4 ธ.ค. 2021 เวลา 14:12 • ไลฟ์สไตล์
“CARE”
คำถาม : ในการดำรงชีวิตในปัจจุบัน เราจะตัดคำว่า “ตัวเรา” หรือ “ตน” ออกจากการดำรงชีวิตได้อย่างไร ขอท่านอาจารย์ได้ให้แนวคิดนอกเหนือจากการใช้ "สติ สัมปชัญญะ สมาธิ และปัญญา" เป็นแนวทางในการดำรงอยู่ในปัจจุบัน
"… คือ ง่ายมากเลยนะ ในช่วงเวลาที่เราไม่มีตัวเรา หรือว่า “ตัวกู” หรือว่า ความรู้สึกเป็นอัตตา คำว่า อัสสมิมานะ ในภาษาบาลี ซึ่งความหมายใกล้เคียงกันหมด อัตตา ตัวตน อันนี้เราเข้าใจได้
เราจะใช้ชีวิตยังไง เพื่อไม่ให้มีอัตตาตัวตน อย่างที่ท่านถาม คือ “เห็นประโยชน์ของคนอื่นเป็นหลัก”
1
เห็นประโยชน์ของคนอื่นเป็นหลัก
ไม่ทำเพื่อตัวเอง
เช่น สมมติว่าท่านทำกิจการอะไรสักอย่างก็ได้ เอาอะไรดี เอาร้านอาหารก็ได้
สมมติเราทำร้านอาหาร เราตั้งใจจะทำอาหารให้ดี มีคุณภาพมากที่สุด โดยใส่หมูเห็ดเป็ดไก่ลงไปเต็มที่โดยที่เรายังเหลือกำไรพอสมควร แต่เราทำดีที่สุดเพื่อให้ลูกค้าได้ของที่ดีที่สุด
กับถ้าเรามีตัวตน หรือว่าเซลฟ์จัด หรือว่าไปมุ่งเน้นที่กำไรของกูต้องมากที่สุด ภาพมันจะเปลี่ยนไป ความรู้สึกจะเปลี่ยนไป เราจะไปมุ่งเน้นที่ “เงิน​“ เป็นหลัก พอรวยขึ้นมาก็เกิดราคะ เกิดอะไรต่ออะไรเยอะแยะ
แต่กับการที่เรามองไปที่ประโยชน์ของผู้อื่นเป็นหลัก อันนี้ ที่จะทำให้เราสามารถทำงาน หรือว่ากลับไปใช้ชีวิตโดยที่มีธรรม
ผมยกตัวอย่างที่เป็นตัวอย่างจริงก็แล้วกัน
ผมเคยไปอบรมให้บริษัทรถยนต์เจ้าหนึ่ง ก็มีคนที่เข้ามาสู่การปฏิบัติธรรมในคอร์สปฏิบัติ ก็จบไปคอร์สหนึ่ง แล้วอีกปีหนึ่งก็เปิดอบรมอีกคอร์สหนึ่ง คน ๆ นั้นกลับมาเข้าคอร์ส
ในวันที่มีการออกมาแสดงความรู้สึก หรือว่าเล่าอะไรให้ฟัง เค้าก็เล่าให้ฟังว่า
หลังจากที่เค้ามาเข้าคอร์สปฏิบัติในปีที่แล้ว แล้วกลับไป คือตำแหน่งของเค้าก็ไม่ได้อะไร ก็คือเรียกอะไรอ่ะ คล้าย ๆ ประชาสัมพันธ์อะไรอย่างนี้ ที่จะต้องคอยรับสายลูกค้าที่โทรเข้ามา
ทีนี้ ลูกค้าก็เอารถมาซ่อมก็ด่า ๆๆๆ ว่า ๆๆๆ เวลาไม่ได้ดั่งใจก็ด่าว่ามาตลอด เค้าก็เจอสภาพอย่างนี้มาทุกวัน เค้าก็ “โหยย ทำไมต้องด่ากันด้วย พูดกันดี ๆ ก็ได้”
แต่หลังจากปฏิบัติธรรมเสร็จ เค้าเล่าให้ฟังว่า กลับไปถึงที่ทำงาน ลูกค้าก็โทรมา ก็ด่าเหมือนเดิม ไม่ได้ถามนี่ไปปฏิบัติธรรมมาเหรอ ก็ด่าเท่าเดิม แต่เค้าบอกว่ามันแปลกนะอาจารย์ หลังจากที่กลับไปแล้วก็ลูกค้าด่าเนี่ย เห็นว่า เค้ากำลังเป็นทุกข์
เมื่อก่อนนี้ เราจะรู้สึกว่า “โหย ทำไมพูดดี ๆ ไม่เป็นหรือไง ทำไมต้องด่าทุกคำเลย”
แต่พอหลังจากปฏิบัติธรรมกลับไปรับสาย ลูกค้าก็เฉ่งมาเหมือนเดิม เห็นว่าลูกค้ากำลังมีความทุกข์ แล้วก็พยายามที่จะช่วยเหลือ “เดี๋ยว ๆ นะครับ เดี๋ยวไปดูให้” แล้วก็ไปดูแลจัดการ จนกระทั่งทุกอย่างเรียบร้อย แล้วก็รายงานเค้าไป ลูกค้าจากคำด่าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นขอบคุณที่ช่วยเป็นธุระให้
แล้วบ่อยครั้งเข้า ๆ ๆ เค้าก็ชักเอะใจว่า เอ๊ะ อะไรเนี่ย ทำไมเหรอ
แล้วก็กลับมีความสุข ทั้ง ๆ ที่เขาถูกด่าเหมือนเดิม
นึกออกมั้ยว่า “ตัวกู ของกู” ที่พูดถึงเนี่ย คืออะไร ?
เมื่อสภาพตัวกูมันมีอยู่ แล้วมันขึ้นมาขวาง เราจะเห็นแต่ตัวเราเอง
สมมติว่าเพื่อนท่านมาปรับทุกข์ หรือมาเล่าอะไรให้ฟังสักอย่าง
“เออ ฉันก็เป็นอย่างนั้นนะเธอ เนี่ยนะวันก่อนฉัน … “
เห็นมั้ย เราฟังเค้ารึเปล่าเนี่ย
ทำไมอยู่ ๆ เราก็เอาแต่เรื่องของเราออกมาเล่าล่ะ
เค้ากำลังมาคุยกับเรา
แต่เรากลับดันเอาเรื่องของเรามาคุยกับเค้า
แล้วถ้าคนไม่มีตัว ในช่วงนั้น
ผมไม่ได้บอกว่าถึงกับชำระได้ ละสักกายทิฏฐิหรอก
แต่ตัวตนเนี่ย มันไม่ได้มีตลอดเวลา
ขึ้น ๆ ลง ๆ เกิด ๆ ดับ ๆ ตามเหตุปัจจัย
ในช่วงเวลาที่ท่านเห็นอกเห็นใจคนอื่น
ตัวตนของท่านอาจจะลดลงเหลือเท่า เหลือศูนย์ด้วยซ้ำ
ในช่วงเวลานั้นน่ะ
ดังนั้น ท่านจะเห็นอกเห็นใจ คนที่เค้ามาพูดกับเรา
แล้วก็ "โอ … ตายละ ทำไงดีเนี่ย"
จะพยายามนึกทุกอย่างว่าเราจะทำอะไรให้เค้าได้
แล้วเมื่อสิ่งนี้ หรือว่าตัวตนนี้ หรือว่าอัตตามันเกิดดับลงในตอนนั้น
ท่านจะเห็นคนทุกคนเหมือนกัน
เช่น ถ้ามีคนแก่คนนึงจะข้ามถนน
อ๊ะ ผมเบรคภาพนี้ไว้ก่อน
ถ้าสมมติว่าคุณแม่ของเราที่แก่กำลังจะข้ามถนนเนี่ย
เราจะทำยังไง
เราก็จะต้องเข้าไปประคอง หันซ้ายหันขวา ดูอย่างเอาใจใส่
เพื่อจะพาข้ามถนนไปให้ปลอดภัยที่สุด
แต่พอเป็นคนอื่นเนี่ย เราก็อาจจะเฉย ๆ ไม่ใช่ธุระของเรา
แต่ท่านเชื่อมั้ย เมื่อตัวตนมันดับลง
ผู้หญิงแก่ที่กำลังจะข้ามถนน
เราจะดูแลเค้าดีเท่าแม่เรา
นั่นแหละ วันไหนก็ตามที่ตัวตน หรืออัตตา มันหายไป
ท่านจะเห็นคนทั้งโลก
แล้วคำนึงที่จะผุดขึ้นมาในวันที่ …​
สมมติว่าวันที่ใครสักคนเข้าถึงธรรมนั้นเนี่ย
จะมีคำ ๆ นึงที่เต็มเปี่ยมขึ้นมาในหัวใจแบบไม่เคยมีมาก่อนเลย
คือคำว่า "CARE"
แล้วมันเป็น CARE ที่ CLEAN แล้วก็ PURE ที่สุด
โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจากใครอีกเลย
จะทำให้ทั้งหัวใจจนหมด
จะช่วยเท่าที่ช่วยได้
แต่ที่แปลกที่สุดคือ ช่วยให้ตาย ไม่มีทุกข์เข้ามาปนเลย
ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะได้สำเร็จตามที่เราต้องการจะช่วย
หรือทำอะไรไม่ได้เลยก็ตาม
เราจะเห็นความจริงตามธรรมชาติไป
เพราะฉะนั้น ตัวตนที่ท่านถามว่า
กลับไปจะไปทำยังไง สภาพตัวตน
คือเห็นคนอื่นให้มาก เข้าอกเข้าใจคนอื่นบ้าง
ในครอบครัวเรานี้จะมีปัญหามากที่สุด
เราจะมีตัวตนมากกับคนที่เรารัก
เราจะมีตัวตนมากกับลูกที่เรารัก
เพราะมันจะเป็นแรงสะท้อนกลับ
ทำไมรู้มั้ย ?
เพราะการทำดีของท่านที่ทำดีต่อคู่ครอง หรือต่อลูกนี้
ท่านแอบหวังผล ท่านแอบหวังผลตลอด
ท่านจึงเกิดอารมณ์
ถ้าท่านเป็นคนที่ทำดีโดยส่วนเดียว
แล้วไม่แอบหวังผลเนี่ย
จะไม่มีแรงสะท้อนมาเกิดเป็นทุกข์อีกเลย
ให้ลูกทำการบ้าน แล้วลูกไม่ทำ มันเกเร
แล้วท่านก็จ้ำจี้จ้ำไชให้ทำการบ้าน
แล้วเราไปทำธุระอย่างอื่น มันก็ไม่ทำ ก็เก็บ
มารู้ทีหลัง เอ๊า ทำไมไม่ทำการบ้าน
ก็ลงโทษต่อว่า หรือ อะไรก็แล้วแต่ตามกระบวนการ
แต่ข้างในไม่ทุกข์
แล้วก็ทำต่อไป แล้วก็ทำต่อไป
ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
“โอ๊ย แม่พูดปากเปื่อยปากแฉะ” ไม่มีคำนี้
นั่นท่านเอาตัวท่านเป็นตัวตั้ง
ท่านไม่ได้เอาความดีของเด็กคนนึง
ที่จะเจริญเติบโตไปในอนาคตเป็นตัวตั้ง
เพราะว่าเรามีตัวตน
เราจึงเอาอารมณ์ของเราเป็นที่ตั้ง … "
.
จากการบรรยาย
ตอน บรรยายตามใจผู้ฟัง ช่วงที่1
ประจำวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.​2563
คอร์สเกาะพะลวย ระหว่างวันที่ 21-28 พฤศจิกายน พ.ศ.​2563
โดยอาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
1
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา