28 ธ.ค. 2021 เวลา 01:08 • หุ้น & เศรษฐกิจ
โอมิครอน (Omicron) แพร่เชื้อได้เร็ว แต่อาการรุนแรงน้อยลง
โอมิครอนซึ่งเป็นเชื้อโควิดที่สามารถแพร่ระบาดได้ไว ได้แพร่กระจายไปแล้วทั่วโลกในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่ตรวจพบครั้งแรกในทวีปแอฟริกาใต้
โอมิครอนได้กลายเป็นเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์หลักในหลายประเทศรวมถึง สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร และมีแนวโน้มว่าในอีกไม่นาน โอมิครอนจะกลายเป็นไวรัสสายพันธุ์หลักในทุกประเทศทั่วโลก แทนที่สายพันธุ์เดลตาที่ก่อนหน้านี้ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมากในหลายประเทศ
โอมิครอนส่งผลให้หลายคนต้องปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกแผนการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดเทศกาลคริสมาสต์ โดยการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์นี้คาดว่าจะสร้างแรงกดดันให้กับระบบสาธารณสุขอีกระลอกหนึ่ง และส่งผลให้ประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ เสี่ยงต่อการล็อกดาวน์อีกครั้ง โดยในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง และประชาชนทั่วไปต่างพยายามหาคำตอบว่า โอมิครอนจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและชีวิตประจำวันของเรา มากน้อยแค่ไหน
📌 สหราชอาณาจักร
ผลการศึกษาของรัฐบาลอังกฤษระบุว่า โอมิครอนอาจมีความรุนแรงน้อยกว่าแต่สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายกว่าเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อื่น ๆ ก่อนหน้านี้ ในตอนนี้โอมิครอนกลายเป็นไวรัสสายพันธุ์หลักในอังกฤษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีผู้ป่วยพุ่งสูงขึ้นกว่า 50% ในหนึ่งสัปดาห์
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 อังกฤษมีรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 กว่า 120,000 ราย ซึ่งเป็นจำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาด และเป็นวันที่ 2 ติดกันที่มีผู้ป่วยเกิน 100,000 ราย
ข้อมูลเบื้องต้นจากสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (UKHSA) แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอนมีความเสี่ยงที่จะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่ำกว่า 50 – 70% เมื่อเทียบกับเชื้อสายพันธุ์เดลตา นอกจากนี้ผลวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าโอมิครอนทำให้เกิดอาการรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ แต่สามารถแพร่ได้เร็วกว่าและหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้ดีกว่า แต่อาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยบ้างเล็กน้อย เช่น เจ็บคอและปวดศีรษะ แต่อย่างไรก็ดี ไม่สามารถรับประกันได้ว่าอาการจะไม่รุนแรงสำหรับทุกคน
จำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ซึ่งให้คำมั่นว่ารัฐบาลของเขาจะไม่ออกข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิด-19 เพิ่มเติม ก่อนวันคริสต์มาส แต่ส่งสัญญาณว่าอาจมีการมาตรการที่เข้มงวดขึ้นหลังจากนั้น
รูปที่ 1: รัฐบาลอังกฤษกังวลว่าไวรัสโอมิครอนอาจแพร่ระบาดหนัก จนโรงพยาบาลรับมือไม่ไหว
📌 สหรัฐอเมริกา
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริการะบุว่าสายพันธุ์โอมิครอนกลายเป็นโควิดสายพันธุ์หลักในสหรัฐฯ แล้วเมื่อไม่นานนี้ โดยมีสัดส่วนกว่า 73% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด ในระยะเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์หลังจากที่มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนรายแรก โดยในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 ธันวาคม 2564 โอมิครอนคิดเป็น 73.2% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด ส่วนเดลตา คิดเป็น 26.6% ในขณะที่สัปดาห์ก่อนหน้า โอมิครอนมีสัดส่วนเพียง 12.6% และเพียง 1% เมื่อต้นเดือนธันวาคม
จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ มีมากกว่า 240,000 รายในตอนนี้ โดยค่าเฉลี่ย 7 วันอยู่ที่ 167,000 รายโดยประมาณ ซึ่งมากกว่าจำนวนสูงสุดในช่วงของการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตาในเดือนกันยายนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสชี้ให้เห็นว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนอาจพุ่งสูงที่สุดในช่วงวันที่ 18 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ของปีหน้า โดยอาจมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ที่ประมาณ 230,000 – 550,000 ราย
ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลทำให้โรงเรียนหลายแห่งในสหรัฐฯ ต้องปิดตัวลงและกลับไปทำการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์อีกครั้ง โดยในสัปดาห์ที่แล้วมีจำนวนโรงเรียนที่ปิดกว่า 646 แห่ง เพิ่มขึ้นจาก 356 แห่งในสัปดาห์ก่อนหน้า โรงเรียนในรัฐมิชิแกน แมริแลนด์ เพนซิลเวเนีย และโอไฮโอ ต่างหันไปทำการเรียนการสอนผ่านคอมพิวเตอร์ หรือปิดภาคเรียนก่อนช่วงฤดูหนาว
หลังตรวจพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ ทางการสหรัฐฯ ได้ออกข้อห้ามไม่ให้ผู้ที่เดินทางจากแอฟริกาใต้และอีก 7 ประเทศใกล้เคียงเดินทางมายังสหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวว่าเขากำลังพิจารณาจะยกเลิกข้อจำกัดดังกล่าว เนื่องจากโอมิครอนได้แพร่ระบาดหนักในสหรัฐฯ แล้ว และไม่มีความจำเป็นต้องใช้ข้อบังคับดังกล่าวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอีกต่อไป
รูปที่ 2: โรงเรียนในสหรัฐฯ เริ่มปิดตัวลงมากขึ้นเนื่องจากโอมิครอนระบาดในหลายรัฐ
📌 จีน
แม้ว่าจีนในตอนนี้จะมีการยืนยันจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนแล้วประมาณ 4 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ แต่ยังไม่พบการแพร่เชื้อภายในประเทศ อย่างไรก็ดี จีนยังคงใช้มาตรการ Zero-COVID ที่เข้มงวด โดยรัฐบาลได้มีคำสั่งให้ล็อกดาวน์เมืองซีอาน ทำให้มีประชาชนราว 13 ล้านคนจำเป็นที่จะต้องอยู่แต่ที่บ้าน และอนุญาตให้สมาชิกครอบครัวเพียงคนเดียวเดินทางออกไปซื้อของ และห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกเมืองหากไม่มีเหตุจำเป็น
รูปที่ 3: ประเทศจีนล็อกดาวน์ คน 13 ล้านคนในเมืองซีอาน ห้ามออกนอกบ้าน
📌 ไทย
จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในไทย เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยกรมบริการการแพทย์ระบุว่ามีผู้ป่วยสายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้นทั้งหมดราว 205 ราย ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2564 เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า หากเทียบกับตัวเลขในวันก่อนหน้า นอกจากนี้ ตามรายงานของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 84% ของผู้ป่วยที่ติดเชื้อภายในประเทศยังคงเป็นสายพันธุ์เดลตา ในขณะที่อีก 16% เป็นสายพันธุ์โอมิครอน ส่วนผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 53% เป็นสายพันธุ์โอมิครอน และเป็นสายพันธุ์เดลตาอีก 47%
รัฐบาลไทยได้ยกเลิกโครงการท่องเที่ยวแบบไม่ต้องกักตัวชั่วคราวและแสดงความกังวลว่าการต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้ามา อาจเป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดหนัก โดยก่อนหน้านี้ประเทศไทยได้มีการเปิดประเทศให้กับนักท่องเที่ยวจากกว่า 60 ประเทศ เดินทางเข้ามาได้โดยไม่ต้องกักตัวนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน นอกจากนั้นแล้วรัฐบาลไทยยังได้ยกเลิกโครงการ Sandbox ซึ่งให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาไทยได้ แต่สามารถเดินทางได้ในพื้นที่จำกัด โดยถือเป็นการกักตัวไปด้วยในตัว มองไปในระยะข้างหน้า ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดปีนี้ไทยจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาทั้งหมดราว 280,000 คน และอีก 5.6 ล้านคนในปีหน้า (ประมาณการของธนาคารกรุงเทพ: 300,000 คนในปี 2564 และ 2.5 ล้านคนในปี 2565)
โดยปกติแล้วเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ถือว่าเป็นช่วง High Season ที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาไทยจำนวนมาก แต่ด้วยการแพร่ระบาดของโอมิครอนเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ก็คาดว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในไทยที่คาดหวังว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้นในปีหน้า
รูปที่ 4: ภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทยยังคงซบเซา เนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเข้มงวดขึ้น
Bangkok Bank Post ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2564
#Omicron #จีน #สหราชอาณาจักร #สหรัฐอเมริกา #เศรษฐกิจไทย #เศรษฐกิจโลก
#Bnomics #Global_Economic_Update #เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน
ผู้เขียน :
ธีระภูมิ วุฒิปราโมทย์ Economist, Bnomics
ปรียา ชัชอานนท์ Economist, Bnomics
ภาพประกอบ :
ชนกานต์ วรสุข Graphic Designer, Bnomics
▶︎ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา