21 ม.ค. 2022 เวลา 08:58 • ไลฟ์สไตล์
“มีเวลาหายใจ ก็มีเวลาปฏิบัติธรรม
… ยิ่งปฏิบัติธรรม ก็ยิ่งห่างไกลจากทุกข์”
“ … สังคมมันเป็นแบบนี้ สังคมยุคนี้ศีลธรรมมันถดถอยไป
เรามุ่งมาทางความเจริญในด้านวัตถุ แข่งกันบริโภค
แล้วธรรมะไม่มี มันก็ไม่สบาย ไม่มีความสุข
แก่งแย่งแข่งขัน แสวงประโยชน์ส่วนตัว
1
มันเป็นธรรมดาของโลกในยุคนี้ ไม่ต้องไปตกอกตกใจ
ในยุคที่ดูสังคมมันย่ำแย่
มันเป็นยุคที่คนมีศีลมีธรรมมีโอกาสที่จะภาวนาได้เยอะ
เวลาทางโลกมันสบาย มีความสุข คนมันก็หลง
เวลาชีวิตมันมีปัญหาขึ้นมา ก็จะคิดถึงธรรมะกัน
คนที่ใส่ใจในธรรมะก็จะคิดถึงธรรมะ
ยิ่งเวลามีวิกฤตต่างๆ เราจะภาวนาได้กระฉับกระเฉง แข็งขันมากกว่าช่วงที่สบาย
1
อย่างหลายคนทำมาหากินลำบาก เครียด ในช่วงที่โควิดระบาด 2 ปีที่ผ่านมา
คนไม่มีศีลมีธรรมก็เครียด ไม่มีอะไรขึ้นมา มีแต่ความเครียด ทุกข์
คนมีศีลมีธรรมก็ภาวนา โลกมันมีปัญหาแต่ใจเราไม่มีปัญหาได้
ภาวนา มีเวลาเยอะ Work from home กัน
ถ้าไม่เอาเวลาไปเล่นอินเทอร์เน็ตเสียหมด ก็มีเวลาภาวนา
ยิ่งเราปฏิบัติธรรมได้มากเท่าไร เราก็ไกลความทุกข์ออกไปเท่านั้น
ฉะนั้นในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ คนมีศีลมีธรรมแสวงหาประโยชน์ได้
อย่างบางคนอยู่ในโลกมีความสุข มีความสบาย ขี้เกียจภาวนา
พอเผชิญปัญหาร้ายแรง เช่น อกหัก หรือลูกป่วยหนัก ลูกจะตาย
คนที่เรารัก พ่อแม่เราเจ็บป่วยจะตาย คนทั่วไปก็มีความทุกข์
แต่เรานักปฏิบัติจะยิ่งขยันภาวนา แล้วมันไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งของเรา
ในโลกซึ่งเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
การปฏิบัติธรรม ยิ่งเราปฏิบัติได้มากเท่าไร
เราก็ไกลความทุกข์ออกไปเท่านั้น
สิ่งที่เรียกว่าโลกๆ คือรูปธรรมนามธรรม
ก็คือความทุกข์นั่นล่ะคือตัวทุกข์ รูปนามก็คือตัวทุกข์
สิ่งที่เรียกว่าโลกก็คือรูปนาม โลกก็คือตัวทุกข์นั่นล่ะ
พอเราเข้าใจความจริงของโลก เรียกเรารู้ทุกข์
จิตมันจะค่อยๆ คลายความยึดถือออกจากโลก แล้วละสมุทัยได้
ฉะนั้นเราภาวนา แทนที่เราจะทุกข์เหมือนคนอื่นเขาทุกข์ มันมีความสุขอยู่ได้
เราภาวนาให้ดีเถอะ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นในชีวิต เราก็มีความสุข
ความสุขตัวนี้ไม่ใช่ความสุขธรรมดา มันเป็นความสงบสุข
ความสุขส่วนใหญ่ที่คนในโลกมันรู้จัก ที่มันอยากได้
มันเป็นความสุขที่ไม่สงบหรอก เป็นความสุขที่เร่าร้อน
ความสุขจากการกินเหล้า เที่ยวผับ เที่ยวบาร์ ดูหนัง ฟังเพลง
เป็นความสุขที่ไม่สงบ
ตอนเสพก็นึกว่ามีความสุข แต่เสพแล้วมันติด
การเสพในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะทั้งหลาย
เสพแล้วติด มันคือกามนั่นล่ะ ยิ่งเสพก็ยิ่งติด
เมื่อก่อนหลวงพ่อเคยได้ยินบางคนบอกว่า
ให้เสพกามให้มากแล้วจะได้เบื่อ อันนี้พูดส่งเดช
พระพุทธเจ้าท่านบอก กามนี่ไม่เบื่อหรอก
การนอนการอะไรอย่างนี้ ไม่เบื่อ
ฉะนั้นมันไม่มีความสงบสุข
ดิ้นรนแสวงหาในสิ่งที่นึกว่าจะให้ความสุขเรา ดิ้นรนหามา
อยู่ได้ชั่วครั้งชั่วคราวมันก็หายไปแล้ว
1
อย่างบางคนชอบผู้หญิงคนนี้ไปจีบผู้หญิง
ได้มามีความสุขแป๊บเดียวเดี๋ยวก็เบื่อแล้ว อยากหาใหม่แล้ว
หรือถึงไม่หาใหม่ ความหวือหวาตื่นเต้น เหมือนตอนที่จีบกันใหม่ๆ ก็ไม่มีแล้ว
ฉะนั้นความสุขความหวือหวาของโลก มันไม่ยั่งยืนหรอก
แต่คนส่วนใหญ่มันก็แสวงหา เพราะมันไม่รู้จัก คำว่าสงบสุข
เรามาหัดภาวนา มารู้ความจริงของกาย มารู้ความจริงของใจ
ความจริงของกายก็คือทุกข์ ความจริงของใจก็คือทุกข์
พอเราเห็นอย่างนี้ใจมันจะค่อยๆ คลายออกจากโลก
ความยึดถือในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกายจะลดลง
ความดิ้นรนกระดี๊กระด๊าหิวโหยอารมณ์ทางใจ มันก็จะลดลง
ใจมันจะหิว ร่างกายเราหิววันหนึ่ง 2 – 3 ครั้งต้องการอาหาร
แต่จิตมันหิวตลอดเวลา หิวอาหารของจิต
คือตัวอารมณ์ทั้งหลายนั่นล่ะเป็นอาหารของจิต
กินอย่างไรก็ไม่อิ่มหรอก
มาหัดรู้หัดดู เบื้องต้นก็รักษาศีล 5 มีศีล 5 พอแล้ว
ไม่ต้องศีลอะไรมากมายหรอก 5 ข้อทำให้ได้
รักษาศีล 5 ไว้ แล้วแบ่งเวลาไว้ทุกวันทำในรูปแบบไว้
จะหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
หรือจะดูร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน
ดูได้ทั้งวันร่างกายมันยืน เดิน นั่ง นอน
ร่างกายหายใจออก ร่างกายหายใจเข้า มันก็ดูได้ทั้งวัน
เพราะมันหายใจทั้งวัน มันยืน เดิน นั่ง นอนทั้งวัน
มีสติตามระลึกไปเรื่อยๆ แล้วสติเราแก่กล้าขึ้น
สมาธิมันก็แก่กล้าขึ้นพร้อมๆ กัน
สติที่ถูกต้องเกิดเมื่อไร สมาธิที่ถูกต้องก็เกิดเมื่อนั้น
ฉะนั้นเราเฝ้ารู้สึกลงไป อย่างร่างกายหายใจเรารู้สึกๆ ไป
หายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก
จนกระทั่งไม่ได้เจตนารู้สึกมันรู้สึกเอง
ถ้าเราฝึกให้มากๆ ฝึกให้ดีๆ กระทั่งตอนที่ร่างกายนอนหลับ
จะหายใจออกหรือหายใจเข้ายังรู้เลย ยังรู้ได้เลย
ร่างกายจะพลิกซ้ายพลิกขวาอะไรนี่รู้
ความปวดความเมื่อยเกิดขึ้นในร่างกายตรงนั้นตรงนี้ รู้
ก็จะพลิกตัวเปลี่ยนท่าทางอะไรอย่างนี้รู้สึกตลอด
ใจมันก็สงบเห็นรูปธรรมทำงานไป
หรือเห็นใจมันคิด เวลานอนหลับใจมันยังคิดได้ที่เรียกว่าฝัน
ถ้าเราภาวนาเราก็จะเห็นบางทีจิตก็ลงภวังค์ลึกไปไม่ฝัน
บางทีจิตก็เคลื่อนขึ้นมา
มันจะเคลื่อนขึ้นเคลื่อนลงโดยธรรมชาติของมัน เป็นวงจรของมัน
ไม่ถึงชั่วโมงรอบๆ หนึ่ง
ลงไปพักช่วงหนึ่งแล้วขึ้นมารับอารมณ์แล้วมาคิด
เกิดความคิดที่เรียกว่าฝันนั่นล่ะ สลับไปสลับมา …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
8 มกราคม 2565
ติดตามการถอดไฟล์ได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา