18 พ.ย. 2021 เวลา 00:07 • สิ่งแวดล้อม
เปลี่ยนขยะพลาสติกไทย สู่ธุรกิจ BCG
ปัญหาขยะพลาสติกเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อยาวนานที่ทั่วโลกกำลังแก้ปัญหา โดยเฉพาะขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-Use Plastics) มีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของพลาสติกที่ผลิตทุกปี และ 98% ของพลาสติกทั้งหมดที่เคยผลิต ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งใช้เวลา 20 – 500 ปี ในการย่อยสลาย
เปลี่ยนขยะพลาสติกไทย สู่ธุรกิจ BCG
ในปี 2019 ทั่วโลกมีการผลิตพลาสติกออกสู่ตลาดรวมกันกว่า 368 ล้านตัน ในจำนวนนี้เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งประมาณ 42% หรือ 150 ล้านตัน เกือบทั้งหมดถูกเผา ฝังในหลุมฝังกลบ หรือปล่อยทิ้งลงสู่สิ่งแวดล้อมโดยตรง มีขยะพลาสติกราว 5 -13 ล้านตัน ถูกทิ้งลงสู่แหล่งน้ำในธรรมชาติ ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ทางทะเล และลดความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนของมหาสมุทร
สัดส่วนทวีปที่มีการปล่อยขยะพลาสติกสู่มหาสมุทรปี 2019
จำนวนขยะพลาสติกที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่เริ่มการระบาดจนถึงปัจจุบัน มีประมาณ 8 ล้านตัน ในจำนวนนี้มีถึง 25,000 ตัน ถูกทิ้งลงในทะเล โดย 87% ของขยะพลาสติกจาก COVID-19 มาจากโรงพยาบาล และมี 4% เป็นบรรจุภัณฑ์จากการช้อปปิ้งออนไลน์ที่พุ่งสูงขึ้น
📌 ยิ่งใช้พลาสติกโลกยิ่งร้อน
ตลอดกระบวนการผลิตจนถึงการย่อยสลายพลาสติกมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมาก เป็นอัตราส่วนถึง 1:5 ดังนั้น สำหรับการผลิตพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว 150 ล้านตัน สร้างคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 750 ล้านตัน
📌 ขยะพลาสติกในประเทศไทย
ขยะมูลฝอยในประเทศไทยประกอบด้วยขยะพลาสติกมากเป็นอันดับ 2 มีสัดส่วน 17% รองจากเศษอาหารและพืช ขยะพลาสติกมีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี และการกำจัดขยะยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยขยะ 35% ถูกนำไปใช้ประโยชน์ และ 39% ถูกนำไปกำจัดอย่างถูกต้อง ที่เหลือถูกทิ้งอย่างผิดวิธีสู่สิ่งแวดล้อม โดยใน 1 ปี มีขยะถูกทิ้งลงทะเลถึง 700,000 - 1,000,000 ตัน
ยิ่งไปกว่านั้น การเติบโตของธุรกิจ Food Delivery ทำให้ปริมาณขยะพลาสติกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง COVID-19 กรมควบคุมมลพิษประเมินว่าปริมาณขยะพลาสติกจาก Food Delivery ในปี 2020 อยู่ที่ 4,200 พันล้านชิ้น และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 8,720 พันล้านชิ้น หรือคิดเป็นน้ำหนัก 130,811 ตัน ในปี 2025
📌 การแก้ปัญหาในระดับธุรกิจ ประเทศ และนานาชาติ
ขณะนี้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ผลิตพลาสติกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยเน้นไปที่การนำพลาสติกรีไซเคิลกลับมาใช้ซ้ำ และวัสดุทดแทนอื่นๆ
สหภาพยุโรป ในปี 2019 มีการออกกฎหมายห้ามผลิตและใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งหลายประเภท และรัฐบาลทุกประเทศต้องเพิ่มสัดส่วนพลาสติกรีไซเคิลสำหรับขวดพลาสติกทุกประเภทต้องไม่น้อยกว่า 30% ภายในปี 2030
ประเทศผู้ผลิตและนำเข้าพลาสติกรายใหญ่อย่างจีนมีการปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวข้องกับการจัดการขยะพลาสติก โดยตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป ห้ามนำเข้าขยะจากต่างประเทศอย่างเด็ดขาด ห้ามใช้พลาสติกประเภทใช้แล้วทิ้งหลายประเภท และบังคับให้มีการคัดแยกขยะในระดับครัวเรือน โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยติดตามเพื่อให้เกิดการแยกขยะอย่างถูกต้อง
1
ในส่วนของประเทศไทยไม่ได้มีการจัดการเป็นรูปธรรมในทางกฎหมายข้อบังคับ มีเพียงการทำ MOU ระหว่างภาครัฐ เอกชน และวิชาการ เพื่อลดการใช้พลาสติกจาก Food Delivery เท่านั้น
อย่างไรก็ตามมีการตั้ง Roadmap การจัดการขยะพลาสติก มีเป้าหมาย คือ ในปี 2022 ต้องเลิกใช้ขยะพลาสติก 4 ชนิด ได้แก่ ถุงพลาสติกหูหิ้ว, กล่องโฟม, แก้วพลาสติก และหลอดพลาสติก และต้องนำขยะพลาสติก 7 ชนิด ได้แก่ ถุงพลาสติก, ถาด/กล่องอาหาร, ฝาขวด, ช้อนส้อมมีดพลาสติก, ฟิล์ม, ขวดพลาสติก และแก้วพลาสติกแบบหนา กลับมารีไซเคิลให้ได้ 100% ในปี 2030
ธุรกิจเกี่ยวกับขยะในประเทศไทยที่สอดคล้องกับโมเดล BCG
📌 ธุรกิจรีไซเคิลขยะ
ขยะพลาสติกที่นำมารีไซเคิลได้ เป็นพลาสติกประเภทเทอร์โมพลาสติก ที่เมื่อให้ความร้อนแล้วจะเกิดการอ่อนตัวและหลอมเหลว และจะแข็งตัวเมื่อทำให้เย็นลง พลาสติกที่แข็งตัวแล้วสามารถนำมาหลอมซ้ำได้
การส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมของประเทศ ส่งผลให้มีนโยบายสนับสนุนให้ตั้งโรงงานรีไซเคิลและโรงงานคัดแยกขยะรีไซเคิลเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับขยะจากอุตสาหกรรม โดยธุรกิจโรงงานรีไซเคิลและคัดแยกของเสียในประเทศไทย มีจำนวน 608 ราย จำนวนเงินลงทุนรวมประมาณ 5,500 ล้านบาท
แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลไทยได้มีการทำข้อตกลงการค้าเสรีกับหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงการนำเข้าเศษขยะพลาสติกด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดปัญหาต่อผู้ประกอบการไทย
ในปี 2018 “ผู้ประกอบการรีไซเคิลเศษพลาสติกในจีนหลายราย” ย้ายฐานผลิตมายังประเทศไทย ทำให้ปริมาณนำเข้าเศษพลาสติกถูกแฝงด้วยขยะพลาสติกเพิ่มขึ้นกว่า 5 แสนตัน เดิมภาครัฐมีมติให้ยกเลิกนำเข้าเศษพลาสติก แต่ “กลุ่มโรงงานรีไซเคิลเศษพลาสติก” เรียกร้องให้นำเข้าโดยอ้างว่า “ขาดแคลนวัตถุดิบในประเทศ” จึงมีการขยายระยะเวลาการนำเข้าต่อไปอีกจนถึงปี 2025
นโยบายที่ย้อนแย้งของการให้เลิก/ลดใช้พลาสติก แต่กลับอนุญาตให้มีการนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศที่มีราคาถูก ทำให้ราคาพลาสติกรีไซเคิลในประเทศตกต่ำมาก โดยเปรียบเทียบราคารับซื้อพลาสติก PET เมื่อ 20 ปีก่อนที่สูงถึงกิโลกรัมละ 30 บาท ลดลงเหลือกิโลกรัมละ 11 บาท อาชีพซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าระดับรากหญ้าไม่สามารถอยู่รอดได้ และอาจต้องเลิกทำอาชีพนี้ไป สุดท้ายจะไม่มีใครเก็บขยะมาขาย ทำให้ภาครัฐต้องรับภาระกำจัดขยะที่มีจำนวนมากขึ้น
📌 ธุรกิจผลิตพลังงานจากขยะ (Waste to Energy)
พลาสติกเป็นแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพอย่างมาก เนื่องจากพลาสติกผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ดังนั้น พลาสติกจึงสามารถนำไปแปลงสภาพเป็นเชื้อเพลิงเหลวได้
กระทรวงพลังงานให้การสนับสนุนการนำขยะพลาสติกมาแปรรูปเป็นน้ำมันไพโรไลซิส ซึ่งสามารถใช้ทดแทนน้ำมันเตาและดีเซลรอบต่ำ การแปรรูปขยะพลาสติกนี้จะสามารถลดขยะได้ 3.76 ล้านตันต่อปี ลดงบประมาณในการกำจัดขยะถึง 1,500 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นมูลค่าทดแทนน้ำมันเตา 20,088 ล้านบาทต่อปี
1
นอกจากนี้ หลายบริษัทในต่างประเทศ เช่น Linde ร่วมกับ Hydrogen Utopia ในโปแลนด์, Peel Environmental ร่วมกับ Waste2Tricity และ PowerHouse Energy ในอังกฤษ มีการพัฒนาและนำเทคโนโลยีการแปลงพลาสติกให้เป็นไฮโดรเจนมาใช้ ซึ่งใช้ได้กับพลาสติกทุกประเภท แม้แต่พลาสติกที่อาจมีคราบน้ำมัน ผลผลิตไฮโดรเจนที่ได้สามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม และรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนในอนาคต
1
อุตสาหกรรมพลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพของไทยนั้น มีมูลค่าประมาณ 9.5 หมื่นล้านบาท จัดเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงจากนโยบายเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนของภาครัฐ และเป็นโอกาสให้นักลงทุนได้พัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรม
📌 ธุรกิจ Startup
ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมจะช่วยให้กระบวนการจัดการขยะมีประสิทธิภาพสูงสุด ตัวอย่างเช่น
ในประเทศแคนาดา บริษัท Startup ชื่อ Char Technologies นำกระบวนการย่อยสลายแบบไร้อากาศจากแบคทีเรียมาใช้เปลี่ยนขยะพลาสติกให้เป็น Activated charcoal ที่ใช้ในการดูดซับสารพิษ สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น อุตสาหกรรมเคมี, ยา และการผลิตปุ๋ย
1
บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ Earth911 ได้พัฒนา iRecycle แอปพลิเคชัน ซึ่งรวมข้อมูลการบริหารจัดการขยะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการกับขยะอย่างเหมาะสมและยังสามารถติดตามการมีส่วนร่วมต่างๆ ในการรีไซเคิลได้ ซึ่งมีบริษัทใหญ่หลายบริษัทเข้ามาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ด้วย เช่น Johnson & Johnson, ExxonMobil, DELL และ Energizer
ประเทศไทยเรามีทรัพยากรด้านการวิจัยและพัฒนา และมีศักยภาพที่จะคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ จากหลายองค์กรที่พร้อมให้ความร่วมมือ เป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการในการสร้างธุรกิจไปพร้อมกับรักษาสิ่งแวดล้อมได้
📌 ธุรกิจพลาสติกชีวภาพ
1
แม้จะไม่ได้เป็นการกำจัดจำนวนขยะพลาสติกที่เดิมมีอยู่แล้ว แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการลดการใช้พลาสติกจากฟอสซิลมาเป็นพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้แทน ซึ่งยั่งยืนกว่าในระยะยาว สอดคล้องกับนโยบายการขับเคลื่อนประเทศด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) เป็นการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
📌 บทสรุป
แม้ว่าไทยจะกำหนดเป้าหมายลดการใช้พลาสติกแล้ว แต่การจัดการกับขยะพลาสติกในไทยยังไม่มีการพัฒนา ในด้านระบบการจัดการ การแยกขยะเพื่อนำกลับไปรีไซเคิลหรือกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งจากการสำรวจของสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย พบว่าในปี 2020 ขยะที่นำไปรีไซเคิล มีสัดส่วนที่ลดลง จากระดับปกติประมาณ 27 % อีกทั้งยังมีเปิดให้มีการนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศทำให้ขยะพลาสติกในประเทศไม่ลดลง ส่งผลต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศ รวมถึงอาจไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนตามที่ไทยได้แสดงเจตนารมณ์ในการประชุม COP26 ว่า ประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2065
2
บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
"พลาสติกย่อยสลายได้" โอกาสธุรกิจที่เติบโตได้ของไทย
#ขยะพลาสติก #พลังงานจากขยะ #COP26
#Bnomics #เศรษฐศาสตร์ #Economics
ผู้เขียน : ปรียา ชัชอานนท์ Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
▶︎ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
Reference :

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา