6 พ.ย. 2021 เวลา 13:51 • ศิลปะ & ออกแบบ
ลอนดอนวันที่ 3 (ตอน 3) พาไปดูงานศิลปะ ทีละชิ้น ที่หอศิลป์แห่งลอนดอน (National Gallery of London)
ตอนนี้ ต่อจากตอนที่แล้วครับ ถ้ายังไม่ได้ไปดู แวะไปตรงนี้ก่อนนะครับ https://www.blockdit.com/posts/618684d25f0ad811c1872730
ต่อไปขอแนะนำภาพ Bacchus และ Ariadne ของทิเชียน (Titian)
ซึ่งเป็นเรื่องราวเทพปกรณัมกรีก ตอนที่นางเอเรียดถูกเธเซอุสคนรักเดิมทิ้งเธอไว้ที่เกาะเนซัซอย่างเดียวดาย แต่ทันใดนั้นแบคคัส เทพเจ้าแห่งไวน์ซึ่งหลงเสนห์ในตัวเธอก็ได้ขับรถทรงเทียมเสือดาวเข้ามาแล้วโผเข้าหาด้วยความเร่าร้อน
ทิเชียนเขียนภาพนี้อย่างได้อารมณ์ จัดท่าเหาะโหนโจนทะยานของแบคคัสอย่างไร้สติด้วยใบหน้าตื่นเต้นสุดขีด ซึ่งรับรองได้ว่าหลังจากโดดขึ้นแบบนี้แล้วคงจะหกคะเมนลงมาอย่างแน่นอน นี่คือการแสดงออกถึงอาการเมารักจนหลงลืมตัวเอง
นอกจากนั้นสเน่ห์ของภาพอีกอย่างหนึ่งคือเหล่าฝูงชนที่ติดตามแบคคัสมามีสภาพเป็นตัวละคร เป็นเหล่าอมนุษย์ที่ดูน่าพิศวงราวกับว่าผู้เขียนได้ขุดเอาโลกของเทพเจ้าในตำนานทั้งมวลมาใส่ไว้ด้วยกันเพื่อให้ภาพดูมีมหัศจรรย์มากขึ้น เมื่อผนวกกับฝีมือที่ช่ำชอง มีรายละเอียดของผู้คน ดอกไม้พืชพรรณและทิวทัศน์ได้อย่างยอดเยี่ยม การใช้สีสันที่มีความสดอิ่มตัวด้วยเทคนิคพิเศษ โดยเฉพาะสีฟ้าของท้องฟ้า ทะเล และการถ่ายทอดสไตล์จากบรมครูยุคเรเนอซองค์ เช่นราฟาเอลและไมเคิลแองเจโล ทำให้ภาพนี้เป็นภาพสำคัญของแกลอรี่นี้ไป
ภาพต่อไปคือ Venus And Mars ของ บอตติเชลลี (Botticelli) ชายหนุ่มผมหุ่นดี ผมทองสลวย เปลือยกายหลับใหลอย่างไม่รู้ตัว กำลังถูกเด็กซุกซนสี่คนกลั่นแกล้งด้วยการเอาชุดเกราะมาเล่นเป่าแตรสังข์ข้างหู โดยมีผู้หญิงแสนงามอยู่ตรงปลายเท้า
นี่คือภาพของเทพเจ้ามาร์สหรือพระอังคาร เทพแห่งสงครามผู้ดุดัน ศิลปินวาดภาพใบหน้าได้อย่างดี มองแล้วรู้สึกได้เลยว่าพระองค์กำลังหลับลึกและกรนโดยไม่รู้ตัว สิ้นเรี่ยวแรงเมื่ออยู่กับวีนัสซึ่งเป็นเทพีแห่งความงามผู้มีผมสีทองสลวยในชุดเสื้อคลุมบางเบาเฝ้ามองแบบอารมณ์เฉยๆ (ไม่รู้ว่าทำไมถึงเฉยได้ขนาดนี้นะ) บอตติเชลลี่วาดภาพพระอังคารได้ระทดระทวยหมดท่ามีสภาพอารมณ์แบบมนุษย์ทั่วไปซึ่งเราไม่ค่อยได้เจอเท่าใดนัก บ่งชี้ชัยชนะแห่งความงามของวีนัสที่ดูไร้เดียงสาแต่สามารถสยบเทพแห่งสงครามได้อย่างราบคาบ
1
อีกภาพหนึ่งซี่งมีความโดดเด่นสะดุดตามากเพราะมีขนาดใหญ่ มีบุคคลสำคัญสองท่านยืนคนละข้างของชั้นวางของที่มีอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด นี่คือภาพ The Ambassadors ของฮันส์ ฮ็อลไบน์ ผู้ลูก (Hans Holbein the Younger) แสดงรูปของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 กับ Georges de Selve เพื่อนสนิทซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายศาสนจักร
การเขียนภาพบุคคลและสิ่งของเครื่องใช้อยู่ด้วยกันเป็นรูปแบบหนึ่งของศิลปะสไตล์เรเนซองส์ สิ่งของเหล่านั้นสามารถใช้ระบุตัวตนของบุคคลเช่นงานอดิเรก สถานภาพ รสนิยม หรือเป็นรหัสที่บอกเรื่องราวของภาพได้ด้วย
ในภาพนี้จะเห็นเครื่องมือทางดาราศาสตร์ ลูกโลก แผนที่ดาว นาฬิกาแดด หนังสือคณิตศาสตร์ แสดงถึงความรู้สติปัญญาของบุคคล และมีพิณสายขาดอยู่สายหนึ่งใกล้ๆกับขลุ่ยพวงที่มีลำเสียงไม่ครบ
https://en.wikipedia.org/wiki/The_Ambassadors_(Holbein)#/media/File:Holbein_instruments_de_musique.JPG
นอกจากนั้นยังมีหนังสือบทเพลงสวดซึ่งสองหน้าเรียงไม่ต่อกันวางอยู่เป็นสัญลักษณ์ถึงความไม่สมบูรณ์ลงรอยกัน
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือด้านล่างของภาพปรากฏเป็นแผ่นวงรีที่วางเอียงซึ่งดูแล้วไม่รู้ว่าเป็นภาพอะไร แต่คุณสามารถทราบได้ถ้าหากดูในมุมที่พอเหมาะจะเห็นว่าคือภาพหัวกะโหลกขนาดใหญ่ (ผมเองก็พยายามมองอยู่นะ แต่ก็เห็นไม่ชัด) นี่คือเทคนิคที่เรียกว่า Anamorphosis ซึ่งศิลปินหลายคนก็ใรปัจจุบันก็ชอบใช้ โดยเฉพาะภาพสามมิติต่างๆ
Anamorphosis คือ ภาพที่วาดไว้โดยออกแบบให้มองจากจุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะ โดยหากดูจากมุมมองทั่วไปอาจเห็นภาพดูบิดเบี้ยว ไม่สมบูรณ์ หรือมองไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร แต่หากมองถูกตำแหน่งจะพบกับภาพที่ศิลปินต้องการจะให้เห็น ซึ่งบางครั้งอาจเป็นภาพที่ชวนพิศวง เช่น ภาพที่ซ่อนความหมาย ภาพสามมิติ
https://en.wikipedia.org/wiki/The_Ambassadors_(Holbein)#/media/File:Holbein_Skull.jpg
นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้สัญลักษณ์เล่าเหตุการณ์เป็นนัยยะถึงความขัดแย้งแตกแยกระหว่างศาสนานิกายโรมันคาธอลิคกับกษัตริย์แห่งอังกฤษ เนื่องด้วยพระเจ้าเฮนรี่ฯมีพระประสงค์ในการแต่งงานกับแอนโปลีนทั้งที่พระสันตปาปาไม่ยินยอม ซึ่งในที่สุดจะส่งผลให้เกิดการแยกนิกายของอังกฤษออกจากศาสนจักรโรมันคาทอลิกที่กรุงโรมต่อไป
คุณค่าของภาพนี้นอกจากการเข้ารหัสและลวงตาที่แยบยลแล้ว คือการวาดที่แสดงพื้นผิววัตถุได้สมจริงได้อารมณ์ ทั้งขนสัตว์ที่ดูนิ่มนวล พื้นผิวลายทอของผ้าอย่างละเอียด ความมันระยิบของเนื้อผ้า ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษของศิลปิน
อีกภาพหนึ่งที่ชวนตะลึง คือภาพ Supper at Emmaus วาดโดยคาราวัจจิโอ (Caravaggio) แสดงถึงพระเยซูที่ประทับบนโต๊ะอาหารท่ามกลางสาวกที่กำลังตื่นตระหนก
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:CaravaggioEmmaus.jpg
คือชีวประวัติของพระเยซูตอนที่พระองค์ฟื้นขึ้นจากความตายและได้มาพบสาวก ในครั้งแรกสาวกจำพระองค์ไม่ได้ จนกระทั่งมื้ออาหารค่ำคืนนั้นพระองค์ได้หยิบขนมปังมาแบ่งให้เขาซึ่งทำให้สาวกทุกคนจำได้ และเกิดความตระหนกสุดขีด ศิลปินคาราวัจจิโอได้จับวินาทีนั้นเป็นภาพที่เราเห็น โดยสาวกทางซ้าย (คลีโอฟาส) กำลังทำท่ากระโจนออกจากที่นั่ง ส่วนทางขวา (เปโตร) กางแขนออกพุ่งมือมาราวกับจะทะลุเฟรมทิ่มตาเรา ในขณะที่พระเยซูยังคงมีใบหน้าสงบราวกับจะรับรู้ปฎิกริยานี้อยู่แล้ว
ลักษณะเช่นนี้เป็นแนวเขียนภาพในยุคบาโรก ซึ่งวาดภาพบุคคลที่เคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน และแสดงอารมณ์ต่างๆได้ชัดเจน แช่แข็งเสี้ยวเวลาของการเคลื่อนไหวนั้นไว้ นอกจากนี่การให้แสงงานในลักษณะความมืดและสว่างตัดกันรุนแรงเป็นเทคนิคที่เรียกว่า Chiaroscuro ซึ่งคาราวัจจีโอ นำมาใช้ได้อย่างดีเยี่ยมจนให้อารมณ์ตื่นเต้นได้อย่างละคร
(Chiaroscuro คือเทคนิคการวาดภาพโดยใช้แสดงที่มีความมืดจัดและสว่างจัดตัดกันเพื่อให้ได้ความรู้สึกรุนแรง ใช้กันมากในงานศิลปะยุคบาโรก)
ศิลปินอังกฤษอีกคนที่มีชื่อเสียงและมีงานสะสมที่นี่มากคือ วิลเลียม เทอร์เนอร์ (JW. Turner) หากใครเป็นแฟนคลับของเทอร์เนอร์ขอบอกว่าคอลเลคชั่นที่นี่มีงานของเขาอยู่มากทีเดียว
งานของเทอเนอร์เป็นกลุ่มโรแมนติคที่วาดภาพบรรยากาศธรรมชาติโดยไม่ได้ถูกเห็นในแบบที่มันเป็นจริงๆ เขาแสดงสีสันเลื่อมพรายประกายม่านหมอกขมุกขมัว ชวนให้นึกถึงท้องฟ้า แสงแดด ทะเล พายุ ฝนครึ้ม ยามเช้า ยามเย็น หรืออื่นๆที่เราแต่ละคนจินตนาการไปถึง บางครั้งอาจเห็นภาพเรือใบล่องลอยอยู่
งานของเทอร์เนอร์อยู่ในช่วงยุคโรแมนติกซึ่งศิลปินนิยมวาดภาพธรรมชาติที่แสดงพลังยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์ ซึ่งถ้าคุณได้มาเห็นภาพอันงดงามเหล่านี้แล้วก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากเพราะศิลปินเขียนมาอย่างชัดเจนรุนแรงสวยงามอยู่แล้ว แต่ถ้ามองแล้วไม่พบว่าเป็นอย่างที่บรรยายก็ไม่เป็นไรส่วนตัวผมดูแล้วนึกถึงภาพของอาจารย์ประเทือง เอมเจริญของเราหลายภาพ ฝีมือไม่แพ้กัน
ยังไม่จบครับ ยังมีต่ออีก
เชิญชมต่อไปนะครับ ที่นี่
ไปดูงานศิลปะ ที่หอศิลป์แห่งลอนดอน (National Gallery of London) (ตอนที่ 4) https://www.blockdit.com/posts/61868a1e0b6ce80ca1180306
โฆษณา