Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Health Me Now
•
ติดตาม
6 ธ.ค. 2021 เวลา 03:36 • สุขภาพ
การอักเสบของคอหอยและทอนซิล มักทำให้เกิดอาการเจ็บคอเป็นสำคัญ และเกิดจากสาเหตุได้หลากหลาย ซึ่งมีทั้งกลุ่มโรคติดเชื้อและกลุ่มไม่ติดเชื้อ
ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะการอักเสบจากโรคติดเชื้อ ซึ่งเกิดจากไวรัสและแบคทีเรียเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียทีมีชื่อว่า บีตาฮีโมไลติก สเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ (group A betahemolytic Streptococcus) ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้
5
สาเหตุ ทอนซิลอักเสบ
ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งไวรัสอื่น ๆ อีกหลายชนิด บางส่วนเกิดจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งมีอยู่หลายชนิด เชื้อมีอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละออง เสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสมือผู้ป่วย สิ่งของ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อแบบเดียวกับไข้หวัด
เชื้อแบคทีเรียที่สำคัญ คือ บีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ ก่อให้เกิดทอนซิลอักเสบชนิดเป็นหนอง (exudative tonsillitis) ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กอายุ 5 - 15 ปี และอาจพบในผู้ใหญ่เป็นครั้งคราว แต่จะพบได้น้อยในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี โรคนี้อาจติดต่อในกลุ่มคนที่อยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิดเป็นเวลานาน เช่น ตามโรงเรียนหอพัก เป็นต้น
ระยะฟักตัว 2 – 7 วัน
อาการ ทอนซิลอักเสบ
กลุ่มที่มีสาเหตุจากไวรัส จะมีอาการเจ็บคอเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ไม่เจ็บตอนกลืน อาจมีอาการเป็นหวัด น้ำมูกใส ไอ เสียงแหบ มีไข้ ปวดศีรษะเล็กน้อย ตาแดง บางรายอาจมีอาการท้องเดินหรือถ่ายเหลวร่วมด้วย
ผู้ป่วยที่เป็นทอนซิลอักเสบจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ จะมีอาการไข้สูงเกิดขึ้นฉับพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอมากจนกลืนน้ำและอาหารลำบาก อาจมีอาการปวดร้าวไปที่หู บางรายอาจมีอาการปวดท้องหรือ อาเจียนร่วมด้วย มักจะไม่มีอาการน้ำมูกไหล ไอ หรือ ตาแดงแบบการอักเสบจากไวรัส
การป้องกัน ทอนซิลอักเสบ
เมื่อมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นคอหอยหรือทอนซิลอักเสบควรปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัด เช่นผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการไอหรือจามรดผู้อื่น คนที่ยังไม่ป่วยอย่าอยู่ใกล้กับผู้ป่วย อย่าใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วย และหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ เป็นต้น
1.
อาการเจ็บคอ คอหอยอักเสบ ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส และโรคไม่ติดเชื้อ (เช่น โรคภูมิแพ้ การระคายเคือง โรคน้ำกรดไหลย้อน เป็นต้น) ซึ่งไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ ดังนั้น ถ้าพบคนที่มีอาการเจ็บคอ ควรชักถามอาการอย่างละเอียด และตรวจดูคอหอยทุกรายเพื่อแยกสาเหตุให้ชัดเจน จะใช้ยาปฏิชีวนะต่อเมื่อมั่นใจว่าเป็นทอนซิลอักเสบจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอเท่านั้น หากไม่มั่นใจก็ควรส่งตรวจพิเศษ (เช่น การตรวจหาเชื้อด้วยวิธี rapid strep test การเพาะเชื้อ)
2.
สำหรรับทอนซิลอักเสบจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ ควรเน้นให้กินยาปฏิชีวนะจนครบตาม ระยะที่กำหนด (เช่น เพนิซิลลินวี หรืออะม็อกซีซิลลิน 10 วัน)
3.
ถ้าให้ยาปฏิชีวนะรักษาทอนซิลอักเสบdแล้วไม่ดีขึ้น อาจเกิดจากสาเหตุอื่น รวมทั้งเมลิออยโดซิส ซึ่งพบบ่อยในคนอีสานที่มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน
การรักษา ทอนซิลอักเสบ
แนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ และใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง ควรให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำชุบ นม น้ำหวาน ควรกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ (ผสมเกลือป่นประมาณ 1 ช้อนชา หรือ 5 มล. ในน้ำอุ่น1 แก้ว) วันละ 2- 3 ครั้ง ถ้าเจ็บคอมากให้ดื่มน้ำเย็นหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ หรืออมก้อนน้ำแข็ง
ในรายที่เกิดจากไวรัส (ซึ่งจะมีอาการคอหอยและทอนซิลแดงไม่มาก และมักมีอาหารน้ำมูกใส ไอ ตา แดง เสียงแหบ หรือท้องเสียร่วมด้วย) ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้พาราเซตามอล ยาแก้ไอ โดยไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ ก็มักจะหายได้เองภาย ใน 1 - 2 สัปดาห์
ในรายที่มั่นใจว่าเกิดจากบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ (ซึ่งจะมีอาการไข้สูงร่วมกับทอนซิล บวมแดงจัด และมีแผ่นหรือจุดหนอง มีต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณใต้ขากรรไกรหรือข้างคอด้านหน้า และไม่มี อาการน้ำมูกไหล ไอ ตาแดง) นอกจากให้การรักษาตาม อาการแล้ว ควรให้ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ เพนิซิลลินวี หรืออะม็อกซีชิลลิน ถ้าแพ้ยานี้ให้ใช้อีริโทรไมซิน แทนให้ยาสัก 3 วันดูก่อน ถ้าดีขึ้นควรให้ต่อจนครบ 10 วัน เพื่อป้องกันมิให้เกิดไข้รูมาติก หรือหน่วย ไตอักเสบแทรกซ้อน
เรียนรู้เพิ่มเติม
healthmenowth.com
ทอนซิลอักเสบ: Health Me Now
การอักเสบของคอหอยและทอนซิล มักทำให้เกิดอาการเจ็บค…
ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 3 วัน กินยาไม่ได้ หรือ สงสัยมีโรคแทรกซ้อนรุนแรง หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย ๆ ให้แนะนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาล อาจต้องตรวจเลือด เพาะเชื้อ เอกซเรย์ เป็นต้น แล้วให้การรักษาตามสาเหตุหรือ ภาวะที่พบ เช่น
●
ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียน กินยาไม่ได้ หรือไม่มั่นใจว่าจะกินยาได้ครบ 10 วัน และไม่มีประวัติการแพ้ยาเพนิซิลลิน แพทย์อาจฉีดเบนซาทีนเพนิซิลลิน (henzathine penicillin) ขนาด 600,000 ยูนิต สำหรับ ผู้ที่มีน้ำหนัก น้อยกว่า 27 กก. หรือ 1,200,000 ยูนิต สำหรับ ผู้ที่มีน้ำหนัก มากกว่า 27 กก. โดยฉีดเข้ากล้ามเพียงครั้งเดียว ในรายที่กินยาได้ อาจให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน เพียง 5 วัน เช่น โคอะม็อกซิคลาฟ อะซิโทรไมซิน (azithromycin) คลาริโทรไมซิ (clarithromycin) เป็นต้น
●
ถ้าพบว่าเชื้อดื้อยาเพนิซิลลิน อาจเปลี่ยนไปให้ยากลุ่มอื่น เช่น โคอะม็อกซิคลาฟ เซฟาตรอกซิล (cefadroxil) เป็นต้น
●
ถ้าเป็นฝีทอนซิล อาจต้องผ่าหรือเจาะเอาหนองออก
●
นรายที่เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง (ปีละมากกว่า 4 ครั้ง) จนเสียงานหรือหยุดเรียนบ่อย มีอาการหูชั้นกลางอักเสบบ่อย หรือก้อนทอนซิลโตจนอุดกั้นทางเดินหายใจ อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดทอนซิล (tonsillectomy)
healthmenow
สุขภาพ
โรคระบบทางเดินหายใจ
บันทึก
3
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ทางเดินหายใจ
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย