14 พ.ย. 2021 เวลา 03:50 • หนังสือ
✴️ บทที่ 1️⃣ ความท้อแท้ของอรชุน (ตอนที่ 56) ✴️
🌸 อรชุนปฏิเสธการต่อสู้ 🌸
⚜️ โศลก 3️⃣6️⃣ ⚜️
หน้า 160 – 162
โศลกที่ 3️⃣6️⃣
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
โอ้ ชนารทน (กฤษณะ)★ ความสุขใดเล่าที่เราจะได้รับจากการเข่นฆ่าพงศ์เผ่าแห่งธฤตราษฎร์ราชา การสังหารอธรรมชนเหล่านี้มีแต่จะทำให้เราตกอยู่ในบาป
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
★“วิษณุ หรือ กฤษณะ ผู้รับคำสวดอ้อนวอนของมนุษย์ ชนารทน คือภาคหนึ่งของผู้รับคำสวดอ้อนวอนขอให้สมความปรารถนา จาก ชน “มนุษย์” กับ อารทน (รากศัพท์สันสกฤต อารท) “ขอ อ้อนวอน”
“ความสุขที่ได้จากการสังหารความใคร่ในวัตถุและทายาทคนอื่น ๆ ของธฤตราษฎร์จิตมืดบอด เป็นความสุขที่แปลกมิใช่หรือ ทั้ง ๆ ที่ญาติผู้เป็นศัตรูเหล่านี้ได้ใช้เล่ห์กลทำให้ข้าฯ เจ็บปวดอย่างยิ่ง ด้วยการจะทำลายชีวิตของข้าฯ แต่การฆ่าพวกเขาก็ทำให้ข้าฯ รู้สึกหดหู่อ้างว้าง นี่เป็นการทำบาปตามคำของคัมภีร์ประเสริฐ — ที่สอนว่าเราควรมีชีวิตให้กลมกลืนกับกฎแห่งจักรวาล และให้ความรักต่อศัตรูที่กำลังเผชิญหน้า ดีกว่าใช้ความรุนแรง”
. . .
◾การให้เหตุผลอย่างผิด ๆ ของผู้ภักดีที่เป็นทาสของอินทรีย์◾
เมื่อสวรรค์เข้ามาแทรกแซง ความคิดดี ๆ จะผุดขึ้นในจิตที่มีเหตุผลของผู้ภักดีที่มีความสงสัยไม่แน่ใจ “จริงรึ ที่อินทรีย์มันทำกรรมหนัก สมควรที่จะ ขจัดไปให้หมดสิ้น เพราะพวกมันทำให้ข้าฯ ทุกข์ทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ”
แต่ทิพยดำรงได้ทรงเตือนผู้ภักดีผ่านสหัชญาณของเขาให้ตระหนักว่า สิ่งเลวร้ายหลายอย่างจะเกิดแก่เขา ถ้าเขาปล่อยตัวให้มัวเมาอยู่กับกามสุข อาทิเช่น โรคภัย ความเสียใจจากความผิดหวัง จิตใจปวดร้าว ความโศกเศร้า และความโง่หลง
แต่ผู้ภักดีก็ยังอาจแย้งว่า “ข้าแต่บรมวิญญาณ ผู้ทรงปลดปล่อยผู้แสวงหาจิตวิญญาณ❗ การสังหารอินทรีย์ศัตรูที่ทำร้ายข้าฯ นี้ แม้ดูเหมือนเป็นการกระทำที่ถูกต้อง แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า ถ้าเรากระทำขัดต่อกฎแห่งจักรวาลก็เท่ากับทำบาป และถึงอย่างไรอินทรีย์เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่พลังธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นมา ทำให้มนุษย์และจักรวาลดำรงอยู่ได้ การเข้าไปก้าวก่ายกับวิญญาณที่กอปรด้วยอินทรีย์ตามธรรมชาติเช่นนี้ย่อมเป็นบาปอย่างแน่นอน นอกจากนี้พระคัมภีร์ยังกล่าวด้วยว่า เราต้องรักศัตรู ข้าแต่พระองค์ จะไม่ดีกว่าหรือถ้าเราค่อย ๆ เอาชนะอินทรีย์ด้วยการรักเขาให้เห็นเป็นตัวอย่างตามวิถีแห่งจิตวิญญาณ – ดีกว่าที่จะทำลายพวกเขา”
นี่เป็นการคัดค้านที่ฉลาดทีเดียว❗ จะมีอะไรดีกว่านี้อีกล่ะที่จะมาสนับสนุนการให้เหตุผลอย่างผิด ๆ ด้วยการอ้างพระคัมภีร์
“จงเมตตาและเข้าใจในความอ่อนแอของเราบ้าง เพราะมันเป็นมรดกตามธรรมชาติของมตชน”
นี่คือข้อโต้แย้งแข็งขันที่ผัสสะนิสัยชอบนำมาอ้าง เพื่อจับผู้ภักดีที่กำลังลังเลไว้ให้อยู่หมัด จริงอยู่ที่พระคัมภีร์และครูบาอาจารย์สั่งสอนผู้ภักดีไม่ให้ทำลายอินทรีย์แท้ ๆ แต่ให้ฆ่านิสัยเลว ๆ ของมัน คัมภีร์และอาจารย์ไม่ได้บอกผู้ภักดีให้ทำตาให้บอด ทำหูให้หนวก หรือทำให้กลิ่น รส และ สัมผัสให้เป็นอัมพาตไป ท่านได้แต่แนะนำให้ขจัดศัตรู คือ การติดยึด รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ซึ่งเป็นสิ่งที่กักขังวิญญาณมนุษย์ จนทำให้เขาลืมอาณาจักรแห่งพระองค์ผู้ทรงสถิตอยู่ทุกที่ทุกกาล
🛑 เมื่อความติดยึดกามคุณทั้งหลาย — การลวงล่อของความงามที่ไร้ความสมบูรณ์ การหลงรักคำเยินยอและคำพูดโน้มน้าว โซ่ตรวนของความโลภ การหลงใหลในเพศรส — ถูกกำจัดไปจากแหล่งเกิดของอินทรีย์สัมผัส เมื่อนั้นแหละที่อินทรีย์จะละวางอคติ จริต สัญชาตญาณ และความหมกมุ่นอยู่กับผัสสะเสียได้ แล้วอินทรีย์ก็พร้อมที่จะให้ทิพยสุขดูดดึงไป
🛑 เมื่อการโต้แย้งอย่างผิด ๆ รุกเข้ามาในจิตของผู้ภักดี เขาควรแนะนำตัวเองดังนี้ “การทำชั่ว ๆ ที่เกิดจากความโง่หลงและนิสัยเลว ๆ ที่ฉันทำลงไป บีบบังคับให้ฉันรักกามสุข ตอนนี้ฉันจะเลิกละไปจากความชั่วทั้งปวง ด้วยการทำดี ด้วยการฝึกควบคุมตน จนนิสัยดีมีความมั่นคง ฉันจะเอานิสัยดี คือความสงบในสมาธิมาแทนที่นิสัยเลวที่วุ่นวายอยู่กับอินทรีย์สัมผัส เมื่อเป็นเช่นนี้ นิสัยดีก็จะเปลี่ยนอินทรีย์ของฉัน จนฉันอาจพูดได้อย่างแท้จริงว่า ฉันเห็น ฉันได้กลิ่น ฉันลิ้มรส ฉันสัมผัส ฉันได้ยิน ฉันคิด และรู้สึกเฉพาะแต่สิ่งที่ดี”
นี่เป็นสิ่งท้าทายผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณที่จิตใจเข้มแข็ง ควบคุมตนเองได้ การทำอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ ย่อมไม่เพียงพอ มาตรการที่จะนำนิสัยดีมาแทนที่นิสัยเลว ถ้าทำอย่างนวยนาดเชื่องช้า ก็เหมือนป้อมปราการที่มีเชิงเทินไว้บังพลังชั่ว ปกป้องมันให้ใช้เหตุผลอย่างผิด ๆ และผัดวันประกันพรุ่งต่อไปเรื่อย ๆ นั่นเอง
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา