ส่วนผู้ที่พูดบ่อยๆว่า ตลาดหุ้นแพงเกินไปแล้ว Wait and See ดีกว่า นั้น ก็ไม่ผิดเช่นกัน เพราะพวกเขามองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นเหมือนการสร้าง Cash Machine เครื่องผลิตเงินให้กับพวกเขา ซึ่งก็มาจากเงินปันผลนั้นเอง ส่วนเรื่องกำไรจากส่วนต่างราคาก็เป็นผลพลอยได้ที่เพิ่มขึ้นจากกิจการที่โตขึ้นและกำไรจากการดำเนินงานที่มากขึ้น ถึงแม้ว่าจะพลาดโอกาสทองช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐขึ้นไปสูงมากๆก็ตาม เพราะพวกเขามองว่า การที่ใส่เงินเข้าไปในหุ้นที่ราคาแพงจนเกินไป (PE สูงลิ่ว) เมื่อเทียบกับผลตอบแทนส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทที่ทำได้ผ่านเงินปันผลนั้น ไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่พวกเขาต้องรับ แต่ถ้าราคาหุ้นตกลงมามากๆ แต่บริษัทยังทำกำไรได้เท่าเดิม ถ้าพวกเขาเข้าซื้อหุ้น เขาก็จะได้จำนวนหุ้นที่มากขึ้นและเงินปันผลที่มากขึ้นนั่นเอง
ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม นักลงทุนแนว VI อย่าง ดร.นิเวศน์ และนักลงทุนท่านอื่นๆที่เป็นสไตล์ที่ลงทุนแบบรัดกุมเน้นปลอดภัย จึงชอบพูดถึงและเปรียบเทียบ PE ของตลาดหุ้นแต่ละประเทศ และ PE ของหุ้นแต่ละตัว ว่าแพงเกินไปหรือยังนั่นเอง (แพงไม่แพงนอกจากราคาหุ้นแล้วยังอยู่ที่ประเภทของหุ้นอีกด้วย เช่น หุ้น Super Stock PE 30 เท่า อาจจะยังไม่แพง เพราะบริษัทนั้นโตได้อีก แต่อาจจะแพงสำหรับหุ้นตัวอื่นๆ)