19 ม.ค. 2022 เวลา 11:36 • สุขภาพ
สรุปจาก 📝WIM EP.54:ทำไม“การออกกำลังกาย”ถึงสำคัญ 🏃🏻‍♀️ x แหมทำเป็นฟิต
======================
1. การออกกำลังกายคืออะไร
======================
- การออกกำลังกายคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนเคยทำในอดีต ในยุคหินที่ต้องใช้แรง ใช้กำลังในการล่าหาอาหาร แต่พอเวลาผ่านไปเรากลับไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วการออกกำลังกายคือพื้นฐานอย่างนึงในการดำรงชีวิต คือการขยับร่างกาย
- หลายคนคิดว่าการออกกำลังกายต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ต้องเข้ายิม แต่จริงๆ แล้วมันแค่คือการเคลื่อนไหวร่างกายให้เป็นปกติเหมือนที่ร่างกายมนุษย์ควรจะเป็น เป็นสิ่งที่ทุกคนควรต้องทำอยู่แล้ว
- ยิ่งเวลาผ่านไปในอนาคต การจะขยับตัวก็จะน้อยลงมากขึ้น ยิ่งช่วงนี้ทุกคนอยู่บ้านคือไม่ได้ขยับตัว ไม่ได้ออกกำลังกาย กลายเป็นเรื่องยากสำหรับเรา จึงอยากให้กลับมาสู่พื้นฐานว่าจริงๆ แล้วร่างกายมนุษย์มันคือการเคลื่อนไหว
======================
2. ประเภทของการออกกำลังกาย
======================
*1. Cardio
- เรียกอีกอย่างได้ว่า endurance training หรือ aerobic เป็นการออกกำลังกายที่มีการใช้ออกซิเจน จะรู้สึกได้ว่า heart rate ของเราเพิ่มขึ้น
*2. Weight Training
- การออกกำลังกายที่ให้แรงต้านกับกล้ามเนื้อ ไม่ใช่แค่การยกเวทอย่างเดียว พวกยางยืด การวิดพื้น การใช้ร่างกายทำบอดี้เวทก็คือใช่หมดเลย
*3. Balance Training
- การฝึกให้ร่างกายของเราสามารถรักษาบาลานซ์ได้ เพราะการที่ร่างกายของเราจะเดินตรงมันต้องอาศัยกล้ามเนื้อที่จะรักษาบาลานซ์ร่างกาย
*4. Flexibility
- ความยืดหยุ่น ซึ่งโยคะต่างๆ ก็จะฝึกในด้านนี้
======================
3. ทำไมการออกกำลังกายถึงสำคัญ
======================
- เป็นพื้นฐานที่จะทำให้เรามีชีวิตที่ดีได้ สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราก็คือสุขภาพ การออกกำลังกายจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราสุขภาพดี อาจจะฟังแล้วดูเหมือนคนพูดกันเยอะ แต่มันก็คือเรื่องจริงที่เป็นพื้นฐาน เพราะสมมุติถ้าเราไม่ทำมัน วันใดวันหนึ่งแน่นอนร่างกายหรืออะไรที่ไม่ได้ใช้ มันก็จะฝ่อไป เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะฉะนั้นกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะยิ่งไลฟ์สไตล์ที่มันยิ่งทำให้เราขยับตัวน้อยลง โอกาสที่เราจะได้ใช้กล้ามเนื้ออย่างเต็มที่มันก็น้อยลงไปด้วย ดังนั้นถ้าเราไม่หาเวลาที่จะออกกำลังกายหรือขยับตัว ให้แรงต้านกับกล้ามเนื้อบ้าง สุดท้ายแล้วสุขภาพเราก็จะเสีย
- หลายๆ คนนั่งทำงานออฟฟิศ เป็นออฟฟิศซินโดรม สุดท้ายแล้วมันปวดหัว ลามไปทั่วตัว ทุกอย่างแย่ไปหมด ทำงานก็ทำไม่ได้ เสียสุขภาพ หาเงินได้เท่าไหร่ต้องไปหาหมอ หานักกายภาพ ทั้งๆ ที่คุณสามารถดูแลร่างกายตัวเองได้ตั้งแต่วันนี้ แล้วก็ใช้เงินถูกกว่า ถ้าคุณรู้จักการออกกำลังกาย
- จริงๆ แล้วเรื่องของการออกกำลังกายฟังแล้วอาจจะดูซ้ำซากแต่มันก็คือสำคัญจริงๆ มันทำให้ชีวิตเราเป็นชีวิต
======================
4. เราจำเป็นต้องออกกำลังกายทุกวันไหม
======================
- ไม่จำเป็นต้องออกทุกวัน แต่ควรออกให้สม่ำเสมอ จริงๆ การออกกำลังกายทุกวันโดยที่ไม่ได้มีวันพักหรือทำอย่างอื่นเลยมันจะมากเกินไป สุดท้ายควรหาจุดตรงกลาง โดยปกติแล้วเราควรที่จะออกกำลังกายประมาณ 5 วันต่อสัปดาห์ แต่ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ 3 วัน โดยการออกกำลังกายก็ควรจะมีเซสชั่นเล่นเวทเทรนนิ่ง มีการทำคาร์ดิโอ มีการยืดร่างกาย เรื่องบาลานซ์จะมีสอดแทรกอยู่แล้วในท่าทางต่างๆ ส่วนอีก 2 วันเราก็พักไปหากิจกรรมอย่างอื่นทำ หรือจะทำเป็น active rest ก็ได้
- การที่ออกกำลังกายหนักๆ ทุกวันมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี เพราะจริงๆ แล้วการออกกำลังกายคือการทำให้ร่างกายอ่อนแอลง แล้วร่างกายเราจะแข็งแรงขึ้นก็ต่อเมื่อเราได้พัก ได้กินอาหารที่ดี ได้มีการนอนที่ดี มีเวลาให้กล้ามเนื้อได้ปรับตัว เราถึงจะแข็งแรงขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราออกกำลังกายหักโหมทุกวัน มีแต่กดให้ร่างกายต่ำลงๆ แต่ไม่ได้ให้เวลาร่างกายฟื้นตัวขึ้นมาก็จะไม่ดี
- ปริมาณการออกกำลังกายของแต่ละคนขึ้นอยู่กับเป้าหมายและไลฟ์สไตล์ สมมุติแค่อยากจะสุขภาพดี เล่นบอดี้เวทอยู่บ้าน เล่นตามคลิป Youtube ก็ได้ ควรทำให้เป็นเรื่องง่ายและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่สุด
======================
5. คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเริ่มออกกำลังกาย
======================
- สิ่งที่ยากที่สุดในการออกกำลังกายหรือเรื่องอะไรก็ตามคือก้าวแรกในการที่จะทำ เพราะฉะนั้นก้าวแรกต้องเกิดให้ได้ ที่นี้การที่จะเกิดก้าวแรก ถ้าเราทำให้ทุกอย่างมันยาก มันจะไม่มีก้าวแรก เหมือนตอนที่เราเกิดมาเป็นเด็กทารก เราก็ต้องเริ่มจากการคลานก่อนถึงจะเดิน เราต้องรู้ว่าเราอยู่ที่จุดไหน ถ้าจะเริ่มออกกำลังกายขอให้เริ่มทำในสิ่งที่ง่ายที่สุด เช่น ถ้าสะดวกที่จะออกไปวิ่งก็ออกไป ถ้าอยากเต้นเกาหลีอยู่ในห้องก็เต้น อยากจะไปยิมก็ไป ทำแบบที่เราทำได้ ขอแค่ทำก่อน สุดท้ายพอเราเริ่มแล้วมันจะไปต่อเอง
- สิ่งผิดพลาดที่สุดคือการที่คนไปทำในสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี ไปเล่นในสิ่งที่ทุกคนบอกว่าต้องออกแบบนั้นแบบนี้ แต่ว่าพอมันไม่เข้ากับไลฟ์สไตล์หรือสิ่งที่เราชอบ แทนที่จะไปโทษว่าสิ่งนั้นไม่เหมาะกับเรา กลายเป็นโทษว่าเราไม่ดีพอ เพราะฉะนั้นก็ควรจะเปลี่ยน mindset ว่าถ้าเราทำแล้วไม่ใช่ ถ้าออกแล้วไม่เหมาะกับเรา มันไม่ใช่เราที่ผิด แต่แค่มันคือสิ่งที่ไม่เข้ากับเรา หน้าที่ของเราคือแค่ต้องหาสิ่งที่ใช่ แล้วสุดท้ายสิ่งที่มันใช่จะเป็นไลฟ์สไตล์เรา
======================
6. เราควรตั้งเป้าหมายสำหรับการออกกำลังกายไหม
======================
- ควรจะตั้ง ทุกอย่างควรตั้งเป้าหมาย ถ้าไม่ตั้งเราก็จะดีไซน์โปรแกรมของเราไม่ถูก อย่างพื้นฐานที่สุดที่คนมักจะตั้งคือการลดน้ำหนัก ซึ่งถ้าเกิดว่าเป้าหมายนั้นมันดึงดูดใจเรามากพอ เราก็จะไปทำมัน เพราะฉะนั้นสมมุติใครอยากจะตั้งเป้าหมายของการออกกำลังกายเป็นการลดน้ำหนัก มีหุ่นที่ดีขึ้น มีกล้ามเนื้อที่มากขึ้นก็ได้ หรือจะ challenge ตัวเอง เช่น อย่างเราออกกำลังกายเยอะก็จริง แต่ไม่ได้ดึงข้อ ตอนนี้เราไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะลดน้ำหนักหรืออะไรแล้ว เราก็ต้องหาเป้าหมายต่อไปที่จะ challenge ตัวเอง ถ้าเราไม่มีเป้าหมายมันจะเหี่ยว ทำไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร ช่วงนี้เราก็ตั้งเป้าหมายว่าอยากจะดึงข้อให้มากขึ้น
บางทีเป้าหมายของการออกกำลังกายก็เป็นแค่การอยากจะทำท่าอะไรบางอย่างให้ได้ เช่น มีเพื่อนเราคนนึงอยากแข็งแรงขึ้นเพื่อที่จะได้เปิดประตูบ้านหนักๆ ได้ บางทีมันเป็นอะไรง่ายๆ หรือการออกกำลังกายเพื่อที่เราจะได้มีสุขภาพแข็งแรง จะได้อยู่กับคนที่เรารักไปนานๆ พอเราคิดว่าเราจะทำเพื่อคนอื่น บางทีมันก็จะยิ่งมีแรงบันดาลใจในการที่จะทำ
- อีกทริคนึงคือเราต้องเข้าแก็งค์คนออกกำลังกาย อันนี้จะช่วยได้มาก ถ้าเราอยู่ในแก็งค์ไหนก็จะเป็นอย่างนั้น แก็งค์ปาร์ตี้ก็จะไปปาร์ตี้บ่อย แก๊งค์กินก็จะพากันไปกิน ไม่มีอะไรถูกผิด แต่พอเราอยู่ในแก๊งค์ออกกำลังกายก็จะพากันไปออกกำลังกาย อันนี้ก็ช่วยได้เยอะ สำหรับคนที่ไม่สามารถออกคนเดียวได้
======================
7. จุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณภัทรมาออกกำลังกาย
======================
- เริ่มจากอยากลดน้ำหนัก สมัยก่อนเราก็อาจจะไม่ได้ถึงกับตัวใหญ่หรือมีปัญหา แต่ตอนเรียนเรารู้สึกว่าน้ำหนักขึ้นมาเยอะมากตั้งแต่เราเข้ามหาลัย ตอนนั้นก็มีความอยากสวย อยากดูดี อยากมีความมั่นใจเลยตัดสินใจลดน้ำหนัก ซึ่งจริงๆ แล้วตอนนั้นรู้สึกว่าการลดน้ำหนัก ข้อมูลความรู้ยังไม่เยอะเท่าตอนนี้ ก็ลองผิดลองถูกมา จนได้มีโอกาสไปเรียนเป็นเทรนเนอร์ ณ ตอนนั้น เราแค่รู้สึกว่าเราน่าจะทำอะไรให้ดีกว่านี้กับชีวิตได้แค่นั้นเอง แล้วก็เริ่มเลย
- อีกจุดนึงที่ช่วยทำให้เราสำเร็จคือ พอเราตัดสินใจปุ๊บแล้วเราทำเลย เพราะถ้าเรารอปุ๊บ ไฟมอดทุกอย่างเละ คิดเยอะแล้วจะไม่ได้ทำ ทุกอย่างในชีวิตเรา ทำไปก่อน ดีไม่ดีค่อยว่ากัน อย่างน้อยเริ่มต้น 5-10 นาทีก่อนก็ได้ ขอให้เราออกก่อน เพราะถ้าเราออกไปสักพักมันก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายสิ่งที่จะผลักดันให้คนเราสามารถออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่อง มันไม่ใช่การที่เทรนเนอร์หรือคนอื่นมาบอกให้เราต้องออก แต่ถ้าคุณออกกำลังกายไปเรื่อยๆ จะรู้สึกดีขึ้นมาเองในใจ แล้วพลังรู้สึกดีจะเหมือนสารเสพติด เราก็จะอยากได้ความรู้สึกดีอันนั้นไปเรื่อยๆ ทุกคนออกกำลังกายไปได้สักเดือนนึง น้อยมากที่จะไม่ติด พอวันไหนไม่ได้ไปออกก็จะเริ่มหงุดหงิดแล้ว
======================
8. เรื่องที่คนชอบเข้าใจผิดเกี่ยวกับการออกกำลังกาย
======================
- คนจะรู้สึกว่าการเล่นเวททำให้กล้ามใหญ่ โดยเฉพาะผู้หญิงหลายๆ คน จะรู้สึกว่าไม่อยากเล่นเวทเพราะกลัวกล้ามจะใหญ่ แต่เรื่องจริงคือมันใหญ่ยากมาก โดยเฉพาะผู้หญิงหรือกระทั่งผู้ชายเอง เวลาออกแล้วมันคงจะเฟิร์มขึ้น มีกล้ามเนื้อมากขึ้นแน่นอน แต่มันจะไม่ได้ใหญ่แบบนักเพาะกาย เพราะว่ากว่าที่จะได้หุ่นขนาดนั้นจริงๆ แล้ว เขาทำเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมการออกกำลังกาย อาหาร หรืออื่นๆ ซึ่งถ้าเราไม่ได้ทำขนาดนั้นก็ไม่มีทางที่จะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ซึ่งไม่ต้องกังวลเลย ผู้หญิงบางคนก็อาจจะมีที่กล้ามขึ้นง่าย แต่ยังไงก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น
- อีกอย่างคือเรื่องของการพักผ่อน คนที่ออกแบบไม่ได้พักเลย ออกจนเจ็บถึงจะได้พัก เราควรจะพักบ้างถึงจะเป็นบาลานซ์ที่ดี การออกกำลังกายนอกจากเรื่องการออกแล้ว การกินและการนอนก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกัน คุณไม่มีทางจะที่แข็งแรงได้จากการที่นอนไม่ดี กินไม่ดี แต่ออกกำลังกายดี หรือกินดี ออกกำลังกายดี แต่ไม่นอนเลย ก็ไม่แข็งแรง สามอย่างนี้เป็นสิ่งที่ต้องไปด้วยกัน อย่างตัวเราเองถ้าทำงานหนัก อดนอน เราไม่ไปออกกำลังกายเลย ถ้าให้เลือกออกกำลังกายกับนอน เราว่านอนสำคัญกว่า เหมือนคนที่แบตไม่เต็ม ต่อให้คุณฝืนไปออกกำลังกาย มันก็จะทำได้ไม่ดี แล้วอย่างที่บอกว่าการออกกำลังกายคือการทำให้ร่างการอ่อนแอลงก่อน แล้วถ้าร่างกายเรามันอ่อนแออยู่แล้ว มันก็จะเจ๊งเลย นอกจากร่างกายแย่แล้ว เราก็จะรู้สึกไม่ดี จิตใจก็จะไม่ดีไปด้วย ต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดี เราเคยอดนอนไปออกกำลังกายจนป่วยเข้าโรงพยาบาลเลย
======================
9. แนะนำเรื่องการกินอาหาร
======================
- อาหารเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะใกล้ชิดกับร่างกายมาก เพราะเราเอาเข้าไปในร่างกาย ถ้าเรากินอาหารไม่ดี มีไขมันเยอะมากเกินไป ก็เหมือนเราเป็นรถยนต์ที่เอาน้ำมันห่วยๆ เข้าร่างกาย ปกติเราซื้อรถมาราคาแพงเราก็จะเลือกน้ำมันที่ดีที่สุด บำรุงรักษาเป็นอย่างดี แต่กับร่างกาย เรากลับกิน junk food กินนั่นนี่ ไขมันสูง น้ำตาลสูง ของไม่ดีเข้าไป แล้วมันกลายเป็นวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่คนรู้สึกว่านี่ปกติ แล้วถ้าใครอยากกินอะไรที่มัน healthy ขึ้น จะโดนแซวกินคลีนจัง เราก็จะบอกว่าจริงๆ เรากินปกติแต่เธออะกินไม่ปกติ
เราต้องเข้าใจก่อนว่าด้วยปัจจุบันอาหารมันค่อนข้างจะ extreme ไม่ค่อย healthy เท่าไหร่ ซึ่งไม่ได้บอกว่ากินไม่ได้ แต่เราต้องรู้ว่าเราจะกินเท่าไหร่ อะไรยังไง อาหารพวกนี้ข้อดีที่มันเติบโต มีตลาดที่ใหญ่ขึ้น สามารถอยู่ได้มาถึงทุกวันนี้ เพราะมันอร่อย ถูกใจคน ดีต่อใจ ไม่ได้ห้าม เราก็กิน แต่เรากินอยู่ระดับที่เหมาะสมกับร่างกายและเน้นกิน healthy เป็นหลัก
- กินอาหารก็เหมือนกับการที่เราเอาน้ำมันอะไรใส่เข้าไปในเครื่องยนต์ ส่วนการออกกำลังกายก็เหมือนการเอารถไปวิ่ง รถมันถูกสร้างไว้ให้วิ่ง ถ้าไม่วิ่งแล้วจะมีรถทำไม การออกกำลังกายก็เหมือนกัน ถ้าคุณไม่เอาร่างกายออกไปใช้ก็เหมือนคุณซื้อรถแล้วเอามาจอดไว้เฉยๆ รอวันพัง รอวันเสีย
- เดี๋ยวนี้คนก็เริ่มมีความเข้าใจมากขึ้น มีอาหารคลีนเพิ่มขึ้น การออกกำลังกายง่ายขึ้น แต่ปัญหาใหม่ก็คือกลายเป็นว่าตอนนี้ข้อมูลมีเยอะมาก
======================
10. วิธีการเลือกเชื่อถือข้อมูล
======================
- มันจะมีบางอย่างที่เป็นแก่น เช่น พวกอาหารห้าหมู่ การออกกำลังกาย ส่วนพวกเทคนิคที่เหนือขึ้นไป เวลาอะไรที่มีสองเสียงที่มีคนบอกว่าดีและไม่ดี แปลว่ามันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งข้อดีและข้อเสียของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน ข้อดีของเขาอาจจะเป็นข้อเสียของเรา ข้อเสียของเขาอาจจะเป็นข้อดีของเรา เวลาที่เจอข้อมูลที่มันเคลียร์แล้วว่ามันถูก ที่ทุกคนพูดเป็นเสียงด้วยกันอันนี้ก็โอเค แต่ถ้าเจอข้อมูลที่เป็นสองทางแบบนี้ให้รู้ไว้เลยว่ามันมีทั้งข้อดีข้อเสีย ต้องมานั่งวิเคราะห์ด้วยว่าอันไหนคือข้อดีและอันไหนคือข้อเสียของเรา เพราะของเรากับของคนอื่นก็ไม่เหมือนกัน
- ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา information มันเยอะ เราจะเห็นดราม่าเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องการกิน สายนู้นสายนี้ สายไหนดีกว่า มีช่วงนึงก็พยายามหาคำตอบ แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ได้มีอะไรดี 100% ถ้าเราทำเยอะเกินไป มากเกินไป มันก็ไม่ดี เราไม่สามารถบอกได้ว่าอันนี้มันดีไหม พอมันเป็นเรื่องสุขภาพแล้วมันเป็นเรื่องของใครของมัน เราต้องเอา information มาแล้วอาจจะลองคิดต่อว่ามันเหมาะกับเราไหม วิธีการสำหรับคนทั่วไปที่ง่ายที่สุดคือให้ลองทำ ถ้าทำแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ มันฝืนเกินไป ก็ขอให้รู้ว่ามันมีทางเลือกอื่นๆ อีกมากมายที่จะทำให้คุณใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น อาจจะใช้ฟิลเตอร์เล็กๆ กรองก่อนก็ได้ อาจจะไม่ได้ต้องหาว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่ให้หาว่าอะไรที่มันเหมาะกับเรา
======================
11. การออกกำลังกายโซน 1 โซน 2 คืออะไร
======================
- คือโซนการเต้นของหัวใจ หัวใจของเราก็จะมีจังหวะการเต้นตอนที่เราไม่ได้ออกกำลังกาย พอเราไปออกกำลังกาย หัวใจก็จะเต้นแรงขึ้น เต้นที่ระดับเท่าไหร่ ก็จะถูกแบ่งออกเป็นโซนๆ ซึ่งโซนที่เราออกกำลังกายเบาๆ ที่เรามักจะได้ยินกันว่า โซน 1 โซน 2 ออกกำลังกายหนักขึ้นก็จะขึ้นไปโซน 3 ถ้าหนักมากๆ ก็จะขึ้นไปโซน 4 โซน 5 ซึ่งตัวโซนของแต่ละคนก็จะขึ้นอยู่กับ maximum heart rate ที่จะเอามาคำนวณว่าแต่ละคนมีเท่าไหร่ แล้วก็มาคิดเป็น % ว่าจะถูกแบ่งเท่าไหร่ในแต่ละโซน
- พอมาพูดเรื่องโซนมันจะเกี่ยวพันกับหลายๆ เรื่อง พูดได้หลายมุมมาก แต่สำหรับคนที่เพิ่งจะมาเริ่มต้น วิธีการดูโซนง่ายที่สุดก็คือใช้ intensity ซึ่งจะแบ่งเป็น low, medium, high เอาแค่สามขั้นก่อนก็ได้ ถ้าระหว่างออกกำลังกายยังพูดประโยคยาวๆ ยังร้องเพลงได้ ก็คือจะเป็น low intensity ถ้าพูดประโยคได้แต่ไม่ยาวมาก ก็จะเป็น medium intensity ถ้าพูดได้เป็นคำๆ จะเป็น high intensity
- แต่ละโซนก็จะมีประโยชน์ที่แตกต่างกันไป เวลาที่เราจัดตารางก็ควรที่จะมีความเข้มข้นที่มันหลากหลาย นาฬิกาในการวัดโซน ถ้ามีก็ดีแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นขนาดนั้น ยกเว้นถ้าเราจะซีเรียสหรือคิดว่าจะต้องแทร็กจริงๆ
======================
12. เราจำเป็นต้องกินเวย์ไหม
======================
- จริงๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องกินเวย์ก็ได้ จุดประสงค์สูงสุดของการกินโปรตีนเสริม ไม่ว่าจะเป็นเวย์หรือโปรตีนเสริมประเภทอื่นๆ เรากินเพื่อให้โปรตีนมันถึง เพราะว่าจริงๆ แล้วมนุษย์เราต้องการโปรตีนในปริมาณเยอะกว่าที่เรากิน ณ ปัจจุบันมาก ถ้าอยากคำนวณง่ายๆ คือเอาน้ำหนักคูณด้วย 1.4-1.6 แล้วเปลี่ยนเป็นกรัม แล้วมาดูอาหารที่กิน ในเชิงสุขภาพที่เขาแนะนำกันคือให้เอา 0.8 คูณ แต่ว่าจริงๆ แล้วด้วยอายุที่มันมากขึ้น อัตราการสลายกล้ามเนื้อของเราก็มากขึ้น เราก็ควรหมั่นที่จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งการเล่นเวทเทรนนิ่งและการกินโปรตีนให้ถึง ก็มีส่วนช่วย
- ถ้าเรารู้แล้วว่าเรากินโปรตีนไม่ถึง ก็มีสองทางคือเราไปกินเพิ่มขึ้นจากอาหารธรรมชาติก็ได้ กินอกไก่ ไข่ขาวเพิ่มขึ้น ซึ่งมันก็จะประหยัดและได้เคี้ยวด้วย แต่ก็จะมีบางคนที่รู้สึกว่าขี้เกียจ การกินเวย์ก็จะมีส่วนช่วยในการที่จะทำให้โปรตีนถึงได้ อีกอย่างคือมันสะดวก อันนี้ก็แล้วแต่เราแล้วว่าเราอยากกินโปรตีนจากแหล่งไหน มีอีกมุมมองนึงคือการดูดซึมที่ง่าย ถ้ามุ่งเป้าในการที่จะสร้างกล้ามเนื้อแล้ว การกินโปรตีนที่ดูดซึมได้ง่ายก็จะเป็นทางเลือกที่ดี เป็นผงมันก็ดูดซึมได้ง่ายกว่า มันแล้วแต่คนว่าคุณจะเลือกกินจากทางไหน
======================
13. ฝากส่งท้าย
======================
- อยากให้ทุกคนมี mindset ในการออกกำลังกายที่เปลี่ยนไปว่า มันไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและเป็นสิ่งที่เราต้องทำอยู่แล้ว ถ้าเราสามารถคิดแบบนี้ได้ เราก็รู้สึกว่ามันจะต้องทำ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าร่างกายและสุขภาพของเรา ขอให้เริ่มออกกำลังกายกันเลย อย่ารีรอ
- ถ้าใครอยากติดตามภัทรก็สามารถติดตามได้ทั้งใน Instagram, Facebook, Youtube, TikTok, Twitter ทางช่อง แหมทำเป็นฟิต หรือ doitfit
- ขอฝาก Doither เป็นโปรตีนเสริมผสมไฟเบอร์ ทำโดยเริ่มมาจากตัวเองที่เป็นคนที่ต้องการอะไรที่มันง่ายๆ โปรตีนก็คือกินน้อย ผักผลไม้ก็กินน้อย ไฟเบอร์ก็ขาด วิตามินก็ไม่ค่อยมี เลยใส่ทุกอย่างลงไป ที่สำคัญคือรสชาติอร่อยมาก เราไม่ชอบอะไรที่มันยากหรือฝืน คนทั่วไปก็กินได้ คนที่อยากจะ healthy แต่กินอะไรไม่ค่อยจะครบก็อยากจะขอแนะนำ
======================
Speaker:
[@patlovepat] คุณภัทร ภัทรียา สิงห์จันทร์
- Certified Personal Trainer & Fat Loss Specialist
- ผู้ก่อตั้งและเจ้าของเพจ แหมทำเป็นฟิต (Do it fit)
======================
Moderator:
[@panit] พี พนิต P Panit
เจ้าของเพจ วันนี้สรุป..มา
======================
Date: 15 Dec 2021 (21:00-22:20)
Club: วันนี้สรุป..มา
#ClubhouseTH #ทำไมถึงสำคัญ #การออกกำลังกาย #Exercise #WeightTraining #todayinotetoevent #todayinoteto #วันนี้สรุปมา
โฆษณา