20 พ.ย. 2021 เวลา 12:41 • ประวัติศาสตร์
ทำความรู้จักกับ John D. Rockefeller ผู้ร่ำรวยกว่า Elon Musk
ในช่วงปีที่ผ่านมา Elon Musk เจ้าของกิจการธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังอย่าง Tesla Motor และกระสวยอวกาศอย่าง SpaceX ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก จากการที่หุ้นของบริษัท Tesla ของเขาพุ่งทะยาน เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทำให้ล่าสุด เขามีมูลค่าทรัพย์สินสูงถึงราวๆ 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ทิ้งห่าง Jeff Bezos บุคคลร่ำรวยอันดับสองของโลก อย่างเทียบไม่ติด
6
John D. Rockefeller
แต่ความจริงแล้ว ในประเด็นนี้ หากเรามองย้อนประวัติศาสตร์กลับไป จะพบว่า มีบุคคลที่ร่ำรวยกว่า Elon Musk และพอที่จะเป็นคู่หมัดคู่มวยได้เช่นกัน บุคคลที่ว่าคือ John D. Rockefeller มหาเศรษฐี ผู้ก่อตั้งอาณาจักรน้ำมัน Standard Oil ซึ่งมีการประเมินกันว่ามูลค่าทรัพย์สินของเขานั้นสูงถึงราวๆ 3 – 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามมูลค่าเงินในปัจจุบัน
2
ด้วยเหตุนี้ วันนี้ Bnomics จะพาทุกคนมองย้อนประวัติศาสตร์ เพื่อศึกษาเส้นทางชีวิตที่น่าสนใจของเขากันครับ
📌 John D. Rockefeller ไม่ได้เป็นคนร่ำรวยมาแต่กำเนิด... หากแต่สร้างตัวเองจากศูนย์
11
John D. Rockefeller หรือชื่อเต็มคือ John Davison Rockefeller เกิดในวันที่ 8 กรกฎาคม 1839 ในนครรัฐ New York โดยเขาเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ดี หรือเพรียบพร้อมนัก พ่อของเขาทำอาชีพเป็นนักต้มตุ๋น ลวงโลก ตระเวนหลอกคนไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยอยู่บ้าน อีกทั้งยังมีชู้ มีภรรยาหลายคน
4
ชีวิตของเขาจึงได้ใช้เวลาส่วนใหญ่กับแม่เป็นหลัก ด้วยความโชคดีว่าแม่ของเขาเป็นคนที่ค่อนข้างประหยัดมัธยัสถ์ และมักจะสอนลูกเสมอว่าให้ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น อย่าฟุ่มเฟือย จึงทำให้เขาได้รับบุคลิกนิสัยส่วนนี้มา และทำให้รู้จักประหยัดอดออม ตั้งแต่ยังเด็ก โดยการเลี้ยงไก่งวง ปลูกมันฝรั่งและนำไปขาย ตลอดจนถึง การปล่อยกู้เงินเล็กๆ น้อยๆ ที่เก็บได้มา เพื่อกินดอกเบี้ยจากบรรดาเพื่อนบ้านโดยรอบ
9
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะถูกเลี้ยงดูโดยแม่ของเขาเป็นหลัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากพ่อของเขา สิ่งหนึ่งที่พ่อของเขาสอนก็คือว่า ให้พยายามหาโอกาสในการเอาเปรียบคนอื่นเสมอ โดยพ่อของเขายังเคยได้บอกอีกว่า เขาโกงลูกๆ ของเขาตลอด เพื่อสอนให้ลูกเขาเป็นคนที่ฉลาด หัวไว มีเล่ห์เหลี่ยมและไหวพริบมากยิ่งขึ้น
8
แต่แน่นอน จอห์นก็เลือกที่จะพยายามตีตัวออกห่างจากพ่อของเขาโดยตลอด เนื่องจากไม่อยากรับนิสัยที่แย่ๆ มา
8
ต่อมา เมื่อในปี 1853 เมื่อเขาอายุได้ราวๆ 12 ปี ครอบครัวของเขาก็ได้ย้ายไปอยู่ที่เมือง Strongville รัฐโอไฮโอ ซึ่งก็ทำให้จอห์นได้มีโอกาสเข้าเรียนฟรีในโรงเรียนมัธยมของเมือง Cleveland ในขณะนั้น และทำให้ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นได้
1
โดยต่อมา เขาได้มีโอกาสเข้าเรียนหลักสูตรการทำบัญชีระยะสั้นใน Folsom’s Commercial College ซึ่งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ทำให้เขาได้ไปทำงานงานแรก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่ชีวิตการเป็นนักธุรกิจของเขา
2
📌 จุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่ชีวิตนักธุรกิจ
ทั้งนี้ งานแรกของจอห์น คือ การเป็นผู้ช่วยนักการบัญชีของบริษัทการค้าเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมือง Cleveland ที่ชื่อว่า Hewitt & Tuttle โดยในช่วงที่เขาทำงานอยู่ที่นั้น เป็นช่วงเวลาที่เขาได้ทำงานหนักและมีโอกาสได้เรียนรู้เยอะมาก ตั้งแต่การคำนวณต้นทุนการขนส่ง ไปจนถึงศาสตร์ของการเจรจาธุรกิจ มีการคุยเจรจากับเจ้าของคลองขนส่งสินค้า (Barge Canal) กัปตันเรือ และบรรดาเจ้าหน้าที่ขนส่งด้วยตัวเอง
2
ในช่วงสามเดือนแรกนั้น เขาได้เงินเดือน 31 เหรียญสหรัฐฯ แต่ต่อมาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็น 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน และจนในปีสุดท้าย ผลงานที่น่าพึงพอใจของเขาก็ทำให้เขาได้เงินเดือนถึง 58 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน
ต่อมา ในปี 1859 จอห์นก็ได้ร่วมกับหุ้นส่วนของเขา เปิดธุรกิจค้าสินค้าอาหารด้วยตัวเอง ด้วยเงินลงทุนขั้นต้นที่ 4,000 เหรียญสหรัฐฯ โดยธุรกิจของเขาก็ขยายตัว เติบโตได้ดีอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงปีที่สามของการทำธุรกิจ ซึ่งเกิดสงครามกลางเมืองในสหรัฐฯ ขึ้น จึงทำให้เกิดความต้องการซื้ออาหารสูงขึ้นอย่างมาก เพื่อใช้ในการหล่อเลี้ยงกำลังพลในกองทัพ
10
และในช่วงสงครามกลางเมืองนี้เอง ที่ทำให้จอห์น มองเห็นโอกาสในการเข้ามาทำธุรกิจในอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมัน ซึ่งกำลังบูมมากในขณะนั้น และมีส่วนต่างกำไรที่ค่อนข้างสูงมาก จอห์นกับหุ้นส่วนของเขาจึงได้เปลี่ยนจากการทำธุรกิจอาหารมาเป็นธุรกิจกลั่นน้ำมันก๊าด โดยพวกเขาได้สร้างโรงกลั่นน้ำมันในเมือง Cleveland ขึ้นในปี 1863
2
Standard Oil ในเมือง Cleveland ปี 1863
ทั้งนี้ ธุรกิจการกลั่นน้ำมันของพวกเขายังถือได้ว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าบริษัทอื่นๆ ในขณะนั้นด้วย โดยมีการนำน้ำมันที่ได้มาไปใช้อย่างเต็มที่ เช่น เอาน้ำมันไปใช้เพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงกลั่น และนำที่เหลือไปแปรรูปเป็นน้ำมันหล่อลื่น ปิโตรเลียมเจล ในขณะที่เจ้าอื่นๆ ไม่ได้แปรรูปต่อ หากแต่เอาส่วนที่เหลือไปทิ้งตามแม่น้ำแทน
6
📌 มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ สู่การก่อร่างสร้างอาณาจักรน้ำมัน
จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นในปี 1865 ช่วงที่สงครามกลางเมืองกำลังสิ้นสุดลงพอดี เมื่อจอห์นได้นำเงินก้อนใหญ่กว่า 72,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปัจจุบันไปซื้อหุ้นจากหุ้นส่วนของเขา
2
เนื่องจากเขามองเห็นโอกาสในการขยับขยายธุรกิจดังกล่าวให้มั่งคั่งยิ่งขึ้นไปอีกได้ในช่วงหลังสงครามจบลง ทำให้เขาตั้งบริษัทขึ้นมาในชื่อว่า Rockefeller & Andrews (โดย Andrews ก็คือหนึ่งในหุ้นส่วนอีกคนที่เป็นนักเคมีและถือหุ้นมาตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจกลั่นน้ำมันก่อนหน้านี้)
3
ทั้งนี้ จอห์นได้เคยกล่าวเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนั้นว่าเป็นการตัดสินใจที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตการทำงานเลยก็ว่าได้
2
หลังจากนั้น ในปี 1866 พี่ชายของจอห์นก็ได้สร้างโรงกลั่นน้ำมันขึ้นอีกแห่งในเมือง Cleveland และก็ได้ชวนจอห์นและหุ้นส่วนของเขามาร่วมในธุรกิจดังกล่าวด้วย อีกทั้งยังได้ Henry Morrison Flagler มาเป็นหุ้นส่วนอีกคน นำไปสู่การตั้งบริษัท Rockefeller, Andrews & Flagler ขึ้น
1
ซึ่งในเวลาต่อมา บริษัทก็ได้เติบโตอย่างมาก และเปลี่ยนสภาพไปเป็น The Standard Oil of Ohio โดยภายใต้การบริหารงานของ Rockefeller บริษัทของเขาได้กลายมาเป็นโรงกลั่นน้ำมันที่ทำกำไรได้เยอะที่สุดในรัฐ Ohio และเป็นผู้ขนส่งน้ำมันและน้ำมันก๊าดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศในขณะนั้น
2
นอกจากนี้ ด้วยการจัดการที่มีประสิทธิภาพและความร่วมมือกับบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเช่น บริษัทรถไฟขนส่งสินค้า ก็ทำให้กิจการของ The Standard Oil ดำเนินไปได้ดีอย่างมาก สามารถขายน้ำมันราคาถูกให้กับผู้บริโภคได้ ทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกาต่างได้รับผลประโยชน์ จนทำให้น้ำมันก๊าดที่แต่เดิม มีแต่ชนชั้นสูงที่ซื้อได้ ก็สามารถเข้าถึงได้โดยคนทั่วไป
📌 สารพัดวิธีในการจัดการคู่แข่ง จนเกิด “การสังหารหมู่ที่ Cleveland”
1
แต่ทว่า แม้ว่าผู้บริโภคชาวอเมริกันจะได้ประโยชน์ แต่สำหรับคู่แข่งคนอื่นๆ นั้นก็ถือว่าเป็นทุกข์มาก เพราะ Rockefeller ก็ได้ใช้สารพัดวิธีที่ทำให้คู่แข่งที่เล็กกว่าต้องล้มหายตายจาก ปิดกิจการไปจำนวนมาก อย่างเช่น ดีลที่ร่วมกับบริษัทรถไฟขนส่งสินค้าเอง ก็ส่งผลกระทบต่อผู้กลั่นน้ำมันรายย่อยอย่างมาก
1
หลังจากนั้น เพื่อพัฒนาให้กิจการของเขาเจริญรุ่งเรืองและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก เขาก็ได้เริ่มทยอยซื้อกิจการของคู่แข่งโดยเริ่มจากบรรดากิจการที่ทำธุรกิจได้แย่ ไร้ประสิทธิภาพก่อน และค่อยนำมาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในภายหลัง
5
หากใครที่ไม่ยอมขาย ก็จะระดมบรรดาสารพัดวิธีต่างๆ ทั้งที่สะอาดและสกปรกในการจัดการกดดัน จนสุดท้าย เข้าซื้อกิจการกลั่นน้ำมันในเมือง Cleveland ได้ถึง 22 รายจากทั้งหมด 26 ราย จนคนเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็น “การสังหารหมู่ ณ เมือง Cleveland”
6
แม้แต่ธุรกิจยักษ์ใหญ่คู่แข่งของเขาอย่าง Charles Pratt and Company ยังต้องยอมจำนน เพราะมองไม่เห็นทางที่จะแข่งขันกับ Standard Oil ต่อไปได้ จนต้องยอมขายกิจการและร่วมทำธุรกิจด้วยกันในที่สุด
โดยหลักคิดของ Rockefeller ก็คือว่า สิ่งที่เขาทำนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดแต่อย่างใด หากแต่เป็นการกำจัดบริษัทที่อ่อนแอ และทำให้ภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมแข็งแกร่งขึ้น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่างหาก
10
📌 กำเนิดอาณาจักรน้ำมันยักษ์ใหญ่ของ Rockefeller อย่างเป็นทางการ
1
ธุรกิจของ Rockefeller เติบโตได้ดีอย่างมาก จนขยายกิจการไปหลายมลรัฐ มีการตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อดูแลการดำเนินธุรกิจในรัฐนั้นๆ โดยเฉพาะ เนื่องจากกฎหมายสหรัฐฯ ในขณะนั้น ไม่อนุญาตให้ธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งในมลรัฐหนึ่งประกอบกิจการในอีกมลรัฐได้
4
แต่ด้วยขนาดของกิจการที่ได้เติบโตไปอย่างต่อเนื่อง Rockefeller และหุ้นส่วนธุรกิจของเขาจึงได้คิดวิธีขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายที่มีอยู่ เพื่อให้ธุรกิจของพวกเขาเติบโตไปได้อย่างดีที่สุด โดยได้มีการรวบรวมกิจการต่างๆ ให้มาอยู่รวมกันในชื่อ The Standard Oil Trust ในปี 1882 โดยมี Standard Oil Company of New Jersey และ Standard Oil Company of New York เป็นสองบริษัทหัวเรือใหญ่ในทรัสต์ดังกล่าว
4
กิจการของ Standard Oil เรียกได้ว่าเป็นอาณาจักรธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ เนื่องจากมีอำนาจเหนือตลาดกลั่นน้ำมันและขายน้ำมันได้เกือบทั้งหมด มีบ่อน้ำมันถึง 20,000 บ่อ มีท่อขนส่งน้ำมันที่ยาวถึง 4,000 ไมล์ และพนักงานกว่า 100,000 คน และสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้สูงถึง 90% ในตลาดสหรัฐฯ
4
นอกจากนี้ ธุรกิจ Standard Oil ของ Rockefeller ยังยิ่งใหญ่มากถึงขั้นที่ว่าครองสัดส่วนการกลั่นน้ำมันในโลกได้สูงถึง 90% ของการกลั่นน้ำมันทั้งโลก ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งในความฝันของ Rockefeller ในการควบคุมการกลั่นน้ำมันทั้งโลกไว้ได้แต่เพียงผู้เดียว
อย่างไรก็ตาม กิจการของ Rockefeller ก็เผชิญกับข้อครหาจากบรรดาสาธารณะชนอย่างมาก ถึงพฤติกรรมที่มีการกำจัดคู่แข่ง และเข้าครองส่วนแบ่งการตลาดแต่เพียงผู้เดียว
1
📌 จากอาณาจักรผูกขาด สู่การจัดการของภาครัฐ
จนสุดท้าย เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญในปี 1890 เมื่อสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมาย Sherman Antitrust Act ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำคัญในการจัดการกับบริษัทที่มีพฤติกรรมผูกขาดและกีดกันไม่ให้ผู้อื่นมาประกอบกิจการกับตัวเอง
ทำให้ต่อมาในปี 1892 หลังจากถูกเพ่งเล็งมานาน Standard Oil Trust ก็ถูกสั่งให้แยกกิจการออกไป แต่หลังจากนั้น Standard Oil ก็ยังคงประกอบกิจการต่อไปได้
4
ต่อมาในช่วง 1901 เมื่อประธานาธิบดี Theodore Roosevelt เข้าสู่ตำแหน่ง หนึ่งในนโยบายหลักของเขาก็ คือ การจัดการกับบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ผูกขาดตลาดผ่านการใช้กฎหมาย Sherman Antitrust Act นี่แหละ ทำให้ Standard Oil ของ Rockefeller ก็ยังคงถูกเพ่งเล็งอย่างต่อเนื่อง
1
ต่อมาในปี 1909 Rockefeller ก็ได้ก่อตั้งเป็นบริษัทโฮลดิ้งขึ้นในชื่อว่า Standard Oil Company of New Jersey เพื่อควบรวมและจัดการดูแลกิจการของ Standard Oil ทั้งหมดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม
แต่สุดท้าย เพียงแค่สองปีต่อมา ในปี 1911 ศาลสูงของสหรัฐฯ ก็มีคำสั่งให้ Standard Oil Company of New Jersey แยกกิจการออกไปอย่างเป็นทางการ และแตกออกเป็นบริษัทต่างๆ มากมาย ซึ่งภายหลังก็ได้เติบโตมาเป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในปัจจุบัน อย่างเช่น ExxonMobil และ Chevron เป็นต้น และเป็นจุดจบของอาณาจักรน้ำมัน Standard Oil อันยิ่งใหญ่ของ John D. Rockefeller
4
📌 การสั่งแยกกิจการกลับทำให้เขาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่
4
แต่ทว่า การแยกกิจการดังกล่าวก็ใช่ว่าจะทำให้ความมั่งคั่งของเขาลดลงแต่อย่างใด เพราะเมื่อบริษัทโฮลดิ้งถูกสั่งแยกกิจการไปเป็นบริษัทย่อยกว่า 34 บริษัท
2
สัดส่วนการถือครองหุ้นของ Rockefeller ก็ยังถูกแยกย่อยอย่างเท่าๆ กันไปยังบริษัทเหล่านี้ด้วย และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อธุรกิจถูกสั่งแยกออกมา บริษัทเล็กๆ เหล่านี้กลับเติบโตไปได้สูงกว่าสมัยที่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่บริษัทเดียวเสียอีก
2
โดยมูลค่าของบริษัทพวกนี้ก็ได้เพิ่มขึ้นสองถึงสามเท่า ภายในเวลาไม่กี่ปี ทำให้ Rockefeller ก้าวขึ้นไปเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ โดยในปี 1937 ที่เขาเสียชีวิตลง มูลค่าทรัพย์สินของเขาสามารถตีเป็นมูลค่าในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3 – 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้เขาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ไปโดยปริยาย
4
ซึ่งในตอนนี้ก็มีเพียงแค่ Elon Musk เท่านั้นที่พอจะสู้ได้บ้าง และก็ทำให้น่าแอบคิดว่า ถ้าทุกวันนี้ Rockefeller ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะมาทวิตหรือทำเหรียญแข่งกันกับ Elon Musk หรือไม่...
3
▶︎ Bnomics แนะนำอ่านบทความเกี่ยวกับ
1
“ExxonMobil… อีกหนึ่งดีลการควบรวมกิจการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์”
1
#StandardOil #John_D_Rockefeller #ExxonMobil #Chevron #ElonMusk
#Bnomics #All_about_History #เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน
ผู้เขียน : เอกศิษฎ์ น้าวิไลเจริญ Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
▶︎ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
Reference :

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา