลงความรู้ความเข้าใจเรื่องความตายของคนปัจจุบันอย่างมาก เธอเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังเอง
เอลิซาเบธเกิดมาเป็นแฝด 𝟯 ที่น้ำหนักน้อยเกินปกติมาก คุณหมอบอกกับแม่ของพวกเธอว่าลูก 𝟮 คนอาจไม่รอด แต่แม่ของเอลิซาเบธเป็นผู้หญิงที่มีพลังใจเข้มแข็งและกล้าหาญอย่างหาได้ยาก ผู้หญิงที่พร้อมจะให้ผู้อื่นได้ทุกอย่างและปฏิเสธไม่ยอมรับการตอบแทนใด ๆ จากใครเลย ผู้หญิงหนึ่งคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีและยืนบนสองขาของตัวเองโดยไม่พึ่งใคร ปฏิญาณว่าลูกสาวจะต้องรอดทั้ง 𝟯 คน เธอเฝ้าพยาบาลลูกเกือบ 𝟭 ปีเต็ม นอนกกลูก ๆ กับอกแม่ตลอดเพื่อให้ตัวลูกอุ่น เหมือนที่เรามีตู้อบทารกแรกเกิด ในปัจจุบันนี้ลูกทั้ง 𝟯 คนเลี้ยงรอดและเติบโตแข็งแรงหมดเลย
ตอนที่เอลิซาเบธเป็นอาจารย์พิเศษสาขาจิตเวชให้มหาวิทยาลัยชิคาโก เธอไปเยี่ยมแม่ที่สวิตเซอร์แลนด์บ้านเกิด แม่ออกปากขอร้องเรื่องที่ไม่น่าขอกับเธอว่า
“เอลิซาเบธ ถ้าแม่เกิดป่วยเป็นสภาพเจ้าหญิงนิทรา แม่อยากให้ลูกฉีดยาให้แม่พ้น ๆ ทุกข์ไปเลยนะ”
เอลิซาเบธรีบตอบ “หนูทำไม่ได้หรอกค่ะคุณแม่”
“ต้องทำได้สิ” แม่เธอยืนยัน “หนูเป็นลูกคนเดียวที่เป็นหมอ ลูกให้ยาแม่ได้นี่”
“ไม่เอานะคุณแม่ หนูไม่ยอม❗” เอลิซาเบธย้ำคำเดิม “ทุกคนรักคุณแม่กันทั้งนั้น คุณแม่แข็งแรงจะตาย ยังเดินป่าปีนเขาอยู่เลยนี่คะ คุณแม่จะกระชุ่มกระชวยยังงี้ไปจนอายุเก้าสิบกว่าสบายมากเลย” เอลิซาเบธดีดนิ้ว
แพทย์หญิงไม่ยอมคุยเรื่องช่วยคุณแม่ฆ่าตัวตายอีก แล้วเธอก็บินกลับชิคาโก
อีกเดือนกว่าหลังจากการเยี่ยมครั้งนั้น คุณแม่ของเอลิซาเบธล้มฟาด ต้องเป็นอัมพาตหมดทั้งตัว แต่สมองยังมีสติแจ่มใสทุกอย่าง ผู้หญิงซึ่งหยิ่งในศักดิ์ศรีและไม่พึ่งพาใครต้องกลายมาเป็นคนที่จำใจรอให้คนอื่นมาช่วยทำทุกอย่างให้เสียแล้ว
“ฉันรู้แล้วว่าจากนี้ไปจะฟังคำสั่งเสียของคนอื่น” เอลิซาเบธบอกผมอย่างนี้
คุณแม่ของเธออยู่ได้อีก 𝟰 ปี โดยที่ร่างกายไม่ฟื้นตัวอีกเลย แล้วก็เสียชีวิต เอลิซาเบธโกรธพระเจ้ามาก
เพราะต้องทำงานรักษาเด็ก ๆ ที่กำลังจะตาย ได้เห็นรูปวาดน่าอัศจรรย์ใจของพวกเขามากมาย ฟากฟ้าแห่งจิตวิญญาณของเธอจึงแผ่ไพศาลออกไปไม่หยุดยั้งแม้จะยังช้ำใจกับพระเจ้าอยู่ก็ตาม เธอเริ่มฝึกนั่งสมาธิด้วย
วันหนึ่ง หลังจากคุณแม่เพิ่งจะเสียชีวิต เอลิซาเบธเหมือนโดน “เขย่า” ด้วยเสียงภายในหรือสารที่ส่งมาแรงมากระหว่างอยู่ในสมาธิ
“เจ้าโกรธเราทำไมหรือ❓” เสียงนั้นถาม
ในห้วงความคิด เธอตอบไปว่า “ก็ท่านทำให้คุณแม่ของลูกต้องทุกข์ทรมานเหลือเกิน คนแสนดี จิตใจงามอย่างคุณแม่ที่ไม่เคยต้องการรับสิ่งใดเพื่อตัวเองเลย มีแต่จะให้ทุกอย่างกับคนอื่นเขา แต่ท่านกลับทำให้แม่ทนทรมานอยู่ตั้ง 𝟰 ปี แล้วก็ตาย❗”
✨“#มันเป็นของขวัญที่เรามอบให้แม่เจ้าต่างหาก” กระแสเสียงตอบมาอย่างอ่อนโยนนัก “เป็นของขวัญที่เปี่ยมรักและเมตตายิ่ง เพราะในความรักต้องมีสมดุล #หากไร้คนที่จะรับความรักเสียแล้ว #ผู้ให้จะให้ได้อย่างไรล่ะลูก แม่ของเจ้าได้เรียนรู้ธรรมข้อนี้แล้วชั่วเวลาแค่ 𝟰 ปี แทนที่จะต้องกลับมาเกิดอีกชาติหรือหลายต่อหลายชาติเป็นคนพิการ หรือคน ปัญญาอ่อน ในสภาพที่จำต้องยอมรับความรักจากผู้อื่น แม่เจ้าได้เรียนรู้แล้ว เธอสามารถหลุดพ้นได้แล้ว”✨
พอได้ยินคำตอบและเข้าใจสารทั้งหมดแล้ว เอลิซาเบธก็ปลดปล่อยความโกรธความช้ำใจหลุดลอยไปเสียที ความเข้าใจสามารถเยียวยาความปวดร้าวที่ฝังลึกสุดขั้วหายขาดได้ในบัดดล
. . .
ในเวิร์กชอปครั้งหนึ่งของผม คุณแม่และลูกสาววัยรุ่นเข้าร่วมการย้อนจิตแบบกลุ่ม (𝗴𝗿𝗼𝘂𝗽 𝗿𝗲𝗴𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻) และเข้าถึงอารมณ์เข้มข้นทั้งสองแม่ลูก เมื่อทำกรุ๊ปเอ็กเซอร์ไซส์เสร็จก็พักเบรก แม่ลูกต่างเล่าปฏิกิริยาและความทรงจำให้กันฟัง ทั้งสองอึ้งไปเลยที่ต่างอยู่ในชาติภพเดียวกัน แสนนานมาแล้วในยุคที่ทารุณอยู่
“ดิฉันกับลูกสาวมาเข้าสัมมนาพร้อมกันวันนี้...” ผู้เป็นแม่เป็นคนเล่าให้ทั้งห้องฟังเพราะตัวลูกสาวยังตื้นตันใจจนพูดไม่ออก “แล้วดิฉันก็มั่นใจว่าเป็นความจำจากอดีตชาติเดียวกันค่ะ...ระหว่างที่เราเข้าสมาธิ สิ่งที่ลูกสาวเล่าให้ฟังคือเจอแต่...ลูกบอกว่า...โดนวัวแทง...หรืออาจจะเป็นคนที่ใส่เขาวัว...ลูกสาวเห็นเขาชัดเลย เธอโดนแทงแล้วแทงอีก...”
แม่เล่าประสบการณ์ที่ตนเองได้รับต่อว่า “ตอนลูกเล่าให้ฟังครั้งแรก หูดิฉันได้ยินแต่คำว่าโดนวัวแทง แล้วหัวหมุนไปหมด ความทรงจำที่ดิฉันเจอในอดีตชาติเหมือนเป็นยุคไวกิ้ง ดิฉันสวมเหมือนเสื้อคลุมหนังสัตว์ทำนองนั้น แล้วครอบของหนักๆ บนหัวมีเขาด้วย... ดิฉันเข้าไปในถ้ำหรือเป็นกระท่อมสักอย่าง เด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งวิ่งเข้ามาหา ฉันเลยแทงด้วยดาบ บรรยากาศมีแต่ความน่ากลัวมากแล้วก็มืดไปหมด...ลูกสาวบอกดิฉันว่าเขากลัวมากเหมือนกัน...แล้วตัวเขาก็เจ็บแปลบระหว่างเข้าสมาธิที่เดียวกับที่โดนดาบแทงเลยค่ะ❗”
เธอเสริมว่า “มัน...ชัดมาก...ว่ามันทำใจพูด...ยากมาก...ยากกว่าที่คิดไว้มาก” ทั้งคุณแม่และลูกสาวยังรู้สึกสะเทือนอารมณ์กับความทรงจำร่วมกันในอดีตชาติอยู่
ผมชี้ประเด็นให้ว่าหากชาติที่จำได้ร่วมกันตรงกัน ก็น่าจะเป็นชาติที่ทั้งคู่เกิดมาด้วยกันจริง เช่นนั้นทั้งคู่ก็เคยตายไปแล้วและกลับมาเกิดคู่กันใหม่อีกครั้ง แข็งแรงสดใสและได้อยู่ร่วมชีวิตกันต่อ เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรืออาฆาตแค้นต่อกันอีกแล้ว มีแต่ความรักและการให้อภัย ความทรงจำกับชาติภพที่เกิดร่วมกันทำให้เราแจ่มแจ้งแล้วว่าไม่มีหรอกความตาย มีแต่ชีวิต
ผมบอกทั้งห้องว่า “#การเยียวยาบาดแผลนั้นไม่ใช่แค่การจำได้หรือได้ระบายออกเพียงเท่านั้น #การตระหนักถึงความตายก็เยียวยาได้เช่นกัน เมื่อเราพบประสบการณ์นี้และมันเข้มข้นมาก คุณก็จะเริ่มเข้าใจเองว่า #ความตายไม่ใช่อะไรเลยนอกจากแค่ละสังขารไปเท่านั้น เหมือนการเดินเข้าประตูไปแล้วก็กลับออกมาอีกครั้งเพื่อจะได้ตอบแทนต่อกัน ดังนั้น ไม่ควรจะรู้สึกผิดไปตลอดชาติ...”
ผู้เป็นแม่ขอแทรกขึ้นมา “เปล่าค่ะ ดิฉันไม่ได้รู้สึกผิด...คือดิฉันชอบบอกลูกสาวว่า แม่ชอบที่เค้าเป็นคนดุ ดุกระทั่งตอนเป็นเด็กตัวนิดเดียว มันถูกใจแม่มาก ตอนนี้เรายังล้อกันเลย”
แล้วลูกเค้าบอกว่า “ชาติที่แล้วหนูตายเพราะยังงี้เลยนะแม่ แต่ความสัมพันธ์ของเราตอนนี้ดีมากเลยค่ะ ดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ แล้วเรื่องนี้มัน...มันยิ่งใหญ่มากเลยค่ะ❗”
◾ เพิ่มเติมจากผู้แปล ◾
หลักการ 𝗹𝗮𝘄 𝗼𝗳 𝗴𝗿𝗮𝗰𝗲 – กฎแห่งการใช้ความรักความเมตตาล้างกรรมชั่ว เป็นเรื่องที่ควรอธิบายแก่คุณผู้อ่านที่รักอย่างมาก เพราะเป็นการพัฒนาจิตใจคนอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ประกาศตนเป็นเมืองพุทธ แต่สังคมกลับเน้นแต่เรื่องปลง และก้มหน้ารับกรรมไป ซ้ำมีการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา บูชาราหูเพื่อแก้กรรมอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ตะวันตกเสียอีกที่คิดและศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรม หรือ 𝗹𝗮𝘄 𝗼𝗳 𝗸𝗮𝗿𝗺𝗮 โดยเน้นเรื่อง 𝗹𝗮𝘄 𝗼𝗳 𝗴𝗿𝗮𝗰𝗲 เป็นพิเศษ ซึ่งศาสนาพุทธแท้ ๆ เองได้ระบุถึงกฎกรรมดีล้างกรรมชั่วได้อย่างงดงามไว้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงสอนด้วยการเปรียบกับน้ำดีที่ค่อย ๆ ล้างน้ำเสียให้ใสสะอาดได้
(จบ — บทที่ 3)
โฆษณา