7 พ.ย. 2021 เวลา 09:01 • ประวัติศาสตร์
-- สุริยา ลูกทุ่ง โดย เดชา ปราการะนันทน์ ตอนที่ ๒ --
พวกเราหลายคนออกตระเวน ติดตามข่าวของยอดมวยผู้ลึกลับคนนั้น ในที่สุดก็ได้ความเป็นที่ชัดเจนว่า สุริยา ลูกทุ่ง ไม่ใช่อัศวินผู้พเนจรมาจากถิ่นอื่น แท้จริงนั้นเขามีนามจริงว่า ‘ซี เมาสูงเนิน’ เป็นชาวตำบลมะเกลือเก่า อำเภอสูงเนิน เมืองนครราชสีมานั่นเอง
เราทราบประวัติของเขาเป็นเลา ๆ ว่า สุริยา ลูกทุ่ง ชอบเตร็จเตร่ท่องเที่ยวไปไม่เป็นหลักแหล่งแห่งที่ เขาเคยเดินทางเข้ากรุงเทพ เคยเข้ามาฝึกหัดอยู่ในคณะของ เติม มีบุญ แถว ๆ นางเลิ้งอยู่พักหนึ่งแล้วก็กลับบ้าน เพราะรูปร่างของเขาบอบบางและน้ำหนักเบาจนเกินไป คือในราว ๑๐๘ ปอนด์ หรือ ๔๘ กิโลกรัมเท่านั้นเอง และสมัยนั้นยังไม่สู้จะนิยมมวยเล็ก ๆ กันเท่าใดนัก
เจ้าหนุ่มน้อยผู้จรมาจากท้องทุ่งอำเภอสูงเนิน คงท่องเที่ยวไปอย่างไม่มีจุดหมาย จนกระทั่งถึงวาระในงานฉลองท้าวสุรนารี อันเป็นมิ่งขวัญของเมืองนครราชสีมา ซึ่งจัดให้มีการแข่งขันชกมวยเป็นประจำ เขาจึงได้ปรากฏขึ้นบนเวทีในนามของ สุริยา ลูกทุ่ง และสร้างตัวเองให้ทรงศักดาขึ้นมาด้วยการชกเพียงสองครั้งเท่านั้น
นี่คือประวัติเพียงเลา ๆ ของสุริยา ลูกทุ่ง ซึ่งคณะพรรคของเรา อันมี น้อย เทียมกำแหง หลุยส์ เดชศักดา และใครต่อใครอีกหลายคน ให้ความศรัทธาและยกย่องเขาอย่างจริงใจ ซึ่งทางเวทีก็ดูเหมือนจะหยั่งความรู้สึกของแฟนมวยได้ดี จึงจัดให้ สุริยา ลูกทุ่ง ขึ้นชกเป็นประจำ เกือบจะเรียกได้ว่าทุกวันเสาร์ทีเดียว !
ชื่อเสียงของ สุริยา ลูกทุ่ง หนุ่มน้อยผู้จรมาจากตำบลมะเกลือเก่า เริ่มฟุ้งเฟื่องกระเดื่องเดชยิ่งขึ้น เมื่อทางสนามจัดให้เขาขึ้นโชว์ฝีมือเป็นประจำกับคู่ต่อสู้ ชั้นอัศวินที่เลือกสรรแล้วว่าแข็งแกร่งเยี่ยมยอด แต่คนเหล่านั้นก็ถูกแข้งหรือศอกคู่ของ สุริยา ดับดิ้นแดยันไปคนแล้วคนเล่า
บรรดานักมวยชั้นนำของนครราชสีมา ตั้งแต่น้ำหนัก ๕๑ กิโลกรัมขึ้นไปจนถึง ๕๔ กิโลกรัม (๑๑๘ ปอนด์) ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปประลองฝีมือกับนักเตะผู้ยิ่งยง แล้วก็ถูกหามใส่เปลกลับลงมา การณ์เป็นอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งในที่สุด ก็ไม่มีใครหาญขึ้นไปเผชิญหน้ากับเจ้าหนุ่มหน้าซื่อ แต่มีเพลงเตะบัลลัยกัลป์คนนั้นอีกเลย
และแน่เหลือเกินว่า ทุกครั้งที่ทางสนามประกาศโครมครามออกไปว่า วันนี้ สุริยา ลูกทุ่ง จะขึ้นชกเป็นคู่เอก ผู้คนก็จะแห่แหนเบียดเสียดเยียดยัดเข้าไปอยู่ในบริเวณสนามมวยอันคับแคบ ราวกับปลาซาร์ดินถูกอัดแน่นอยู่ในกระป๋อง ทำกำไรให้แก่ทางสนามอย่างเอนกอนันต์
เมื่อหาคู่ชกในเมืองนครราชสีมาไม่ได้ ทางเวทีก็ต้องส่งแมวมองออกไปเสาะหานักมวยฝีมือดี จากหัวเมืองใกล้และไกล เช่น บุรีรัมย์ สุรินทร์ มหาสารคาม อุบลราชธานี อุดรธานี และนักมวยชั้นขุนพลเหล่านั้น เมื่อมาเจอลวดลาย ‘เตะสองชั้น ฟันศอกคู่’ อันพิศดารเข้า ต่างก็ยอมศิโรราบไปทุกราย เพราะแข้งของสุริยา มีความฉับไวราวกับสายฟ้าแลบ ยากเหลือเกินที่จะมีใครปิดป้องได้ทัน และยากอีกเหมือนกันที่จะประคองตัวเองให้รอดพ้นจากการลงเปลไปได้ !
กิติศัพท์ของ สุริยา ลูกทุ่ง จึงโด่งดังกระเดื่องเดชไปทั่วภาคอิสาน แต่ก็ประหลาดเหลือที่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจต่อชื่อเสียงอันระบือลือไกลเช่นนั้นเลย เจ้าหนุ่มลูกทุ่งคงแต่งกายปอน ๆ คือเสื้อผ้าสีขาวธรรมดา กางเกงสีน้ำตาลอ่อนขมุกขมอม กลางวันเขาซุ่มนอนอยู่ในบ้านญาติห่าง ๆ คนหนึ่ง ตกกลางคืนพวกเราก็พบเขาหลบอยู่ในเงามืดของร้านเหล้า และเมื่อล่วงเข้ายามดึกไปแล้ว ก็พบเขาได้อีกครั้งบนอกอุ่นของหญิงงามเมือง
และเพราะว่าชีวิตของสุริยา ดูเหมือนจะขาดรสชาติของโลกีย์วิสัยไม่ได้เช่นนี้เอง เขาจึงจำต้องขึ้นชกกับคู่ต่อสู้อีกคนหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักมวยชั้นอัศวินคนหนึ่งของเวทีนั้นทีเดียว
หมอนั่นมีนามว่า โปร่ง ลูกสีมา อาชีพประจำคือขี่สามล้อ ส่วนอีกอาชีพหนึ่งก็คือการตั้งตนเป็นนักเลงให้ความคุ้มครองแก่เหล่าโสเภณีทั้งหลาย และปรากฏว่ากระทาชายนายโปร่ง ลูกสีมาคนนี้เป็นนักมวยชั้นเยี่ยมคนหนึ่งที่ชกแบบทรหดดุดัน มีศอกเป็นอาวุธร้าย เคยบุกแหลกจนคู่ต่อสู้ยอมศิโรราบไปหลายต่อหลายคนแล้ว ขนาดได้รับการยกย่องว่าเขาเป็นนักมวยใจเพชรคนหนึ่ง ที่ทุกคนในรุ่นเดียวกันจะมาลูบคมไม่ได้
โปร่ง เฝ้าดูวิถีโคจรอันรุ่งโรจน์ของ สุริยา ลูกทุ่งอย่างสนใจ ในชั้นแรกก็นึกนิยมลีลาการชกของเจ้าหนุ่มหน้าซื่อว่าเป็นเลิศอย่างไม่มีใครเสมอเหมือน แต่ต่อมาเมื่อเห็นว่า สุริยา ชอบเข้ามาคลุกอยู่ในซ่องโสเภณีอันเป็นอาณาเขตต์ที่เขาคุ้มครองอยู่ โปร่งก็เกิดเขม่น และในที่สุด ก็เกิดท้าทายถึงขั้นขึ้นไปพิสูจน์ความยิ่งใหญ่กันบนเวที สุริยา ลูกทุ่งจึงต้องรับคำท้านั้น โดยเขาหนักในราว ๑๐๘ ปอนด์ (๔๘ กิโลกรัม) ส่วนโปร่ง ลูกสีมา หนักถึง ๑๑๘ ปอนด์ มากกว่ากันเพียง ๑๐ ปอนด์เท่านั้นเอง
เมื่อถูกถามถึงการชิงชัยครั้งนี้ โปร่ง ลูกสีมา ก็หัวเราะร่า
“ไอ้สุริยามันก็เตะได้แต่คนโง่เท่านั้น.... พี่น้องเอ๋ย มันยังรู้จัก โปร่ง ลูกสีมา น้อยไป... ข้านี่แหละจะเป็นคนปราบมันได้ ต่อให้มันเตะหนักยิ่งกว่าม้า ข้าก็จะไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว”
การพบกันระหว่าง สุริยา ลูกทุ่งกับ โปร่ง ลูกสีมา อัศวินใจเพชรผู้คุมซ่องโสเภณีในครั้งกระนั้น หากจะมีการตั้งชื่อศึกก็เห็นจะต้องเรียกกันว่า ‘ศึกนางโลม’ หรือศึก ‘จ้าวโสเภณี’ ก็คงจะไม่เกินความจริงจนเกินไปนัก และก็แรงอาฆาตของทั้งสองฝ่ายเช่นนี้เอง จึงเรียกร้องแฟนได้อย่างมืดฟ้ามัวดินอีกครั้งหนึ่ง
พวกเราซึ่งถูกอาถรรพ์ของกีฬามวย เข้าไปฝังอยู่ในกระดูกดำเสียแล้ว ต่างก็เฝ้าดูกันอยู่ข้างเวทีอย่างใจจดใจจ่อ บางคนก็มั่นใจเหลือเกินว่าสุริยา ลูกทุ่ง คงจะกล่อม โปร่ง ลูกสีมา ด้วยแข้งอันทรงศักดาได้ไม่ยาก แต่อีกหลายคนก็ยังกริ่งเกรงไม่สู้จะมั่นใจ เพราะกิติศัพท์ในความแกล้วกล้าของโปร่ง ลูกสีมาซึ่งไม่เคยย่นย่อต่อมนุษย์หน้าไหนแม้กระทั่งเทวดานั้น อาจจะทำให้เด็กหนุ่มชาวทุ่งต้องพลาดท่าเสียทีได้ในบั้นปลาย
อย่างไรก็ดีนักมวยเอกทั้งสอง ก็ย่างขึ้นมาบนเวทีแล้ว สุริยา ลูกทุ่งหรืออีกนัยหนึ่งเจ้าของนาม ‘ซี เมาสูงเนิน’ จากท้องทุ่ง ตำบลมะเกลือเก่า อำเภอสูงเนิน พาร่างอันผอมเพรียว ผิวคล้ำเผือดเข้าไปมุมน้ำเงินอันเป็นมุมประจำของเขา ส่วนโปร่ง ลูกสีมาตัดผมสั้นเกรียนเรือนร่างไม่กำยำล่ำสันก็จริงอยู่ แต่ก็เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งไปทุกกระเบียดนิ้วจากอาชีพสามล้อ และอาชีพที่ต้องออกกำลังกับนักเลงร้ายเพื่อความเป็นใหญ่ ในซ่องโสเภณีเป็นประจำ ได้หล่อหลอมให้โปร่ง ลูกสีมา เป็นอีกคนหนึ่งที่ทุกคนในอันดับเดียวกันต้องสยบหัวให้
ทั้งคู่ร่ายรำไหว้ครูผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีเสียงเอะอะโวยวาย ไม่มีเสียงต่อรองกันอย่างอึกทึกครึกโครม ทุกสิ่งเต็มไปด้วยความเงียบสงบเมื่อกรรมการบอกให้เริ่มชก คงมีแต่เสียงปี่และกลองดังรัวเร่งอยู่แต่เพียงอย่างเดียว
เสียงกรรมการร้องบอก เหมือนกับเสียงเมียรักกวักมือเรียกให้เข้าไปร่วมอภิรมย์ โปร่ง ลูกสีมา คงจะมีความรู้สึกอย่างนั้นเมื่อเขาเผ่นออกจากมุม ชูแขนทั้งสองเป็นมุมฉาก พรวดเข้าใส่สุริยา ลูกทุ่ง อย่างกระเหี้ยนกระหือรือ
ข้างฝ่าย สุริยานั้นเล่า เขาก็เอาแต่เต้นกรีดกรายเหมือนกับนางระบำบัลเลต์ พริ้วพราวไปรอบ ๆ เวที คล้ายกับจะเร่งประสาทให้ตื่นตัว เพื่อรับการจู่โจมอันดุร้ายจากอีกฝ่ายหนึ่ง และหลังจากการเต้นขยับเข้าเสียงปี่กลองได้ไม่นาน โปร่งก็พุ่งเข้าประชิดตัว ระดมศอกซ้ายขวาสับลงไปเหมือนขุนขวานผู้ชำนาญเชิงรบ
และแทนที่ สุริยา จะสปริงตัวหลบหลีกเหมือนที่เคยเป็นมาเขากลับปักหลักอยู่กับที่ แล้วก็ใช้เพียงแค่เอวโยกตัวส่ายไปมา เหมือนอาการแผ่พังพานของงูเห่าดง และศอกอันขมังของโปร่ง ก็คงฉวัดเฉวียนอยู่แค่ปลายจมูกเท่านั้นเอง
ถ้าไม่เห็นด้วยตาจริง ๆ พระเดชพระคุณ ก็คงจะคิดว่านี่เป็นเรื่องเล่าที่ค่อนข้างจะโม้เกินความจริงไปแล้ว
แต่สุริยา ลูกทุ่ง ก็สามารถทำได้อย่างที่ไม่มีนักมวยคนอื่นจะมีความว่องไวเหมือนเขา ด้วยการโยกตัว หลบหลีกมาอย่างรวดเร็ว พอถูกเข้าคลุกหนักขึ้น เขาก็จะกอดเอวไว้แน่นกระชับ ชนิดที่ไม่ยอมให้คู่ต่อสู้ใช้เข่ากระทุ้งเข้าวงในได้อีกด้วย
โปร่ง ลูกสีมา เกิดความงุ่นง่านดาลเดือดยิ่งขึ้น เขาควงศอกอันลือฤทธิ์เข้าถล่มต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อเข้าคลุกก็ฟัดเหวี่ยงหมายจะฟาดกับพื้น แต่สุริยา ก็แข็งแรงพอที่จะขัดขืนเอาไว้ได้
เวลาล่วงเลยต่อมาอีก สุริยาเริ่มใช้อาวุธร้ายของเขาในกลางยก คือ ‘เตะสองชั้น’ อันเป็นแบบที่เขาคิดขึ้นมาเอง แต่เป็นการเตะที่ดูเหมือนจะโชว์มากกว่า เพราะโปร่ง ชูแขนขึ้นสูงทั้งสองข้าง และก้มหน้าซ่อนคางไว้อย่างรัดกุม ปลายเท้าของสุริยาจึงตวัดขึ้นไปถูกเพียงท่อนแขนของโปร่งเท่านั้น
การต่อสู้เป็นไปในรูปนี้ จนกระทั่งสิ้นสุดยกแรก โปร่ง ลูกสีมา กลับเข้ามุมอย่างองอาจ แฟนหลายคนเริ่มเรียกชื่อเขาอย่างอึงอลแต่มันเป็นการเรียกร้องให้โปร่ง ก้าวไปพบจุดจบเร็วขึ้นเท่านั้นเอง
เพราะเริ่มต้นยกที่สองนั้น ด้วยเสียงเชียร์จากมิตรสหายผู้แห่แหนกันมาจากซ่องนางโลม โปร่งก็เกิดความฮึกเหิมถึงขีดสุด เขากระหายที่จะถล่มสุริยาให้ได้ แดดิ้นไปเสียโดยเร็ว จากการชกในยกแรกก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สุริยาไม่มีพิษสงอะไรเลย นอกจากความรวดเร็วแบบฉาบฉวย และการเตะอันสวยสดงดงามเท่านั้น – โธ่ไอ้หอกนึกว่าจะเก่งเหมือนเทวดา ที่แท้ก็ไอ้มวยเส็งเคร็งเราดี ๆ นี่เอง โปร่งบอกกับตนเองอย่างลำพองใจ
พอกรรมการร้องบอก ยอดชายนายโปร่งก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอีกต่อไปแล้ว เขาพุ่งปราด ๆ เข้าไปอย่างดุดันส่งหมัดขวาตรงเข้าไปก่อน แล้วก็ตามด้วยศอกสั้นสุดแรงเหวี่ยง สุริยาก็พลิกตัวหลบออกไปได้ แล้วดีดแข้งซ้ายขึ้นมาสกัดแต่ก็ถูกแค่ต้นแขนดังสนั่น
สุริยาเตะขวาหมายกกหู โปร่งก็ยกแขนซ้ายขึ้นรับพร้อมกับพยักยิ้ม เตะเข้ามาไอ้หนู มีกำลังเท่าไหร่เชิญเตะตามสบาย ข้าขอเอาศอกเจาะหน้าเอ็งทีเดียวก็พอแล้ว ขอทีเดียวเท่านั้น
สุริยากลับมาเตะสองชั้น โปร่งก็ปิดด้วยแขนขวาแบบ ‘ทัดมาลา’ สุริยาเตะขวาเขาก็ปิดไว้ได้อีก แล้วก็รุกกระหน่ำอีกต่อไป
และในที่สุดอวสานการต่อสู้ ก็ย่างเข้ามาถึงจนได้ในกลางยกนั้นเอง
โปร่ง ยกแขนทั้งสองขึ้นชูเป็นมุมฉาก เป็นการปิดการเตะได้รัดกุมทั้งสองข้าง แฟนทุกคนก็เชื่อว่า สุริยา คงไม่มีโอกาสจะใช้เท้าได้ถนัดอีกแล้ว
แต่ทว่าอะไรกันนั่น .. ในขณะที่โปร่งกำลังชูศอกทั้งคู่พุ่งเข้าไปเหมือนรถถังบุกเข้าประจัญบานนั้นเอง
สุริยา ถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง แล้วดีดปลายเท้าของเขาขึ้นไปตรง ๆ ด้วยความฉับไวราวกับสายฟ้า
มันลอดการ์ดขึ้นไปจากทรวงอก เลยเข้าไปถูกปลายคางแล้วก็เลยต่อไปอีกถึงปากครึ่งจมูกครึ่ง
หน้าอันเหี้ยมเกรียมของ โปร่ง ลูกสีมาสะบัดแหงนหงายขึ้นไปพร้อม ๆ กับแขนทั้งสองข้างกระจายออกจากตัว...มันเป็นท่วงท่าอันงดงามที่สุด เมื่ออัศวินใจเพชรจากซ่องนางโลมหงายตึงลงไปนอนตีแปลงอยู่กลางเวที แขนทั้งสองกางอยู่เช่นนั้น เลือดสด ๆ ไหลออกมาจากจมูกและปากแดงฉาน...อย่าว่าแต่นับสิบเลย ต่อให้นับถึงร้อยโปร่งก็ยังไม่ตื่นจากนิทรา !
#มวย #มวยไทย #ประวัตินักมวย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา