5 ม.ค. 2022 เวลา 03:17 • หนังสือ
✴️ บทที่ 1️⃣3️⃣ สารอัศจรรย์ ✴️ (ตอนที่ 3)
สองสามปีก่อน เจมส์ แวน ปราห์ นักทรงและนักเขียนอเมริกันที่เขียนหนังสือฮิตระดับโลกอย่าง 𝗧𝗮𝗹𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗛𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻 และ 𝗥𝗲𝗮𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗛𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻★ ทำนายไว้ว่างานของผมจะเข้าถึงกลุ่มคนกว้างขึ้นขยายขึ้นกว่าเดิมอีก เขายังบอกอีกว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงเวลายกระดับไปสู่ขั้นที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในระดับสูงขึ้นกว่าก่อน เพราะโลกตอนนี้กำลังดิ้นรนใฝ่หาทิศทางของจิตวิญญาณและต้องการให้วิทยาศาสตร์กับจิตวิญญาณธรรมมาบรรจบกันเหลือเกินแล้ว
★ อ่าน 𝟮 เล่มนี้แล้ว ปราห์เขียนดีมาก เขาอธิบายเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย สละสลวยและประทับใจ หาซื้อในเมืองไทยได้ง่ายอีกด้วย ปราห์เป็นเพื่อนสนิทกับ ดร.ไวส์ตั้งแต่ก่อนเขียนหนังสือ นัดเจอกันทุกเช้าเพื่อกินกาแฟและคุยกัน ให้กำลังใจกันตลอดมา : ผู้แปล
หัวผมได้ยินคำทำนายนี้ก็จริง แต่ใจไม่คิดจะเชื่อเลย ด้วยว่าระหว่างฝ่าหนทางอยู่นั้น กระแสต่อต้านกับคนที่ไม่เชื่อว่ามีจริงช่างมากเหลือเกิน 𝟵 ปีเต็มๆ ที่ผมทรมานตัวเองที่เพียรสอนเพียรบอกเล่าสัจธรรมและความจริง ‘เรื่องชีวิตหลังความตาย’ ‘เรื่องกลับชาติมาเกิดใหม่’ และ ‘เรื่องความรักที่ศักดิ์สิทธิ์งดงามของเบื้องบน’ จนหมดแรงแล้ว
เวลาถึง 𝟵 ปีที่ผมถูกหัวเราะเยาะ โดนล้อเลียนเห็นเป็นเรื่องตลกที่มาสอนว่ารักไม่มีวันจบสิ้น สอนว่าเราและคนที่เรารักไม่ได้ตายตามร่างเราที่ตายหรอก เราจะยังคงอยู่และคงรักกันต่อไปในภาวะของวิญญาณ และจะกลับมารักกันใหม่ในภาวะกายเนื้อถ้าเป็นเรื่องที่ต้องทำ ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังสอนสัจธรรม แต่ก็มีผู้คนอีกดาษดื่นที่ยังปิดใจไม่ยอมรับ แล้วตัวงานจะขึ้นไปถึงขั้นที่สูงกว่าได้อย่างไรเล่า และทำไมถึงต้องมาสูงขึ้นเอาตอนนี้❓
ระหว่างที่ผมไปๆมาๆที่บราซิล ก็มี 3️⃣ เรื่องเกิดขึ้นติดกัน เป็นเรื่องที่ช่วยปลุกผมให้คิดได้ว่าสิ่งที่ซีเลียกับเจมส์บอกไว้นั้นถูกต้องแล้ว
1️⃣ เรื่องแรกคือจำนวนคนที่เข้าฟังเวิร์กชอปกับความสนใจของสื่อมวลชนในบราซิล ทุกๆเมืองที่ผมแวะพูด คนเป็นพันๆหลั่งไหลเข้าสู่หอประชุม ทุกงานบัตรขายหมดเกลี้ยง ทั้งทีวี หนังสือพิมพ์และนิตยสารพากันลงข่าวคับคั่ง การปรากฏตัวเซ็นหนังสือกินเวลานานหลายชั่วโมง เพราะมีคนมากมายอดทนรอเข้าแถวยาวเหยียดอยู่อย่างนั้น
กระนั้นสมองผมก็ยังหาเหตุผลมาลดทอนการตอบรับมหาศาลนี้ลงจนได้ว่า “ก็นี่คือบราซิล” บราซิลเป็นประเทศที่มีการรับรู้และตื่นรู้เรื่องทางจิตวิญญาณอย่างเข้มข้นอยู่แล้ว เป็นแผ่นดินที่สวยงามน่าตื่นตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนประเทศนี้มีจิตใจงดงาม ประชาชนเขาเปิดใจกว้าง เปี่ยมล้นด้วยความรัก และตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ นัก 𝗦𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝗶𝘀𝘁𝘀 หรือนักจิตวิญญาณอย่างอัลลัน คาร์เดคก็เคยมาปูทางไว้ก่อนนี้แล้วด้วย
ผมเลยคิดว่าบราซิลถือเป็นข้อยกเว้น เหมือนประเทศอื่นๆอีกมากหลายในแถบลาตินอเมริกา ที่คนของเขารู้สึกเปิดใจพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางจิตวิญญาณกันได้อย่างสะดวกใจ
แล้วเหตุการณ์ที่ 2️⃣ ก็เกิดขึ้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมรักษาคนไข้ที่เป็นคนมีชื่อเสียง เป็นนักการเมือง นักกีฬาระดับดาราอยู่มากมาย หลายท่านได้พบกับประสบการณ์ระทึกใจไม่ว่าจะเป็นอดีตชาติหรือปรากฏ การณ์ทางจิตวิญญาณก็ตาม ด้วยกฎของการรักษาความลับคนไข้ และด้วยความเคารพชีวิตส่วนตัวของท่านเหล่านี้ ผมจึงไม่สามารถเล่าหรือเขียนเรื่องราวสู่กันฟังได้เลย แต่คนไข้ทุกท่านแม้จะไม่ได้ถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ใดๆก็ตาม แต่ด้วยความห่วงภาพลักษณ์ว่าสาธารณชนจะคิดอย่างไร ทำให้แทบไม่มีใครที่มีชื่อเสียงขนาดนั้นจะเอ่ยถึงผม ถึงงานเขียนหรือการรักษาที่เราบำบัดมาด้วยกันเลย
แต่มีท่านหนึ่งที่ยกเว้น เธอคือ กลอเรีย เอสตาฟาน★ นักร้องและนักแสดงเปี่ยมพรสวรรค์อันเหลือเชื่อ คนที่เป็นเจ้าของความกล้าหาญทั้งทางร่างกายและคุณธรรมประจำใจ เธอมีจิตวิญญาณที่พัฒนาสูงมากเลยครับ หัวใจของกลอเรียงดงามนัก เธอช่วยชุมชนไมอามี่ในทางกุศลมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้น เมื่อเธอให้สัมภาษณ์สู่สาธารณชนเกี่ยวกับผม แม้ผมจะซาบซึ้งใจมากแต่ก็ไม่แปลกใจเลย
★ 𝗚𝗹𝗼𝗿𝗶𝗮 𝗘𝘀𝘁𝗲𝗳𝗮𝗻 นักร้องสายเลือดละตินที่มีชื่อเสียงและเกียรติยศทั่วโลก เธอเริ่มต้นจากเด็กสาวจอมกตัญญูในครอบครัวยากจนที่ต้องดูแลครอบครัวอย่างหนัก จนมาพบสามีที่เธอรักสุดหัวใจ แล้วเขาก็ตั้งวงดนตรี 𝗠𝗶𝗮𝗺 𝗦𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗠𝗮𝗰𝗵𝗶𝗻𝗲 ขึ้นมา จนภายหลังเขากลายเป็นโปรดิวเซอร์ที่ส่งให้กลอเรียก้าวสู่การเป็นศิลปินระดับโลก และมีลูกชายสุดหล่อคนหนึ่ง กลอเรียเดินทางมาเปิดการแสดงในเมืองไทยหลายครั้ง จุดหักเหที่สำคัญที่สุดคือ กลอเรียประสบอุบัติเหตุรถคอนเสิร์ตทัวร์คว่ำหลังหัก และน่าจะพิการเป็นอัมพาตตลอดชีวิต แต่เธอและสามีก็อยู่เคียงข้างกัน ช่วยให้เธอฝ่าฟันช่วงทุกข์ยากที่สุดจนเธอหายจากพิการจนตั้งท้องลูกคนใหม่ และมีงานอัลบั้มที่ ส่งให้เธอเป็นศิลปินระดับอมตะถึงขั้น 𝗗𝗶𝘃𝗮 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗜𝗻𝗱𝘂𝘀𝘁𝗿𝘆 : ผู้แปล
จากบทความนิตยสารฉบับมิถุนายน ปี 𝟭𝟵𝟵𝟲 กลอเรียให้สัมภาษณ์ว่า “ดิฉันเป็นคนปฏิบัติสมาธิมาตลอดชีวิต คล้ายกับรูปแบบ 𝗦𝗲𝗹𝗳-𝗛𝘆𝗽𝗻𝗼𝘀𝗶𝘀 สะกดจิตตัวเองมาก แต่ตัวดิฉันเองไม่เคยรู้เลยว่าแบบนี้มันคืออะไรจนกระทั่งรถทัวร์คว่ำ พอเพื่อนคนหนึ่งส่งหนังสือ 𝗠𝗮𝗻𝘆 𝗟𝗶𝘃𝗲𝘀, 𝗠𝗮𝗻𝘆 𝗠𝗮𝘀𝘁𝗲𝗿𝘀 ของไบรอัน ไวส์ มาให้อ่าน หนังสือเล่มนี้โดนใจดิฉันมาก และให้พลังกับตัวเองในการต่อสู้เพื่อให้หายดีให้ได้ ดิฉันดึงเนื้อหาจากหนังสือเอามาใช้ในชีวิตบ่อยมาก ดิฉันเองเป็นคนที่อยากรู้เรื่องการสะกดจิตมาตลอดโดยไม่เคยรู้เลยว่าที่ตัวเองทำอยู่มาตั้งหลายปีนั่นแหละใช่แล้ว ดิฉันก็ได้พบกับคุณไบรอัน ไวส์ จนได้ตอนที่เขาสะกดจิตดิฉัน เขาใช้วิธีเดียวกับที่ดิฉันใช้มาตลอดตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เวลาจะเข้าสมาธิสู่ตัวในของเรา (𝗶𝗻𝗻𝗲𝗿 𝗺𝗲𝗱𝗶𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻) วิธีนี้เป็นวิธีที่ดิฉันใช้สวดภาวนาด้วยเหมือนกันเลยค่ะ”
ทว่า... เรื่องของกลอเรียไม่ใช่เหตุการณ์ที่ 2️⃣ หรอกครับ ซิลเวสเตอร์ สตัลโลนต่างหากที่ใช่ ตอนที่ผมไปบราซิลในปี 𝟭𝟵𝟵𝟳 เขาให้สัมภาษณ์นักข่าวอเมริกันว่าผมช่วยให้เขาเข้าถึงบทบาทในหนังใหม่เรื่อง 𝗖𝗼𝗽 𝗟𝗮𝗻𝗱★ อย่างไร
★ 𝗖𝗼𝗽 𝗟𝗮𝗻𝗱 เป็นหนังสือแนวดราม่าตำรวจที่หม่นเศร้า ซึ่งบทมาถึงมือสไลในช่วงที่เขาเบื่อหนังแอ็คชั่นแล้ว และเป็นช่วงปลายทศวรรษ 𝟵𝟬 ที่หนังแอ็คชั่นขาดสาระ ยิงกันอย่างเดียวตกยุคสมัย เพราะคนอเมริกันหันมาสนใจเรื่องคุณค่าชีวิตมากกว่าแค่ยิงกันเอาสนุกอย่างเดียว สไลต้องประชันกับสุดยอดอภินักแสดงดราม่าอย่าง โรเบิร์ต เดอ นิโร, ฮาร์วีย์ ไคเทล และเรย์ ลิออตต้า ทำให้เขาเกร็งมากกับแอ็คติ้ง หนังเรื่องนี้มีให้เช่าทั่วไปในเมืองไทย : ผู้แปล
นักวิจารณ์พากันยกย่องฝีมือการแสดงของสตัลโลนในเรื่อง 𝗖𝗼𝗽 𝗟𝗮𝗻𝗱 เขาไม่ได้เล่นเป็นแอ็คชั่นฮีโร่อีกแล้ว แต่ต้องเล่นชีวิตหนักในบทของนายอำเภอร่างพิการที่ต้องต่อสู้กับวงการคอรัปชั่นในเมืองเล็กเมืองหนึ่ง หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า “ต้องฝึกการเตรียมบทจากข้างในด้วยเช่นกัน เพราะเขารู้ตัวว่าต้องฟาดฟันบทบาทกับ (โรเบิร์ต) เดอ นิโร, (ฮาร์วีย์) ไคเทล กับเรย์ ลิออตต้า
“ผมเองไม่เคยต้องประชันบทบาทกับนักแสดงระดับมืออย่างนี้มาก่อนเลย” เขาสารภาพความประหม่าออกมา “เหมือนกับจู่ๆก็โดนโยนเข้าสนาม อย่างกับเพิ่งออกจากชมรมลูกเสือแล้วส่งเข้าหน่วยทหารพรานยังไงยังงั้นเลยครับ❗”
“เขาเลือกทำอย่างหนึ่งคือไปปรึกษา ดร.ไบรอัน ไวส์ นักเขียนหนังสือขายดี 𝗠𝗮𝗻𝘆 𝗟𝗶𝘃𝗲𝘀, 𝗠𝗮𝗻𝘆 𝗠𝗮𝘀𝘁𝗲𝗿𝘀 ไวส์เป็นจิตแพทย์ชาวไมอามี่ที่ผสมผสานการสะกดจิต การบำบัดจิตด้วยวิธีเยียวยาจิตวิญญาณ (𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗽𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿𝗮𝗽𝘆) และการย้อนอดีตชาติเข้าด้วยกัน เขาเป็นคนช่วยให้สตัลโลนเข้าถึงบางสิ่งที่เจ้าตัวลืมเลือนไปว่าตัวเองมี
“(หมอไวส์) ก็คิดไอเดียเรื่องความกล้าหาญที่ไม่ใช่แค่ร่างกายขึ้นมาได้ ซึ่งถือเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ชายคนหนึ่งที่ต้องเข้าไปเจอกับสถานการณ์ที่รู้ทั้งรู้ว่าด้วยร่างกายเขาไม่มีทางรอดชีวิตจากจุดจบของเรื่องนี้ได้แน่นอน แต่เขาก็ยินยอมพร้อมใจกระทำเพื่ออุดมการณ์ของตัวเอง” สตัลโลนเล่าให้ฟัง
หมอไวส์บอกว่าการไปพบสตัลโลนนั้นไม่ใช่เป็นการขุดอดีตชาติขึ้นมาแม้แต่น้อย “มันไม่ใช่การรักษาแบบหมอกับคนไข้เลยครับ ตัวละครตัวนี้เป็นวีรบุรุษที่มีความกล้าหาญทั้งทางจิตวิญญาณและคุณธรรมที่ฝังลึกอยู่ในตัว แล้วเขาก็ห่วงเรื่องว่าจะสามารถถ่ายทอดบทนี้ออกมาได้ไหม ผมเห็นสตัลโลนแล้วรู้สึกเลยว่าเขามีคุณสมบัตินี้แฝงอยู่ในตัวเขาเองอยู่ แล้วผมเพียงช่วยให้เขาทลายอุปสรรคที่มันปิดกั้นอยู่ ซึ่งทำให้เขาถ่ายทอดคุณสมบัติด้านนี้ออกมาไม่ได้ต่างหากครับ”
“การเตรียมตัวเพื่อรับบทในหนังอย่างนี้เป็นเรื่องที่สตัลโลนไม่มีโอกาสทำมานานมากแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำ แต่เพราะบทที่ได้รับไม่ต้องให้เขาทำอะไรมากไปกว่าไปโผล่หน้ากล้อง หลบกระสุน แล้วก็ห้อยโหนโจนทะยานลงจากภูเขาเท่านั้น”
เมื่อซิลเวสเตอร์ สตัลโลนมีความกล้าที่จะพูดถึงผมต่อสาธารณชนได้ก็ย่อมหมายความว่าคนอีกเป็นล้านเริ่มรับรู้แล้วว่างานแบบนี้มีจริง
(มีต่อ)
โฆษณา