17 ม.ค. 2022 เวลา 10:19 • ความคิดเห็น
สวิตเซอร์แลนด์ ประเทศน่าอยู่อันดับ 1 ของโลก
มันน่าอยู่จริง ๆ มั้ย?? 🤔🤔
มาค่ะ … เดี๋ยวแม่ชำแหละให้เป็นข้อ ๆ
👇
สืบเนื่องจากการจัดอันดับของบริษัท CS Global Partners บริษัทการตลาดและที่ปรึกษาของภาครัฐชั้นนำระดับโลก เปิดเผยรายงาน World Citizenship Report (WCR) ดัชนี World Citizenship Index (WCI) เปรียบเทียบความเป็นพลเมืองของหลายประเทศจากมุมมองของพลเมืองทั่วโลก โดยประเมิน 187 ประเทศ ใน 5 ปัจจัยหลักที่กำหนดความเป็นพลเมืองของพลเมืองทั่วโลก
อ่านข่าวเต็มได้ที่นี่ค่ะ👇
จากประสบการณ์ชีวิตที่อยู่ประเทศนี้มาเกือบ 20 ปี
เรียกว่าครึ่งชีวิตได้แล้ว คิดว่าได้เห็นมุมมองต่าง ๆ ในประเทศนี้มาพอสมควร จึงขอชำแหละออกให้ดูเป็นข้อ ๆ เพื่อง่ายต่อความเข้าใจนะคะ
🚝🚞🚌🛳การคมนาคมที่สะดวกทั้งประเทศ
ไม่ได้หมายความว่าทั้งประเทศเจริญทั่วถึงเท่ากันหมด มันก็ยังมีเขตมีเมืองที่เศรษฐกิจสะพัดมากกว่าเมืองอื่น ๆ เช่นเมืองใหญ่ ๆ อย่างซูริค เจนีวา เบิร์น ลูเซิร์น ซูค ฯ แต่เมืองเล็ก ๆ ย่อยลงมาก็ไม่ใช่ว่าน้ำไฟเข้าไม่ถึง สิ่งที่ทำให้การอยู่เมืองเล็ก ๆ ไม่รู้สึกเป็นลูกเมียน้อยมากนัก
หลัก ๆ ก็คือการคมนาคม การเชื่อมต่อเมืองเข้าด้วยกันคือรถไฟ หรือเมืองยิบย่อยบนเขาที่รถไฟไปไม่ถึง ก็จะมีรถเมล์พาคนเข้ามายังสถานีรถไฟอยู่ดี ทำให้การพิจารณาตั้งรกรากที่ชานเมืองหน่อย ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดหนัก
🌲🌴🌿🥾ธรรมชาติที่หาได้ใกล้ตัว
นี่น่าจะเป็นจุดเด่นหลักรองลงมาของประเทศนี้ ต่อให้เป็นเมืองหลวงพลุกพล่านอย่างซูริค เราก็สามารถหาสวนสาธารณะใกล้ใจกลางเมืองได้เพียงแค่เดินไม่กี่นาที จะว่าไปมันโอบล้อมรอบเมืองเสียด้วยซ้ำ
1
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทางเดินธรรมชาติ เส้นทางเดินเขา ที่ถูกทำไว้พร้อมป้ายบอกทางทั่วทั้งประเทศ ย้ำว่า ทั่วทั้งประเทศจริง ๆ อยู่ในเมืองเล็กเมืองใหญ่ มองหาป้ายสีเหลืองที่จะบอกระยะเวลาในการเดินไปยังจุดต่าง ๆ ได้ไม่ยาก เส้นทางธรรมชาติที่ว่าก็จะถูกดูแลอย่างดี ระหว่างทางก็มีเก้าอี้เอย ถังขยะเอย หรือบางจุดก็มีที่สำหรับก่อกองไฟปิ๊กนิ๊กพร้อมฟืนให้บริการด้วย สายเดิน สายวิ่ง การมาอยู่ประเทศนี้คือสวรรค์ชัด ๆ
👨🏻‍⚕️👨🏽‍🍳👮🏻👲🏻👩🏻‍🎤ชีวิตที่ไม่เหลื่อมล้ำกันมากนัก
ไม่ปฏิเสธว่าแต่ละอาชีพมีค่าตอบแทนที่ต่างกัน แต่มันไม่ต่างกันมากจนถึงกับต้องแบ่งแยกชนชั้น ซึ่งความที่ช่องว่างมันไม่ห่างกันมากจนเหวอ ก็ทำให้ทุกผู้ทุกคนสามารถเข้าถึงความฟุ่มเฟือยเบื้องต้นได้ใกล้เคียงกัน รวมถึงจะเห็นผู้คนที่ต่างอาชีพให้เกียรติกันและกันและร่วมสมาคมกัน (หากอัธยาศัยต้องกัน) ได้โดยไม่มีอายุ ฐานะ หน้าที่การงานมาเป็นตัวแบ่ง
1
แถวบ้านที่โต๊ะเบียร์ประจำร้าน เราก็อาจจะได้เห็นทั้งภารโรง พนักงานบัญชี ช่างประปา หมอ เจ้าของกิจการ ช่างทำผม หนุ่มสาววัยทำงานหมาด ๆ นั่งคุยแลกเปลี่ยน สังสรรค์กันได้ด้วยความเสมอภาค
1
👗👠👜🕶💍 วิถีชีวิตที่ไม่ฟุ่มเฟือย
ถึงจะพูดไปเมื่อย่อหน้าที่แล้วว่าผู้คนสามารถเข้าถึงความฟุ่มเฟือยเบื้องต้นได้ แต่คนสวิสน่ะไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยเรื่อยเปื่อยนะ มานั่งคุยเรื่องแบรนด์นงแบรนด์เนมอะไรนี่เค้าไม่อินหรอก
สมมติว่านั่งกันอยู่บนโต๊ะสิบคน ดูที่ข้อมือได้เลยว่าใครใส่นาฬิกายี่ห้ออะไรกันบ้าง ไม่ใช่แบรนด์ดัง ๆ อย่างโรเล็กซ์ ปาเต๊ะอะไรหรอก ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์กลาง ๆ ไม่แพงไ่ม่หวือหวา แต่จะบอกว่าเค้าเป็นคนประหยัดกันก็ไม่เชิง เรียกว่ารู้จักการใช้เงิน
อย่างรถยนต์ที่ใช้ ส่วนใหญ่ก็จะเลือกรถเล็กกันเสียมาก เพราะประหยัดพลังงาน และเสียภาษีประจำปีถูก แฟชงแฟชั่นอะไรก็ไม่หวือหวานะ เอาเป็นว่าชีวิตคนสวิสน่ะไม่ค่อยตามกระแสก็แล้วกัน ซึ่งมันทำให้เราสบายอกสบายใจนะอะไรแบบนี้
👩‍🔬🔬👧🏻🧒🏻 การศึกษาที่ทั่วถึงและเท่าเทียม
เด็ก ๆ จะได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายให้ได้รับการศึกษาเบื้องต้นฟรีจนถึงชั้นอุดมศึกษา ซึ่งความฟรีแปลว่าฟรีจริง ๆ ไม่มีค่านู่นค่านี่อะไรอีกแล้ว จูงลูกเข้าไปยังโรงเรียนที่รัฐจัดสรรให้ใกล้บ้านได้เลย
โรงเรียนมีคุณภาพเท่ากันทั้งประเทศ ไม่ต้องงอแงอยากให้ลูกไปเรียนเมืองนั้นเพราะโรงเรียนนั้นสอนดีกว่าอะไรแบบนี้ไม่ต้อง ซึ่งนอกจากจะมีระบบการเรียนการสอนที่สนับสนุนศักยภาพเด็กแล้ว ยังมีการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องปัญหาต่าง ๆ ฟรี เช่นเด็กคนใดบ้านอยู่ห่างจากโรงเรียนเกินกว่าจะขี่จักรยานหรือเดินมาโรงเรียนได้ ก็จะจัดรถรับส่งให้ฟรีเช่นกัน
หรือปัญหาอื่นใดเช่นเรื่องการออกเสียง การเรียนรู้ที่บกพร่องเกินกว่าจะเรียนกับเด็กคนอื่นได้ รัฐก็จะจัดหาผู้เชี่ยวชาญมาดูแล หรือส่งไปเรียนโรงเรียนพิเศษฟรีอีกเช่นกัน
💶💷💸ภาษีที่ถูกนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่สวิตเซอร์แลนด์เก็บภาษีเข้มงวดเข้มแข็ง ใช้ระบบแบบบ้านเรานี่แหละคือ รายได้น้อยก็เสียน้อย รายได้มากก็เสียมาก ไม่ค่อยมีใครอยากรวยนักเพราะเสียภาษีหนักจริง ๆ ซึ่งภาษีที่รัฐเก็บ จะแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ เข้ารัฐส่วนกลาง เข้าเขตปกครอง และเข้าเมืองที่อยู่อาศัย
ทุกปีจะมีการประชุมลูกบ้านของเมืองที่อยู่ จนท ประจำเมืองจะมานั่งอธิบายว่าภาษีที่ได้มาแต่ละปี เอาไปทำอะไรบ้าง ซึ่งลูกบ้านมีสิทธิขอดูเอกสารทางราชการได้ทุกเมื่อ และสามารถเสนอแนะลงความเห็นต่าง ๆ ได้
มีอยู่ปีนึงที่ได้ร่วมประชุมประจำปีด้วย ปีนั้น จนท แจ้งว่าจะขอขึ้นภาษี เพื่อนำไปใช้นู่นนี่ บลา ๆ แล้วก็ให้ลงคะแนนโหวต มี 3 คนยกมือคัดค้าน โดยลุกขึ้นยืนสอบถามพร้อมเอกสารในมือปึกนึง ร่ายยาวว่า ยังไม่คัดค้านการขอขึ้นภาษีเสียทีเดียว แต่ขอให้อธิบายมาก่อนว่า งบประมาณของปีที่แล้วที่มีอยู่ ที่บอกว่าเอาไปทำนั่นนี่นู่นนั้นมันไม่ชัดเจน ถ้าตอบข้อสงสัยได้ ก็จะยกมือสนับสนุน ซึ่งก็มีการพูดคุยกันสักพัก สรุปว่าทุกคนโอเคที่จะให้ขึ้นภาษี เพราะแผนงานที่จะนำไปพัฒนาชุมชนนั้น โอเคอยู่
🥰❤️💕ความปลอดภัยที่รู้สึกอุ่นใจ
เรื่องนี้ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เห็นภาพ แต่จะเล่าว่า ส่วนตัวชอบออกไปวิ่งในยามเช้ามืด ซึ่งหมายความว่ามืดจริง ๆ ติดไฟที่หัวแล้วก็ออกไปวิ่ง ผ่านป่า ผ่านทุ่ง ผ่านบ้านชาวนา ระยะทางไปกลับ 8 ถึง 10 กิโลเมตรทุกวัน ไม่เคยมีวันใดที่จะรู้สึกว่าจะมีภัยอันตรายใด ๆ เลย
ลูกสาวอายุ 9 ขวบเดินไปโรงเรียนเองคนเดียว ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศมืดเร็วกว่าปกติ หกโมงเย็นนี่เงียบสงัดและมืดแล้ว เด็ก ๆ นักกีฬาที่ต้องอยู่ซ้อมก็รู้สึกว่าสามารถเดินกลับบ้านกันได้เองอย่างปลอดภัย
เรื่องขโมยขโจรเมืองใหญ่อาจจะมีบ้าง แต่เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่นี่ จะบอกว่าทุกคนเป็นหูเป็นตาให้แก่กันและกัน แม้จะดูเหมือนไม่มีใครสนใจกันก็ตาม แต่จริง ๆ มีความสอดส่องอยู่ มีหลายครั้งที่เพื่อนบ้านจะมาทักว่าแข็งแรงมากนะวิ่งทุกวันเลย ซึ่งฉันก็งงนะ ก็ออกไปวิ่งมืด ๆ ทุกวันนึกว่าไม่มีใครเห็น ที่ไหนได้เค้ารู้กันทุกบ้านว่าฉันออกไปวิ่งน่ะ
🦠🦠🦠ช่วงโควิดทำให้รู้ซึ้งถึงคำว่ารัฐสวัสดิการ
บ้านเราทำเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ซึ่งได้รับผลกระทบในช่วงโควิดมากที่สุด ซึ่งทางรัฐจ่ายเงินเยียวยาตามแผน จากที่แพนิคคิดว่าชีวิตฉันตายแน่แล้วจะเอาอะไรยาไส้ พอรู้ว่ารัฐบาลไม่นิ่งดูดาย แล้วเราก็ได้รับเงินเยียวยารวดเร็วจริง ๆ มันอุ่นใจนะ
ทั้งยังมาพร้อมจดหมายที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ ไม่ให้รู้สึกว่าฉันนี้หมดเกียรติหมดศักดิ์ศรีที่ต้องมานั่งแบมือขอเงินจากรัฐบาลอีกด้วย
1
ยังจำคำที่รัฐมนตรีออกมาพูดได้ว่า “จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ตอนฟังยังไม่ซึ้งเท่าตอนที่เห็นเงินเข้ามาในบัญชีนะ จะเลิกก่นด่าการเก็บภาษีที่เหี้ยมโหดยิบย่อยแล้ว รู้ละว่าเวลาเราลำบาก ภาษีที่จ่ายไปมันวนกลับมาถึงเราจริง ๆ
☝️🤔เล่าแต่เรื่องดี ๆ ใช่ว่าเรื่องไม่ดีจะไม่มี มันก็มีแหละ อยู่ที่ไหนในโลกมันก็มีเรื่องแย่ ๆ เหมือนกัน แต่ชั่งน้ำหนักดูแล้วเรื่องดีมันดีกว่ามากจริง ๆ ก็พอจะทำให้อยู่กับเรื่องแย่นิด ๆ หน่อย ๆ ได้แบบไม่เสียสุขภาพจิตนะ
ส่วนที่เค้าบอกว่าสวิตเซอร์แลนด์น่าอยู่อันดับหนึ่งในโลกนั้นจริงมั้ย ไม่รู้เหมือนกัน เคยอยู่แค่ประเทศไทยกับสวิตเซอร์แลนด์สองประเทศนี่แหละ ถ้าเทียบกัน ก็บอกเลยว่าสวิตเซอร์แลนด์น่าอยู่กว่านะ❤️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา