30 ธ.ค. 2021 เวลา 03:35 • หนังสือ
✴️ บทที่ 1️⃣2️⃣ ผู้มีญาณและร่างทรง ✴️ (ตอนที่ 2)
ช่วงที่ผมค้นคว้าเรื่องจิตของมนุษย์และขีดจำกัดของจิตรับรู้มากขึ้นไปเรื่อยๆ ผมก็มีโอกาสได้พบกับคนที่มีความสามารถพิเศษจริงๆมากมายหลายคน บางคนสามารถไขข้อมูลที่ปกติแล้วไม่อาจรับรู้ได้ด้วยอายตนะทั้งห้า พวกเขามีสัมผัสที่หก มีความหยั่งรู้ภายใน (𝗶𝗻𝗻𝗲𝗿 𝗸𝗻𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴) หรือที่เรียกว่า ‘ญาณใน’ (𝗶𝗻𝘁𝘂𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻) หลายครั้งที่ข้อมูลซึ่งได้รับจากสัมผัสที่หกนี้ก็ถูกต้องแม่นยำยิ่ง
รายอื่นมีความสามารถด้าน 𝗺𝗲𝗱𝗶𝘂𝗺𝗶𝘀𝘁𝗶𝗰 คือเป็น ‘ร่างทรง’ พวกเขาจะรับหรือส่งต่อข่าวสารความรู้จากผู้ที่อยู่ “อีกภพภูมิหนึ่ง” ไม่ว่าจะจากวิญญาณที่คอยชี้แนะเรา (𝗦𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁 𝗴𝘂𝗶𝗱𝗲𝘀) จากคนที่เรารักซึ่งตายไปแล้วหรือจากแหล่งอื่นๆของจิตรับรู้ที่อยู่พ้นไปจากขีดจำกัดปกติของสมองและร่างกายเราที่จะเข้าถึงได้
บุคคลใดที่มีพรสวรรค์แท้จริงไม่จำเป็นต้องหลอกใคร ไม่ต้องใช้เทคนิคตบตาหรือมายากลแต่ประการใดเลย พวกเขารู้เรื่องราวซึ่งถ้าใช้สมองมนุษย์คิดนึกเอาตามปกติแล้วจะ “ไม่มีวัน” รู้ได้เลย ความสามารถของพวกเขาเหล่านี้ ของจริงครับ
แต่อีกแง่หนึ่งก็ต้องยอมรับว่าโลกแห่งร่างทรงกับคนมีญาณนั้นก็มีพวกฉวยโอกาส จอมปลอมและจับแพะชนแกะอยู่เต็มไปหมดเหมือนกัน ดังนั้นการแยกแยะตัวจริงออกจากตัวปลอมจึงเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว
🛑 กฎเกณฑ์ดูคนง่ายๆมีดังนี้ครับ :
1️⃣ ในตัวเราทุกคนมีกระแสจิตและมีความสามารถเรื่องการหยั่งรู้ภายในที่เหนือกว่าไกลกว่าที่เรารู้ตัวหรือใช้อยู่ทุกวันนี้ครับ ฉะนั้นจงชั่งน้ำหนักข้อมูลที่คุณได้รับจากหมอดูด้วยปัญญาญาณภายในที่คุณมีอยู่แล้วในตัวเอง ถ้าสิ่งที่หมอดูบอกนั้นฟังแล้วไม่น่าจะใช่หรือดูไม่เหมาะสม ก็แสดงว่ามันอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไปก็ได้ คุณก็เป็นคนมีญาณหยั่งรู้ด้วยเช่นกัน★
★ ในเวลาจัดสัมมนา มีหลายท่านถามดิฉันว่าการระลึกชาติหรือการมีญาณสังหรณ์ (𝗶𝗻𝘁𝘂𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻) จำกัดแค่คนมีบารมีแก่กล้า ฝึกมาดีระดับอาจารย์เท่านั้นไม่ใช่หรือ เราคนธรรมดาจะทำได้อย่างไร ดิฉันเองก็ “เคย” เป็นหนึ่งในจำนวนคนที่ “ไม่กล้าเชื่อ” ว่าเราทุกคนมีญาณภายในตัวเพราะถูกพวกบรรดา “เกจิ” ทั้งหลายเขียนหนังสือเผยแพร่ หรือสั่งสอนมามากว่าคนไม่มีวาสนาบารมีทำไม่ได้
ซึ่งต่อมาหลังจากศึกษาอย่างละเอียดในหลายแหล่งข้อมูล และที่ค้นพบด้วยตัวเองจึงรู้ว่าเป็นการสอนแบบบิดเบือนอย่างแรงเพื่อคนจะได้เชื่อถือเคารพแต่เขาเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านอบรมพวกเราให้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึง “อริยทรัพย์ภายใน” มาตลอด 𝗶𝗻𝘁𝘂𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 คือหนึ่งในอริยทรัพย์ที่ใช้ในการเข้าถึงเพื่อค้นพบความรู้แจ้งหรือ 𝗲𝗻𝗹𝗶𝗴𝗵𝘁𝗲𝗻𝗺𝗲𝗻𝘁 การบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าได้คือ “ทางหนึ่ง” ที่เรา จะได้ประโยชน์จากอริยทรัพย์นี้แต่ไม่ใช่หัวใจหลัก “การรู้แจ้ง” ถึงธรรมชาติและธรรมธาตุต่างหากคือจุดหมายที่รออยู่
แต่มนุษย์จะทำไม่ได้หากเรายึดถือผิดๆแบบเดิมว่าอำนาจแห่งญาณภายในที่เป็นสิทธิอันชอบธรรมมาแต่กำเนิดของมนุษย์ทุกรูปนาม ไปขึ้นตรงอยู่กับคนแค่ไม่กี่คนที่อวดอ้างเอาสิทธิ์นี้เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว แล้วก็เลยไม่ยอมรับสิทธิแต่กำเนิดนี้ของตัวเอง ไม่ยอมฝึกฝนให้พรสวรรค์นี้ฉายประกายส่องนำทางชีวิต คนเหล่านี้หากไม่ปฏิเสธการมีอยู่ของญาณภายในตัวเราทุกคนไปเลย ก็จะเป็นพวก 𝗰𝗼𝗱𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱𝗲𝗻𝗰𝘆 คือพึ่งพาผู้มีอำนาจ หมอดู คนทรง อาจารย์ทุกวัด ทุกตำหนักอยู่ร่ำไปตลอดชีวิต : ผู้แปล
2️⃣ ข้อมูลเรื่องราวทุกอย่างที่หมอดูหรือร่างทรงได้รับมาจำเป็นต้องผ่านร่างเสียก่อนจะส่งต่อมาถึงคุณ ดังนั้นคำตอบทั้งหมดอาจถูกบิดหรือผิดเพี้ยนไปด้วยกระบวนการทางความคิดของหมอดูหรือร่างทรงเอง ที่ว่าจะบิดเพี้ยนไปมากน้อยแค่ไหนก็ต้องอยู่ที่ตัวคนกลางที่รับสารว่าเที่ยงตรงมากน้อยขนาดไหน #หมอดูก็เป็นคน ขึ้นชื่อว่าคนแล้วแม้จะเป็นหมอดูทางในที่เปี่ยมพรสวรรค์มากมายแค่ไหนก็บิดเบือนข้อมูลได้ถ้าตอนนั้นมีปัญหาส่วนตัว อารมณ์ไม่ดี หรือหมกมุ่นต้องการบางอย่างมากจนมารบกวนกระบวนการรับส่งสารจากญาณใน
3️⃣ พวกฉวยโอกาสมักจะโก่งเอาเงินค่าโน่นค่านี่สูงลิ่ว พยายามให้คุณต้องพึ่งพาแต่คำชี้แนะจากเขาเท่านั้น ชอบตั้งตนไว้สูงส่งเป็น “ผู้วิเศษ” ที่เก่งวิชาแบบที่ไม่มีใครมีแบบตัวเองได้ หรือตั้งตนเป็นเกจิอาจารย์ที่คุณต้องตามเขาต้อยๆ คุณรู้ว่าเขาใช้กลเม็ดแบบนี้เมื่อไหร่ให้รีบถอนตัวออกมาทันทีนะครับ
ผมทึ่งมากตอนที่รู้ว่าร่างทรงและผู้เยียวยาที่เก่งมาก ๆ ในแอฟริกาใต้ที่ทำงานด้านนี้เป็นอาชีพเลี้ยงตัวเอง พวกเขามักจะหาเวลาเดินทางไปเยี่ยมคนยากไร้ขาดทุนทรัพย์ที่ต้องการการรักษาหรือความช่วยเหลือ โดยปลีกเวลาจากงานตนเอง จ่ายค่าเดินทางเอง แล้วไปช่วยให้ฟรีโดยไม่คิดค่าป่วยการเลยแม้แต่น้อย เวลาเดินทางไปเยี่ยมเยียนแบบนี้หลายครั้ง กินเวลายาวถึง 𝟭 หรือกระทั่ง 𝟮 สัปดาห์ต่อครั้ง
4️⃣ การเติบโตที่แท้เกิดจากข้างในตัวเราเอง ผู้มีญาณทิพย์จะช่วยให้เราเรียนรู้วิธีเข้าถึงปัญญาญาณภายในได้ร่วมกับการปฏิบัติสมาธิเป็นประจำ คุณก็สามารถเป็นผู้มีญาณในได้ด้วยตัวเองและหลุดพ้นจากการพึ่งพาคำชี้นำจากภายนอกอยู่ร่ำไปได้โดยแท้จริง ช่วงเริ่มต้นใหม่ๆ การใช้หมอดูทางในหรือร่างทรงเข้ามาเกี่ยวบ้างโดยบิดเบือนข้อมูลให้น้อยที่สุดก็ช่วยได้มากเหมือนกัน
5️⃣ ความสามารถทางการดูหมอทางในหรือการทรงไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการวิวัฒน์ของจิตวิญญาณเสมอไป ร่างทรงที่เก่งมากๆหลายคนก็รู้กันทั่วว่าตัวจริงนั้นเห็นแก่ตัวทำตัวน่าขยะแขยงมาก จงอย่าไปยกย่องว่าคนคนนี้ต้องเป็นคนดีมีจิตวิญญาณสูงเพียงเพราะเขาหรือเธอมีความสามารถทางพลังจิตเหนือคนธรรมดาทั่วไป เพราะเท่ากับว่าคุณกำลังเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงต่อการถูกครอบงำ ตกเป็นเหยื่อทันทีถ้าคุณเชื่อว่าคนมีญาณทิพย์ได้ก็ต้องเป็นคนดีมีศีลธรรม
6️⃣ ขอให้ใช้ปัญญาระลึกไว้เสมอว่าร่างทรงหรือหมอดูทางในไม่ใช่นักจิตบำบัด ไม่ใช่นักปรึกษาทางจิตที่ฝึกฝนมาทางสายบำบัดจิตโดยเฉพาะ จงอย่าหวังให้ปัญหา ความกลัว อาการของโรคที่คุณเป็นอยู่หายไปในฉับพลันราวปาฏิหาริย์ในการไปหาหมอดูหรือคนทรงเพียงแค่ครั้งเดียว ขออย่าคิดไปเองว่าจะได้คำตอบเดียวที่ตอบปัญหาทุกอย่างในโลกของคุณได้แล้วจะทำให้คุณเข้าใจมันได้ในพริบตา หมอดูทำไม่ได้หรอกครับ การไม่ได้ฝึกฝนมาทางนี้ทำให้หมอดูกับคนทรงไม่ได้เตรียมพร้อมมาให้จับประเด็นปัญหาแล้ววิเคราะห์ตีความเพื่อแก้ไข หน้าที่ของเขาคือ #เห็นปัญหาแล้วบอกคุณต่างหากครับ คุณอาจจะได้รู้ข้อมูลส่งมาจากอีกภพภูมิหนึ่ง เสี่ยวข้อมูลที่ได้รู้นั้นอาจจะมีค่ามากๆแล้วช่วยเยียวยารักษาใจให้คุณได้ แต่เสี้ยวนั้นมันไม่ใช่การบำบัดจิต (𝗽𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿𝗮𝗽𝘆) แน่นอนครับ
ถ้าร่างทรงบอกเรื่องที่ไม่ตรงหรือกระทั่งเชือดเฉือนให้เจ็บช้ำน้ำใจ จงจำให้ขึ้นใจเลยครับว่าคนคนนั้นไม่ใช่นักจิตบำบัดที่เปี่ยมเมตตาแล้วละครับ ถ้าคุณต้องวัดคุณค่าจริงๆ ก็จงวัดหมอดูหรือคนทรงอย่างเดียวกับที่เราใช้วัดคนอื่นๆเลยครับ จงอย่ายินยอมเอาอำนาจหรือเกียรติของคุณไปยกให้กับผู้หนึ่งผู้ใดเลย
7️⃣ ขณะที่เรามักจะชอบชื่นชมหรือกระทั่งอิจฉาคนที่เขามีพลังจิตหรือพลังในการทรงวิญญาณ ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ควรจะสูญเสียเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเราเองด้วยประการใดๆ เราเกิดมาในโลกนี้ก็เพื่อจะเรียนรู้และเติบโตในฐานะจิตวิญญาณ เพื่อที่จะเป็นคนที่เปี่ยมด้วยหัวใจรัก และเมตตากรุณาให้มากขึ้นๆ เพื่อที่จะบรรลุความสมดุลและสอดคล้องกลมกลืนในชีวิตให้สำเร็จ เพื่อที่จะรู้สึกถึงสันติสุขภายในได้อย่างมั่นคงและรักษาความรู้สึกสุขสงบภายในนี้ไว้ให้จงได้ เราไม่ได้มาเกิดบนโลกนี้เพื่อที่จะเป็นผู้มีญาณทิพย์ที่โด่งดัง แม้อาจจะยกเว้นเป็นบางกรณีก็ตามที ยามที่เราเดินหน้าไปตามเส้นทางสายจิตวิญญาณนั้น พรสวรรค์ทางญาณทิพย์หรือการทรงอาจเพิ่มพูนตามขึ้นไป แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายครับ พรสวรรค์นี้อาจช่วยนำทางให้ ช่วยส่องแสงสว่างบนทางให้ แต่มิใช่จุดสิ้นสุดที่ปลายทางเดิน
เมื่อหลายปีก่อนมีคนเล่าเรื่องพระพุทธเจ้ากับสาวกของท่านให้ผมฟัง วันหนึ่งพระพุทธองค์กับสาวกกำลังเจริญสมาธิอยู่ในสวนอันสงบเงียบแห่งหนึ่ง สาวกรูปหนึ่งซึ่งกำลังเข้าฌานสมาธิก็เกิดอภินิหารลอยสูงจากพื้น พอสาวกรูปนั้นรู้ตัวว่าร่างท่านลอยขึ้นจากพื้นได้ก็เริ่มตื่นเต้นยกใหญ่และภาคภูมิใจในฤทธิ์ของตนเอง ฟื้นจากสมาธิ ร่างค่อยๆลงสู่พื้น เมื่อนั้นสาวกก็ยึดกายขึ้นเดินเข้าไปหาพระตถาคต
“ข้าพระพุทธเจ้าสำเร็จวิชาลอยได้แล้วพระพุทธเจ้าข้า” สาวกกราบทูล
“ก็ดีอยู่” พระพุทธเจ้าตรัสตอบ “แต่อย่าให้ที่เธอลอยได้มาขวางการนั่งสมาธิของเธอเสียเล่า”
8️⃣ คนที่มีพรสวรรค์บางคนจะสามารถสื่อสารกับวิญญาณจากภพภูมิอื่นได้ แต่เราก็ต้องหาเทคนิควิธีมาแปลความหมายอยู่ดี จนบางทีเราอาจคิดว่าเป็นวิญญาณยิ่งใหญ่มีอำนาจจริงๆมาบอกข้อมูลให้ ทั้งที่จริงๆแล้วบางคนเพิ่งตายจากไปกลายเป็นรูปวิญญาณ ก็ไม่ได้หมายความว่า วิญญาณนั้นจะได้รู้ปัญญาธรรมอันยิ่งใหญ่ใส่ตัวได้เลยทันทีแต่ประการใด 𝗦𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁 𝗴𝘂𝗶𝗱𝗲𝘀 – วิญญาณที่คอยชี้แนะ หรือ 𝗴𝘂𝗮𝗿𝗱𝗶𝗮𝗻𝘀 – วิญญาณที่คอย พิทักษ์รักษาตัวเรา ก็เหมือนกัน ดวงวิญญาณเหล่านี้แบ่งย่อยเป็นหลายระดับชั้น ตั้งแต่ระดับวิญญาณธรรมดาๆที่ยังเขลา จนถึงระดับที่มีการพัฒนาสูงส่งยิ่งในขั้น 𝗺𝗮𝘀𝘁𝗲𝗿𝘀 หรือขั้นเป็นพระเบื้องบนจริงๆ หากคนทรงที่รับเอาวิญญาณโง่เขลาและอวิชชาเข้ามา ทำไมจะต้องให้โลกทั้งโลกไปสนใจฟังคำที่วิญญาณแบบนั้นพูดด้วยล่ะครับ❓
แล้วก็อีกแหละครับ เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ❓ ถามอีกก็ตอบอีกว่า จงใช้ปัญญาญาณภายในของคุณเองตอบครับ คุณจะรู้เลยว่าดวงวิญญาณที่มาประทับทรงนั้นเป็นชั้นสูงหรือไม่ก็จากเนื้อหาที่พูดออกมาเปี่ยมด้วยความรักหรือไม่ ข่าวที่บอกถูกต้องแม่นยำมากน้อยขนาดไหน รู้ได้ทันทีเพราะเรื่องที่บอกจะเป็นรายละเอียดส่วนตัวที่มันตรงกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆอยู่แล้ว
9️⃣ ร่างทรงจะได้รับสารจากอีกภพหนึ่งในรูปของสัญลักษณ์ คำเปรียบเทียบหรือรับสารมาเป็นภาพนิมิต การรับส่งสารแบบนี้มักจะเที่ยงตรงแม่นยำมาก แต่กระนั้นการพยายามตีความหรือแปลสัญลักษณ์ให้เป็นเรื่องราวโดยตัวร่างทรงเอง ตรงนั้นแหละที่สารจะถูกบิดให้เพี้ยนไป การตีความของร่างอาจทำให้แปลผิดความหมาย ออกนอกลู่นอกทางหรือไม่ตรงเลยก็ได้
ยกตัวอย่างเช่น ร่างทรงอาจจะรู้สึกว่ามีดอกกุหลาบอยู่ในสารที่รับมา เลยถามลูกค้าว่ามีสวนกุหลาบที่บ้านไหม หรือว่าดอกกุหลาบสำคัญต่อลูกค้าคนนั้นอย่างไร ลูกค้าก็งงเป็นไก่ตาแตก ในความเป็นจริงแล้วคือ ภาพกุหลาบหมายถึงคุณย่าที่ตายไปแล้วของลูกค้า ท่านชื่อ 𝗥𝗼𝘀𝗲 (กุหลาบ) จะให้ดี ร่างทรงต้องอธิบายภาพที่เขาเห็นง่ายๆเลยว่า “กุหลาบ เกี่ยวอะไรกับคุณบ้างหรือเปล่า”
หลายครั้งที่สารส่งมาเป็นคำๆ ร่างทรงอาจจะรู้สึกว่าการสื่อสารมันไม่กระจ่างเลย เหมือนตัวเองกำลังฟังวิทยุที่มีคลื่นรบกวนมากๆ ในสถานการณ์แบบนี้คำที่ส่งมาอาจตีความผิดได้ เมื่อถูก “รบกวน” อย่างนี้ ร่างทรงมักจะถามวิญญาณที่สื่ออยู่ขณะนั้นด้วยคำถามที่ตอบ ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ อย่างเดียว เพื่อบอกให้รู้ว่าที่ร่างทรงอ่านหรือตีความสัญญาณที่ส่งมาอยู่นั้นถูกหรือผิดจะได้รู้เลย
🔟 หมอดูทางในหรือร่างทรงที่เก่งๆช่วยเราได้มหาศาล โดยเฉพาะยามที่พวกเขาให้เราได้รับรู้ถึงอีกภพภูมิหนึ่งและรู้ข่าวสารจากคนรักที่ตายจากเราไปแล้ว เพราะพวกเขานี่เองที่ทำให้เราได้รู้พบความจริงของชีวิตหลังความตาย ได้รู้จักธรรมชาติที่แท้ของดวงวิญญาณว่าเป็นอมตะไม่มีวันตาย ได้รู้ว่าเราจะมีโอกาสพบเจอกับญาติมิตรพี่น้องเพื่อนรักได้อีกแน่นอน พวกเขาจะช่วยให้คำชี้แนะว่าเราจะมีชีวิตสืบต่อไปอย่างไร อะไรคือคุณค่าที่แท้จริง อะไรสำคัญจริงๆ และอะไรที่ไม่สำคัญเลย
แต่ที่สุดของทุกสิ่งแล้ว เราจำต้องพบเจอกับประสบการณ์ทั้งหมดนี้ตรงๆจากข้างในตัวเราเองครับ พอเราเจอกับตัวเองเมื่อไหร่เมื่อนั้นแหละเราถึงจะรู้จริง เมื่อใดที่เราได้ยิน ได้เห็น ได้สัมผัสกับคนรักที่ตายจากไปแล้วตรงๆ เมื่อนั้นเราถึงจะรู้ว่าพวกเราจากกันก็แต่เพียงกายแค่เพียงชั่วคราว เมื่อไหร่ที่เราได้เจอกับเรื่องอันศักดิ์สิทธิ์งดงามนี้ตรงๆกับตัวด้วยความอัศจรรย์ใจเหลือจะพรรณนา เท่ากับเราได้ปลุกบัณฑิตและผู้วิเศษในตัวเราให้ตื่นขึ้นมาต่อหน้าเรานี้เอง
(มีต่อ)
โฆษณา