14 พ.ย. 2021 เวลา 11:41 • ปรัชญา
"อย่าประมาทกับชีวิต ตราบใดที่คติเรายังไม่แน่นอน"
" ... วิบากกรรมนี่แหละ
คือตัวที่จะส่งผลให้ผลต่าง ๆ
ถ้าช่วงใดที่กุศลธรรมให้ผล
เราก็จะน้อมไปในการฝึกปฏิบัติมากเลย
แต่ถ้าช่วงใดวิบากอกุศลธรรมให้ผล
บางทีมันไม่เอาเลยนะ ใจมันออกเลย
หรือมันไปต่อไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า
ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
วันนี้เราอาจจะปฏิบัติได้ดี
มีฉันทะ มีศรัทธาในการปฏิบัติ
แต่เราไม่รู้หรอกว่า
พรุ่งนี้เราอาจจะเตลิดเปิดเปิงไปเลยก็ได้
เพราะฉะนั้น อะไร ๆ มันก็เกิดขึ้นได้
ตราบใดที่คติของเรายังไม่แน่นอน
พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า
กิจที่ควรทำที่สุดคือ การรู้แจ้งอริยสัจ 4
ปิดอบายภูมิตัวเองให้ได้ก่อน
มีคติแน่นอนก่อน
ตราบใดที่คติยังไม่แน่นอน
ยังปิดอบายภูมิให้ตัวเองไม่ได้นี่
โอกาสวกวนมันเกิดขึ้นได้เสมอ
ไม่งั้นพระองค์จะตรัสทำไมล่ะ
ว่าไฟที่กำลังไหม้อยู่บนศรีษะ
เธอจะทำอะไรก่อน
แน่นอนทุกคนก็ต้องรีบดับไฟ
แต่พระองค์ตรัสว่า
บัณฑิตจะพึงรีบรู้แจ้งอริยสัจ 4
ก่อนที่จะดับไฟ
ทำไมพระองค์ตรัสขนาดนั้น ?
ความเป็นความตายมันเกิดได้ทุกขณะจิตเลย
แล้วก็ ถึงแม้เรายังไม่ตาย
เราก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีศรัทธา
ที่จะฝึกปฏิบัติตลอดเวลา
บางทีเราจะหลุดโลกไปเลยก็ได้
เมื่อใดที่วิบากกรรมต่าง ๆ มันให้ผล
เราจะรู้ได้ไงว่าเรามีวิบากอะไรบ้าง
ที่มันคอยรอเวลาให้ผลอยู่
มันจึงต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอย่างแท้จริงนั่นเอง
สมัยพุทธกาล ก็มีพระเถระท่านหนึ่ง
ท่านก็เป็นลูกเศรษฐี
แล้วก็มีน้องอยู่ท่านหนึ่ง พี่น้อง 2 คน
พอท่านได้มีโอกาสฟังธรรม
ในสำนักของพระศาสดา
ท่านก็เกิดศรัทธา เห็นโทษภัยในวัฏสงสาร
ท่านก็จึงสละทางโลกออกบวช
มอบทรัพย์สมบัติให้น้องหมดเลย
ท่านออกบวชแล้ว
ท่านก็ไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่หลายปี
ฝ่ายน้องก็มีครอบครัวแต่งงาน
อยู่มาวันหนึ่ง น้องสะใภ้เกิดความโลภมาก
คิดว่า ถ้าพระพี่ชายท่านสึกออกมา
ทรัพย์สมบัติที่ได้รับก็จะต้องแบ่งครึ่ง
น้องสะใภ้นะไม่ใช่น้องชายนะ
น้องสะใภ้เกิดความโลภ
ก็จึงคิดว่า ถ้างั้นเราจ้างโจร
ปลงชีวิตพระพี่ชายดีกว่า
จิตคนเรานี่มันหมุนไปผิดได้ขนาดนั้น
เวลาเกิดไฟในใจ ความโลภ
ความโกรธ ความหลง ครอบงำ
บางทีมันสุดกู่ไปไกลเลยนะ
ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอนเลย
น้องสะใภ้ก็เลยจ้างโจรไป
โจรมันก็เข้าไป ล้อมพระท่าน
พระท่านบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่า
ไม่ได้มีเครื่องป้องกันอะไร
ไม่ได้มีคนอะไรมาช่วย
ท่านก็ถามว่า "พวกท่านมาทำไมกัน ?"
พวกโจรมันล้อมได้แล้วนี่ มันก็บอกว่า
"ก็มาฆ่าท่าน"
พระท่านก็กล่าวว่า "จะมาฆ่าเราทำไม
ทรัพย์สมบัติเราก็ไม่มี อะไรเราก็ไม่มี
ผ้า 3 ผืนมีแค่นี้ ท่านจะมาฆ่าเราทำไม ?"
พวกโจรก็เลยเล่าให้ฟังว่า
"น้องสะใภ้จ้างให้มาฆ่าท่าน
เพราะกลัวว่าถ้าท่านสึกแล้ว
ท่านก็จะไปแบ่งทรัพย์สินคืนนั่นเอง"
ความโลภของคน
ท่านก็บอกว่า ท่านไม่สึกหรอก
โจรก็ไม่เชื่อ ก็จะฆ่าให้ตาย
ท่านก็เลย พอต่อรองอะไรไม่ได้แล้ว
ท่านก็คิดว่าไม่รอดแล้ว
ยังไงเขาก็ต้องเอาชีวิตเราแล้ว
แต่ท่านไม่ได้กลัวตาย
ท่านไม่ได้ห่วงชีวิตหรอก
แต่ท่านมีความรู้สึกว่า เรายังไม่สามารถทำกิจ
ที่ควรเข้าถึงให้บรรลุธรรมได้
เรายังเป็นปุถุชนอยู่ เรายังไม่บรรลุธรรมเลย
ธรรมดาผู้ที่ตายในขณะที่เป็นปุถุชน
คติไม่แน่นอน
พระองค์อุปมาเหมือนเราโยนไม้ขึ้นไปกลางอากาศ
มันจะออกหัวออกก้อยก็ได้
มันไม่แน่นอน คติของปุถุชน
ถ้าเราตายขณะที่เราเป็นปุถุชน
คติไม่แน่นอน เราจะไปไหนก็ไม่รู้
แล้วเมื่อไหร่ เราจะมีโอกาสพบพระพุทธศาสนา
เช่นนี้อีก เพื่อจบเรื่องราว
เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ ก็ยากเย็นแสนเข็ญ
การเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
ยิ่งเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ท่านก็สังเวชใจว่า เรายังเป็นปุถุชน
ต่อรองยังไงเขาก็ไม่ฟัง
งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน
ท่านก็เห็นหินอยู่ด้านล่าง
เอาหินเนี่ยทุบขาตัวเองทั้งสองข้างจนแหลก
คิดดูต้องกำลังใจขนาดไหน
เจ็บปวดทุกข์ทรมานขนาดไหน
เราเป็นแผลนิดเดียว เราก็เจ็บแล้ว
ท่านทุบขาทั้งสองข้างจนกระดูกแหลก
ขาหักทั้งสองข้าง
ไปไหนไม่ได้อยู่แล้วเนี่ย
ทุบขาต่อหน้าต่อตา เลือดโชกเลย
พอท่านทำอย่างนั้นแล้ว ก็บอก
"เนี่ย พวกท่านดูสิ เราขาหักแหลกแล้วทั้งสองข้าง
เจ็บปวดอย่างยิ่ง มันไปไหนไม่ได้แล้ว
ขอเถอะ ขอให้เราได้มีชีวิตอีกคืนหนึ่ง
เพื่อบำเพ็ญสมณธรรมเถอะ
เราไม่อยากตายตอนเป็นปุถุชน
เพราะว่าถ้าเราตายตอนนี้ คติไม่แน่นอน
เมื่อไหร่เราจะมีโอกาสพบพระพุทธศาสนาอีก
ขอเถอะ ขอให้เราบำเพ็ญสมณธรรม
แม้ในช่วงวาระสุดท้ายเถิด"
พวกโจรมันเห็นอย่างนั้น มันก็เลยถอย
ออกไปล้อมอยู่ด้านนอก
ท่านก็ทุกข์ทรมานมาก ขาหักสองข้างอะ คิดดูสิ
ทุกขเวทนาแสนสาหัสขนาดนั้น
แต่ท่านก็ใช้ขันติ อดทนอดกลั้น พิจารณาไปน่ะ
คนที่ทำได้ขนาดนั้น มีไหมอาลัยในชีวิต ?
ไม่มีแล้ว
ไม่มีความกลัวตาย ไม่มีอะไรแล้ว
เพียงแต่ว่า ไม่อยากจะตายเปล่า
ไม่อยากจะตายในแบบเป็นปุถุชนนั่นเอง
ท่านก็บำเพ็ญสมณธรรมไป
จิตที่สิ้นอาลัยในตัณหา
หมดอาลัยในโลกทั้งปวงแล้วเนี่ย
ไม่อาลัยกับอะไรแล้วเนี่ย
จิตก็คลายออก หลุดออก
ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ณ ขณะนั้น
ขณะที่เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส
แล้วก็ปรินิพพาน ละสังขารในขณะนั้นเลย
เพราะว่าทุกขเวทนาหนักมาก
ท่านทั้งหลายว่าท่านตัดสินใจถูกไหมล่ะ
จบกิจได้
เจ็บปวดขนาดนั้น ลงทุนขนาดนั้น
ตอนที่ทุบจะรู้ได้ไงว่าโจรจะฟังใช่ไหม
แต่จิตใจของท่าน นั่นแหละความ ... ผู้ที่ละอาลัย
หมดอาลัยในชีวิตแล้ว
ผลสุดท้ายคือท่านก็บรรลุธรรม แล้วก็หลุดพ้น
แล้วก็ปรินิพพานในขณะนั้น
เพราะฉะนั้นให้พิจารณาตัวเราเองให้ดี
ตอนนี้เรายังมีลมหายใจอยู่
ยังมีชีวิตอยู่
ยังมีโอากาสพบพระพุทธศาสนา
ยังมีศรัทธาที่จะฟังธรรมปฏิบัติธรรม
ซึ่งโอกาสตรงนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่กับเราไปอีก
... เมื่อไร
พ้นวันนี้เราอาจจะตายลงไปก็ได้
หรือว่าเราจะไม่มีศรัทธาแล้วก็ได้
ท่านทั้งหลายว่าจะมีกิจอันใด
สำคัญกว่าสิ่งที่อยู่ต่อหน้าตรงนี้ของเรา
เพราะฉะนั้นก็พิจารณากัน เตือนตนเองให้ดี
กระแสของโลกเนี่ยมันดึงเราอยู่เสมออยู่แล้ว
แต่ถ้าเรามีความเข้มแข็งพอ
เห็นโทษภัยในวัฏสงสาร
เห็นคุณค่าของการที่เราได้เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์
พบพระพุทธศาสนา
ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยยาก
ตอนนี้เรามีโอกาสแล้ว
ถ้าเราไม่รับโอกาสนี้ไว้ ไม่ทำให้มันเต็มที่
เมื่อใดที่โอกาสมันหลุดลอยไป
เราก็ไม่รู้หรอกเมื่อไหร่มันจะเวียนมาอีก
คนที่เขาต่อคิวมาเป็นมนุษย์เนี่ย
ยาวจนสุดขอบจักรวาล ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จิตวิญญานที่รอการเกิดมาเป็นมนุษย์
มากมายมหาศาลนับประมาณไม่ได้
ยังไม่ต้องคุยกันว่าจะเป็นมนุษย์
ยุคที่พบพระพุทธศาสนาเลย
ถ้าเราพลาดรอบนี้แล้ว
เราต้องไปต่อคิวอีกนานขนาดไหนเล่า
มันเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้เลยนะ
เพราะฉะนั้นให้เห็นคุณค่าของ ปัจจุบัน
มันไม่มีกิจอันใดสำคัญกว่านี้หรอก
มันไม่มีโอกาสอันใด
ที่จะสำคัญกว่าโอกาสเช่นนี้หรอก
ตั้งใจกันให้ดี ... "
.
1
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา