Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
6 พ.ค. 2022 เวลา 05:51 • ปรัชญา
“อย่าโกหกตัวเอง”
“ … พาหิยะ เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น
ได้ยินเสียงแล้ว สักว่าฟัง
ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสทางผิวกาย ก็สักว่าดมลิ้มสัมผัส
ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ก็สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว
เมื่อนั้นเธอจักไม่มี เมื่อใดเธอไม่มี
เธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้ ไม่ปรากฏในโลกอื่น
ไม่ปรากฏในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง
นั่นแหล่ะ คือ ที่สุดแห่งทุกข์ล่ะ … “
“ … คือตอนนี้เราน่ะฟังธรรมะ เรานี้มัวแต่ฟังธรรมะ ธรรมะเนี่ย ทันทีที่เข้าหู ถูกกระบวนการคิดนี้ขวางเอาไว้ทั้งหมด
“โอ๊ย ฉันเคยฟังแล้ว”
“ อ๋อ ฉันเข้าใจ บทนี้”
… ไร้สาระ คือไม่มีความหมายอะไรเลย
ผมถึงอยากให้เรากลับมาใหม่ ถ้าชีวิตประกอบด้วยกายกับใจ แล้วเราเพี้ยนเนี่ย มันจะเพี้ยนจากอะไรก็ช่างเถอะตอนนี้
ไม่งั้น “อ๋อ เพี้ยนจากอวิชชา” พอเหอะ ไม่ต้องมาตอบผมแบบนั้น ไร้สาระ
ปฏิบัติน่ะ แล้วก็ยังไม่ต้องปฏิบัติด้วย เอาที่เห็น เพราะคนเรานี้มันไม่เห็นตามจริง
1
ความเพี้ยนของมนุษย์เนี่ย
มันเริ่มจากการที่เห็นของเป็นสวย เป็นไม่สวย
เป็นชอบ เป็นไม่ชอบ เป็นพอใจ ไม่พอใจ
มันเป็นผลผลิตทั้งนั้นเลยพวกนี้
มันจึงทำให้ภาพทั้งหมดนี้มันแปรเปลี่ยน
เมื่อภาพทั้งหมดมันแปรเปลี่ยน
ความยึดถือมันจึงเกิดขึ้น ความยึดถือมันจึงเกิดขึ้น
ที่ผมเคยบอกว่า ถ้าเราถอยหลังไปเหมือนกับสมัยยุคหิน ตอนที่มนุษย์มีแต่ดื่มน้ำเปล่ากัน จะไม่เกิดอะไรขึ้นกับการดื่มน้ำเปล่าเลย แต่พอทันที่เข้าไปในป่า ไปเจอน้ำในกะลา ที่มีลูกไม้หล่นใส่
เกิดวันนึงหิวไม่รู้จะหาน้ำเปล่าที่ไหน ก็เลยต้องยกน้ำกะลาขึ้นมาดื่ม “หวานดีแฮะ”
มันเริ่มรู้จักความหวาน “เอ้อ ชอบ” แล้วก็ไปบอกเพื่อน แล้วก็มาหากัน ความชอบเกิดขึ้นทันที เห็นมั้ย ความชอบเกิดขึ้นทันทีเลย
ทีนี้เราไม่ต้องย้อนไปถึงยุคหิน เด็ก ๆ ที่มีพ่อแม่กำลังเลี้ยงนี้ พ่อแม่ก็พยายามหาของอร่อยให้กิน ถูกมั้ย ?
ถ้าเรามีลูก เราก็พยายามหาของอร่อย ๆ ให้ลูกกิน นี่ไง ปัญหาที่เกิดขึ้น ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นที่พ่อแม่หรอก นี่แหละคือปัญหาที่เกิดขึ้น
แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็ “อุ้ย เก่งจังลูก เก่งจังลูก” ปัญหาก็เริ่มเกิดขึ้น แล้วปัญหาก็เริ่มเกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนี้ท่านก็จะดูออกแล้ว อู้หู กำลังส่งเสริมตัวตนกันขึ้นไปเรื่อย ๆ ลูกจะต้องเก่ง ลูกจะต้องดี ลูกจะต้อง … โอ้โห ทีนี้มันเริ่มดันให้เกิดตัวตนขึ้นไปเรื่อย ๆ
วันนี้เราไม่ได้มาพูดกันเรื่องนี้ แต่เราจะมาพูดกันเรื่องของเรานี่แหละ เพื่อที่จะให้เราได้รู้ ได้เห็น ว่าเรามาปฏิบัติธรรม มันแปลว่าอะไร
เรามาทำอะไร เราไม่ใช่มาเดินจงกลม นั่งสมาธิ
ไม่ได้มาทำอะไรให้มันเป็นอะไร
แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น
ถ้าเรามองว่าจุดสุดท้ายคือท่านพาหิยะ ฟังพระสูตรนี้จบ เราก็รู้ว่าท่านเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์เลย ถูกมั้ย ?
เราก็ได้ยินต่อมาว่า โอ้ พระสูตรนี้ทำให้ท่านพาหิยะบรรลุธรรม แล้วเป็นพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมเร็วที่สุดในพุทธศาสนาของพระโคตมด้วย
ข้อความที่เปิดทั้งหมด ทันทีที่พระพุทธเจ้าพูดตั้งแต่ต้นจนจบ ปั๊งง ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เลย นี่คือพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมเร็วที่สุด ผมจะให้ท่านฟังอีกครั้งหนึ่ง
“พาหิยะ เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น”
ช่วยบอกผมหน่อยว่า สักแต่ว่าเห็น แปลว่าอะไร ?
คือเห็นตามความเป็นจริง โดยที่ไม่เกิดการปรุงแต่งว่ามันดี ไม่ดี สวย ไม่สวย ชอบ ไม่ชอบ อะไรทั้งสิ้น มันกลับไปที่ความรู้สึกดั้งเดิมแท้ ๆ
เมื่อเธอเห็น สมมติว่าวันก่อนเคยเห็นว่าผู้หญิงสวย แต่พอเห็นอีก ถ้าเธอเห็นแล้วสักแต่เห็นเนี่ย ก็ …
ถามว่าผู้หญิงมั้ย ก็ตามสมมติบัญญัติก็ผู้หญิงนั่นแหละ ก็ไม่เห็นจะต่างอะไร ก็พ่อแม่เขามางี้ ผสมกันมาก็เป็นอย่างนี้ ไม่เห็นจะต้องสวยหรือไม่สวยอะไร
แต่ถามว่าสวย ไม่สวย มีมั้ย ? … ก็มี ก็เป็นสมมติบัญญัติ แต่ไม่ถูกยึดถือแล้ว
เมื่อเธอเห็นรูป ก็สักว่าเห็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจะเห็นมั้ยว่า ที่บอกว่าแป้งโกกิมันซ้อนกันอยู่นี้ มันถูกลอก ๆ ๆ ๆ ออกมาจนเหลือ “แค่ความรู้สึก” ตอนนั้นเลย
“ได้ฟังเสียงแล้ว สักว่าฟัง”
ถ้ามีคนชม ก็ … ก็สักแต่ฟัง
เขาไม่ชอบเขาก็ด่า เขาชอบเขาก็ชม
ไม่ใช่ไม่รู้ชม ไม่รู้ด่า ก็เปล่า
แต่มันก็ได้ยินไป ก็สักแต่ได้ยินอย่างนี้
ได้กลิ่นลิ้มรส ก็แบบเดียวกันหมด
ก็คือผมพูดง่าย ๆ ว่า ที่เรายกตัวอย่างมันก็คือมันกลับไปที่ “จุดเริ่มต้น”
มันกลับไปที่จุดเริ่มต้นน่ะ ก่อนที่ใจของเรา คือความรู้สึกของเรา มันจะถูกประสบการณ์หลอกให้ไปไกลออกไปเรื่อย ๆ
ตอนนี้ใจของเรานี้ มันถูกประสบการณ์หล่อหลอมให้มันหลุดออกไปจากที่ ๆ มันควรจะเป็น ด้วยการเห็นโลกแบบที่โลกเป็นคนบอก นี่คือสวย
ต้องแบบนี้ถึงจะสวย ต้องแบบนี้ถึงจะดี
ต้องแบบนี้ถึงจะเก่ง ต้องแบบนี้ถึงจะอร่อย
ต้องแบบนี้ถึงจะกลิ่นหอม
เราจึงถูกโลกนี้สนตะพายไป ที่เขาใช้คำว่า สนตะปายไป แล้วเราก็กลับมาไม่ถูก
เรากลับมาไม่ถูก ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้น ที่พระพุทธเจ้ากำลังพูดถึงนี้มันคืออะไร ?
สักแต่เห็น สักแต่ได้ยิน
สักแต่ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสทางผิวกาย
ก็สักว่าดมลิ้มสัมผัส
ถามตัวเอง อย่าตอบแบบตอบธรรมะ หรือทำข้อสอบแบบเด็ก ๆ ตอนเช้าท่านตักอาหาร ท่านรู้สึกอย่างนี้มั้ย
กฏข้อที่หนึ่งของนักปฏิบัติ “อย่าโกหกตัวเอง”
ถ้าเมื่อไหร่โกหกตัวเอง เมื่อนั้นท่านจะปฏิบัติธรรมไม่ได้ เพราะท่านจะไม่มีทางที่จะเข้าไปถึงความจริง ในเมื่อใจของตัวเองยังโกหกตัวเอง
ตักกิน “โอโห แหม เมื่อกี้น่าจะตักให้เยอะกว่านี้อีกหน่อย ไม่รู้ว่าอร่อยแบบนี้เห็นหน้าตาไม่ค่อยดี”
หรือบางอัน โอโห ตักซะเต็มที่เลย ไม่ได้เรื่องเลย เพราะฉะนั้น นี่สักแต่รู้รสไหม ? … ไม่
แล้วทุกข์เกิดไหม ? ค่อย ๆ ดูให้ออกนะว่าทุกข์เกิดตอนไหน
“ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ ก็สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว
เมื่อนั้นเธอจักไม่มี เมื่อใดเธอไม่มี
เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้
ไม่ปรากฏในโลกอื่น ไม่ปรากฏในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง
นั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ล่ะ”
พระสูตรเดียว บรรลุเลย หลายคนก็คงฟังดู … เอาล่ะผมจะชี้ให้เห็นอีกมุมนึง
ถ้าสมมติว่ามีคนที่มีความทุกข์ หรือว่าเรา ท่านได้ฟังผมไป พรุ่งนี้เช้าเราไปยืนอยู่หน้าไลน์อาหาร แล้วก็กำลังจะรู้สึกชอบใจขึ้นมา “อื้ม สักแต่เห็น”
มีกลิ่นอาหารมาก็ “สักแต่ว่า ของมันสักแต่ว่า”
“อื้ม สักแต่เห็น” ใครพูด ตัวกูพูด แต่ของงท่านพาหิยะเนี่ย ดับตัวกูลงไปแล้ว มันถึงได้กลายเป็นสักแต่เห็นจริง ๆ
ถ้าโดยศัพท์ของปฏิจจสมุปบาท คือท่านพาหิยะเนี่ย วิญญานดับ พอวิญญานดับปั๊บเนี่ย จิตจะเข้าไปรับรู้ตามความเป็นจริงเลย
ตอนนี้จิตด้วยความที่ … มีอวิชชา ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร ก็จึงแปรเปลี่ยนไปเสพอารมณ์ ไปรับอารมณ์แทน
จะบอกว่าผ่านทางวิญญาน เดี๋ยวก็มีสองตัวขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นการรับรู้นี้จึงเพี้ยน เพราะตัววิญญานนี่แหละ
เมื่อการรับรู้เพี้ยน เมื่อกี้ที่สวด ตาเป็นของร้อน ถูกมั้ย ? พอตาเป็นของร้อนปั๊บ รูปจะเป็นของร้อน
รูปที่เห็นจะเป็นของร้อน
เพราะเมื่อจักขุวิญญานเข้ามาประกอบด้วยเนี่ย
สามอย่างทำงานร่วมกันเรียกว่า ผัสสะ
ทางตานี้ จะกลายเป็นของร้อนเลย
2
ผัสสะทางตาจะกลายเป็นของร้อน
จากนั้นจะส่งผลเป็นขี้ คือเวทนา
มีแต่ของห่วย ๆ ทั้งนั้นเลย
คือตาก็ของร้อน
รูปที่กระทบก็ของร้อน
วิญญานก็สุดห่วยเลย
ความจริงสองตัวนี้เป็นของธรรมชาติ
แต่เพราะวิญญานนี่แหละทำเพื่อนเน่าเลย เน่าทั้งเข่ง
พอมันเข้ามารวมกันสามอย่างทำงานร่วมกัน
มันไม่ใช่ว่ามีคนละคนซะเมื่อไหร่
พอรวมกันปั๊บ มันกลายเป็นหนึ่งเดียว
มันกลายเป็นผัสสะเดียว ผมถึงบอกว่าน้ำ มันมาจากอะไรครับ H 2 ตัว O 1 ตัว ถูกมั้ย ? ถ้าอย่างนี้ยังเรียก H O อีกมั้ย
… ไม่ เขาเรียกน้ำ ดื่มได้เลย
ไม่ใช่ดื่ม “โห อาจารย์ดื่ม H 2 ตัว O 1 ตัว นะ”
ไม่มีใครพูดอย่างนั้นอีกแล้ว
มันกลายเป็นผลผลิตอันใหม่
ผัสสะคือผลผลิตใหม่ ไม่ใช่วิญญาน ไม่ใช่รูป ไม่ใช่ตา
แต่มันกลายเป็นผลผลิตใหม่ที่ชื่อ จักขุสัมผัส
จากนั้นมันได้ transform ต่อไป
ตัวของมันน่ะ transform ต่อไปกลายเป็นเวทนาต่อไปอีก
แล้วตอนที่เวทนาอยู่
ที่บอกว่าผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
ผัสสะยังอยู่เหรอ
แล้วก็ขี้ออกมาเป็นเวทนาเหรอ
… เปล่า มัน transform ตัวเองกลายเป็นเวทนา
จากนั้นเวทนาก็ transform ตัวเองรุนแรงขึ้นมาเรียกว่า ตัณหา
มันไม่ใช่วงจรนั้นมาชนวงจรนี้ มารวมกันตรงนั้น แล้วก็ออกมาเป็นอันนี้ อันนี้ก็ยังอยู่สิงั้น ไม่ค้างกันอยู่เต็มไปหมดเหรอข้างใน มันเป็นการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อกี้ เขาเรียกเหตุปัจจัย แล้วมันก็เปลี่ยนเลย
ชีปลูกผัก วันแรกเป็นเมล็ด วันนี้ที่เป็นต้นเป็นใบ
เมล็ดอยู่ไหม ? … ไม่เรียกเมล็ดแล้ว
วันแรก ๆ มีชื่อเรียกว่ากล้า ก็เรียกไปอย่างนั้นแหละ
วันนี้มันเป็นดอกเป็นใบ เป็นอะไรเขียวขึ้นมาหมด
แล้วเมล็ดอยู่ไหน มันเป็นหนึ่งในนั้นน่ะ
แต่ที่มันมาเป็นวันนี้ ก็เพราะเหตุปัจจัยของมันก็คือเมล็ดนั่นแหละ แล้วมันก็เปลี่ยน ๆๆๆๆ ไปเรื่อย ตรงนี้ที่ท่านเรียก อิทัปปัจจยตา
เพราะสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิดขึ้น
มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นปัจจัยยังค้างอยู่
เราโรยข้าวลงไปในนา วันนี้ที่เรามานั่งกิน
ข้าวในนามันอยู่ไหนล่ะ
มันก็แปรเปลี่ยนของมันทุกวันน่ะ
พอมันได้ปุ๋ยจากพื้นเข้าไปเนี่ย
มันก็แปรเปลี่ยนทั้งดิน ทั้งปุ๋ย ทั้งพื้น
แล้วก็เข้าไปอยู่ กลายเป็นผลิตพันธุ์ใหม่
เป็นหนึ่งวินาที อีกวินาทีนึงก็แปรเปลี่ยนไปอีก
ไม่มีอะไรเป็นตัวตนเลย
ดิน ฟ้าอากาศก็เข้ามาร่วมโรงผสมโรงกันเข้าทั้งหมด
แสงแดด แสงไม่แดด ความชื้น ความร้อน
ก็เข้ามารวมกันอยู่ในเมล็ดนั่นแหละ
เมล็ดนั้นจะเป็นทุกอย่างของโลกของจักรวาล
มันไม่ได้เป็นตัวของมันเลย
ทีนี้ปัญหามันเริ่มกลับมาอยู่ที่
ความรู้สึกของเรามันไม่เดิมแท้ไง
มันเป็นความรู้สึกที่แปรเปลี่ยน เพราะความไม่รู้
เพราะประสบการณ์ที่ผิด
เพราะความเห็นผิด ทุก ๆ อย่าง
จึงได้ไปก่อความรู้สึกเป็นตัวตนก็ดี
ทำให้เกิดเป็นกิเลสตัณหาก็ดี
คือจะพูดมุมไหนเนี่ย
มันได้แตกผลผลิตออกมาเป็นสมุทัยบานไปหมดเลย
อะไร ๆ ก็เป็นสมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ไปหมดเลย
กิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ไหม ? … เป็น
ตัณหา ? … เป็น
อวิชชา ? … เป็น
ตา … ? เป็น
หู … ? เป็น
เสียง ? … เป็น
ทุกอย่างกลายเป็นสมุทัยไปหมดเลย
เพราะจุดเริ่มต้นมันพลาด มันพลาดที่จุดเริ่มต้น
แต่วันนี้ถ้าเราเข้าใจละ ในกายกับใจของทุก ๆ คนนี้
ผมถามตรง ๆ ว่า
เรามีความรู้สึกอยู่ลึก ๆ มั้ยว่า “เป็นเรา” … มี
ลึกๆ นี้เรายังมีความรู้สึกว่า “เรา”
ความรู้สึกว่า “เรา” นี้ แล้วก่อนหน้านี้เป็นเรามั้ย ? … เป็น
แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีเราอีก
ถ้าปฏิบัติไปอย่างนี้ วันข้างหน้าเราจะบรรลุธรรม
เพราะฉะนั้นมันก็แค่ความคิดนั่นแหละ
ไม่รู้เราที่ไหนจะบรรลุธรรม
เมื่อไรหมด “เรา” มันจะบรรลุธรรม
แต่นี่เราจะเดินสวนทาง
คือถ้าเราทำแบบนี้ เราปฏิบัติไปแบบนี้ เราจะบรรลุธรรม
ถ้างั้นผมพยากรณ์ได้เลย
ถ้าความรู้สึกนี้ค้างอยู่นะ … ไม่มีวันบรรลุธรรม
แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าท่านเดินตามมรรคได้ตรงจริง ๆ นะ
ได้ตรงจริง ๆ นะ วงเล็บ
สุดท้ายปลายทาง … “เรา” ก็หายไป
ถ้ารู้สึกว่าเราเป็นพระโสดาบัน
เราจะเป็นพระโสดาบัน วันนี้เราเป็นพระโสดาบัน
คนนั้นไม่ใช่พระโสดาบัน
ไม่มีการบรรลุธรรม
เอาล่ะผมไม่ได้มาพูดเรื่องนั้น
กลับมาที่เดิม กายกับใจ กายนี้ไม่มีอะไรเลย
เข้าใจนะ กายไม่มีอะไรเลย ตา …ไม่มีอะไรเลย
จริง ๆ แล้วตาไม่ใช่ปัญหาเลย
ตาพอปั๊บ ภาพกับตานี้ปรากฏแทบจะพร้อมกันเลยถูกมั้ย
ท่านหลับตากันให้หมด พอผมนับ ๑ ๒ ๓ ลืมเลยนะ
๑ ๒ ๓ คือแทบจะเหมือนสวิชต์ไฟเลย เปิดปั๊บ สว่างเลย
พอปั๊บ วิญญานจะเข้าประกอบทันทีเลย
จากนั้นภาพที่เห็นจะเพี้ยนเลย เพี้ยนเลย
เพี้ยนเป็นสวยไม่สวย ชอบไม่ชอบเลย
ถ้าสักแต่เห็นจริง ๆ มันก็จะเห็น
“อ้าว นี่ก็สักแต่เห็นนะอาจารย์” โอเค ก็ไม่ว่าอะไร แต่มันพร้อมที่จะเป็นเชื้อให้เกิดความรู้สึกอื่น ๆ ได้ต่อไปทันที
ตอนนี้ถ้าเราสังเกตดู ก็ไม่เห็นรู้สึกอะไร แต่พอมีอะไรสักอย่างนึง มันพร้อมที่จะแปรเปลี่ยนเลย
สมมติเราลองมองคนที่เรารัก ก็เฉย ๆ
พอเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เรารักปั๊บ มันไม่ใช่แล้วไง
มันแปรเปลี่ยนทันทีเลยไง มันแปรเปลี่ยนทันทีเลย เพราะฉะนั้นมันไม่ได้สักแต่เห็นแล้ว
อ๋อ งั้นสักแต่เห็นก็ไม่ต้องไปมีหัวจิตหัวใจ … คนละเรื่อง คนละเรื่อง
เพราะฉะนั้น ความรู้สึกทั้งหมดที่เป็นทุกข์นี้ ผมบอกได้เลยมันมาจากความรู้สึกอย่างเดียว
ไม่ได้มาจากกาย ไม่ได้มาจากตา
ไม่ได้มาจากหู ไม่ได้มาจากจมูก
ถ้ามันเห็นถูกจริง ๆ นะ พวกนี้ไม่มีผลเลย
รูปก็ไม่มีผลเลย
นั่นแปลว่าที่เราบอกว่ามีกาย กับความรู้สึก
ผมไม่อยากใช้คำว่าใจ เดี๋ยวท่านนึกถึงธรรมะอีก
มันมีแต่ร่างกายของเรานี่แหละ กับความรู้สึก
แล้วความรู้สึกนี่แหละที่เป็นตัวปัญหา
ปัญหาทั้งหมดอยู่แค่ ความรู้สึกของเรา … “
.
บางส่วนจากซีรีส์การบรรยายพิเศษ
ตอน ชีวิตของเรา
โดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๔
ณ สวนยินดีเกาะพะลวย จ.สุราษฏร์ธานี
รับฟังการบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
https://youtube.com/playlist?list=PL3wUEiV72jt6t9ITSav6x5wzUkJlOJPfk
youtube.com
24. 25640925 ซีรีย์โลกพิศวง ตอนที่ 1/4 ชีวิตของเรา
ซีรีย์โลกพิศวง ตอนที่ 1/4 ชีวิตของเราประจำวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2564โดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิมณ สวนยินดี เกาะพะลวย
เยี่ยมชม
Photo by : Unsplash
5 บันทึก
6
4
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ข้อคิด มุมมอง เพื่อปัญญา
5
6
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย