1 มี.ค. 2022 เวลา 11:34
“ภูริทัตชาดก”
ถ้าการบูชาไฟเป็นการบูชาสูงสุด คนเผาถ่านก็ควรได้ชื่อว่าเป็นผู้บูชาไฟยิ่งกว่าพราหมณ์
ถ้าการบูชาไฟเป็นบุญสูงสุด การเผาบ้านเมืองก็คงได้บุญสูงสุด แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่
ถ้าการบูชายัญเป็นบุญสูงสุด พราหมณ์ก็น่าจะเผาตนเองบูชา
พระภูริทัตต์
1
แสตมป์แบบที่ 2 จาก 4 แบบในชุดวันอาสาฬหบูชา 2540 มีราคาหน้าดวง 4 บาท พิมพ์ออกมา 3,000,000 ดวง เป็นภาพ “ภูริทัตชาดก”
แสตมป์อาสาฬหบูชา 2540 ภาพภูริทัตชาดก
ทศชาติ 6 พระภูริทัตต์ “บำเพ็ญศีลบารมี”
อย่างที่เคยเกริ่นไว้ เรื่องราวของทศชาติชาดก คือการบำเพ็ญบารมีใน 10 ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ ก่อนจะเสวยพระชาติมาเกิดเป็นพระโคตมพุทธเจ้า หรือเจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยวงศ์
เพื่อนๆ ทราบมั้ยครับว่า เรื่องทั้ง 10 ชาตินั้น พระโคตมพุทธเจ้าได้เล่าให้พระสาวกฟัง และเหตุในการเล่าชาติที่ 6 มีอยู่ว่า
ในวันหนึ่งที่ตรงกับวันอุโบสถ อุบาสก อุบาสิกา ได้มาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า รักษาศีล 8 หรืออุโบสถศีล เหล่าภิกษุก็สนทนาถึงการรักษาศีล 8 ของพวกอุบาสก พระพุทธเจ้าตรัสว่า การรักษาศีลอุโบสถ เพราะมีพระพุทธเจ้าคอยสั่งสอน ถึงแม้จะยาก แต่ก็ยังไม่อัศจรรย์นัก ในอดีตกาลมีบัณฑิตที่สละยศมารักษาศีลอุโบสถอัศจรรย์กว่านี้อีก จากนั้นจึงเล่าเรื่อง “ภูริทัตชาดก” ให้ฟัง เรื่องราวนั้นก็มีอยู่ว่า… 👇👇⭐️
มีพระราชาแห่งพาราณสี นามว่าพรหมทัต เกิดระแวงว่าพระโอรสจะคิดขบถแย่งราชสมบัติ จึงมีโองการให้พระโอรสออกไปอยู่ให้ไกลเมือง จนกว่าพระราชาจะสิ้นพระชนม์จึงให้กลับมารับราชสมบัติ
พระโอรสก็ปฏิบัติตามบัญชา เสด็จไปบวชอยู่ที่บริเวณแม่น้ำยมุนา มีนางนาคตนหนึ่งสามีตาย ต้องอยู่แต่เพียงลำพัง เกิดความว้าเหว่จนไม่อาจทนอยู่ในนาคพิภพได้ จึงขึ้นมาจากน้ำท่องเที่ยวไปตามริมฝั่งมาจนถึงศาลาที่พักของพระราชบุตร นางนาคประสงค์จะลองใจดูว่า นักบวชผู้พำนักอยู่ในศาลานี้ จะเป็นผู้ที่บวชด้วยใจเลื่อมใสอย่างแท้จริงหรือไม่ จึงจัดประดับประดาที่นอนในศาลานั้นด้วยดอกไม้หอม และของทิพย์จากเมืองนาค
ครั้นพระราชบุตรกลับมา เห็นที่นอนจัดไว้อย่างงดงามน่าสบายก็ยินดีประทับนอนด้วยความสุขสบายตลอดคืน รุ่งเช้าก็ออกจากศาลาไป นางนาคกลับมาดูพบว่าดอกไม้ที่โปรยไว้ช้ำแสดงว่ามีรอยคนนอน จึงรู้ว่านักบวชผู้นี้มิได้บวชด้วยความศรัทธาเต็มเปี่ยม ยังคงยินดีในของสวยงาม ตามวิสัยคนมีกิเลส จึงจัดเตรียมที่นอนไว้ดังเดิมอีก
1
ในวันที่สาม พระราชบุตรนึกออกว่าต้องสงสัย ว่าใครเป็นผู้จัดที่นอนอันสวยงามนี้ไว้ จึงทำทีเสด็จออกไปป่าแต่แอบดูอยู่บริเวณศาลานั่นเอง เมื่อนางนาคเข้ามาตกแต่งที่นอน พระราชบุตรจึงเข้ามาไต่ถามนางว่า นางเป็นใครมาจากไหน นางนาคตอบว่า
“นางเป็นนาคชื่อมาณวิกา นางว้าเหว่าที่สามีตายจึงออกมาท่องเที่ยวไป…”
พระราชบุตรปลอบใจว่า
“อย่างกังวลไปเลยเป็นสามีให้เธอได้ และหากนางพึงพอใจจะอยู่ที่นี่ เราก็จะอยู่ด้วยกับนาง”
นางนาคมาณวิกาก็ยินดี ทั้งสองจึงอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา จนนางนาคประสูติโอรสองค์หนึ่ง ชื่อว่า "สาครพรหมทัต" ต่อมาก็ประสูติพระธิดาชื่อว่า "สมุทรชา"
ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตสวรรคต อำมาตย์จึงได้จัดกระบวนไปเชิญเสด็จพระราชบุตรกลับมาครองเมือง พระราชบุตรทรงถามนางนาคมาณวิกาว่า จะไปอยู่ เมืองพาราณสีด้วยกันหรือไม่ นางนาคทูลว่า
"วิสัยนาคนั้นโกรธง่ายและมีฤทธิ์ร้าย หากหม่อมฉันเข้าไปอยู่ในวัง หากมีผู้ใดหรือกิ๊กของพระองค์ทำให้โกรธ เพียงหม่อมฉันถลึงตามอง ผู้นั้นก็จะมอดไหม้ไป พระองค์พาโอรสธิดากลับไปเถิด ส่วนหม่อมฉันขอทูลลากลับไปอยู่เมืองนาคตามเดิม"
1
พระราชบุตรจึงพาโอรสธิดากลับไปพาราณสี อยู่มาวันหนึ่งขณะที่โอรสธิดาเล่นน้ำอยู่ในสระ เกิดตกใจกลัวเต่าตัวหนึ่งที่หลงเข้ามาในสระน้ำ จึงสั่งให้ทหารจับไปตำให้ละเอียด อำมาตย์บางคนบอกว่าให้น้ำไปเผาบ้าง ต้มในน้ำเดือดบ้าง ผลสุดท้ายพระราชาสั่งให้นำเต่าไปทิ้งวังน้ำวนในแม่น้ำยมุนา
เต่าจมลงไปถึงเมืองนาค เมื่อถูกพวกนาคจับไว้ เต่าก็ออกอุบายบอกแก่นาคว่า
"เราเป็นทูตของพระราชาพาราณสี พระองค์ให้เรามาเฝ้าท้าวธตรฐ พระราชทานพระธิดาให้เป็นพระชายา ของท้าวธตรฐ เมืองพาราณสีกับนาคพิภพจะได้เป็นไมตรีกัน"
แสตมป์สัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมาย 2519 ภาพพญานาค
ท้าวธตรฐทรงทราบก็ยินดี สั่งให้นาค 4 ตนเป็นทูตนำบรรณาการไปถวายพระราชาพาราณสีและขอรับตัวพระธิดามาเมืองนาค พระราชาทรงแปลกพระทัยจึงตรัสกับนาคว่า
"มนุษย์กับนาคนั้นต่างเผ่าพันธุ์กัน จะแต่งงานกัน นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้" (น่าจะลืมว่าพระองค์เองก็มีเมียเป็นนาค🤣🤣)
2
เหล่านาคได้ฟังดังนั้น จึงกลับไปกราบทูลท้าวธตรฐว่า พระราชาพาราณสีทรงดูหมิ่นว่านาคเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่คู่ควรกับพระธิดา ท้าวธตรฐทรงพิโรธ ตรัสสั่งให้ฝูงนาคขึ้นไปเมืองมนุษย์ ไปเที่ยวแผ่พังพานแสดง อิทธิฤทธิ์อำนาจตามที่ต่างๆ แต่มิให้ทำอันตรายชาวเมือง ชาวเมืองพากันเกรงกลัวนาคจนไม่เป็นอันทำมาหากิน
ในที่สุดพระราชาก็จำพระทัยส่งนางสมุทรชาให้ไปเป็นชายาท้าวธตรฐ นางสมุทรชาไปอยู่เมืองนาคโดยไม่รู้ว่าเป็นเมืองนาค เพราะท้าวธตรฐให้เหล่าบริวารแปลงกายเป็นมนุษย์ทั้งหมด นางอยู่นาคพิภพด้วยความสุขสบาย จนมีโอรส 4 องค์ ชื่อว่า สุทัศนะ ทัตตะ สุโภคะ และ อริฏฐะ
เมื่อพระโอรสทั้ง 4 เติบโตขึ้น ท้าวธตรฐก็ทรงแบ่งสมบัติให้ครอบครองคนละเขต เขตละ 100 โยชน์ ทัตตะโอรสองค์ที่สองนั้น มาเฝ้าพระบิดามารดาอยู่เป็นประจำ ทัตตะเป็นผู้มีปัญญา เฉลียวฉลาดได้ช่วยพระบิดาแก้ไขปัญหาต่างๆ แม้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเทวดา ทัตตะก็แก้ไขได้จึงได้รับการยกย่อง สรรเสริญว่า เป็นผู้ปรีชาสามารถ ได้รับขนานนามว่า ภูริทัตต์ คือ ทัตตะผู้เรืองปัญญา
ภูริทัตต์ได้ไปช่วยเหลือพระอินทร์เป็นประจำ จึงได้เห็นสวรรค์ ว่าเป็นที่น่ารื่นรมย์ผิดกับชีวิตของพวกนาค จึงตั้งใจว่าจะรักษาอุโบสถศีลเพื่อจะได้ไปเกิดในเทวโลก จึงทูลขออนุญาตพระบิดา ท้าวธตรฐก็อนุญาต แต่สั่งว่ามิให้ออกไปรักษาอุโบสถนอกเขตเมืองนาค เพราะอาจเป็นอันตราย
เมื่อรักษาศีลอยู่ในเมืองนาค ภูริทัตต์รำคาญว่าพวกฝูงนาคบริวารได้ห้อมล้อม จึงขึ้นไปรักษาอุโบสถศีลอยู่ที่จอมปลวกใกล้ต้นไทรริมแม่น้ำยมุนา ภูริทัตต์ตั้งจิตอธิษฐานว่า แม้ผู้ใดจะต้องการหนัง เอ็น กระดูก เลือดเนื้อของตน ก็จะยกให้ ขอเพียงให้ได้รักษาศีลให้บริสุทธิ์
นายพรานชื่อ เนสาท พร้อมกับลูกชายชื่อโสมทัต มาพบภูริทัตต์เข้า ภูริทัตต์รู้ได้ทันทีว่านายพรานผู้นี้ใจบาปหยาบช้า สักวันอาจเป็นอันตรายแก่ตน จึงบอกพรานว่าจะมอบทรัพย์สมบัติในเมืองนาคให้จนกว่าจะพอใจ เพื่อที่ตนจะได้รักษาศีลต่อไป
จากนั้นภูริทัตต์จึงพานายพรานพร้อมลูกชายไปยังเมืองนาคเพื่อมอบสมบัติให้มากมาย และยกนางนาคีในฮาเรมถึง 400 นาง
1
พรานลงไปอยู่เมืองนาคได้ไม่นาน เกิดคิดถึงเมืองมนุษย์จึงปรารภกับภูริทัตต์ว่า
"ข้าพเจ้าอยากจะกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้อง แล้วจะออกบวช รักษาศีลอย่างท่านบ้าง"
ภูริทัตต์รู้ด้วยปัญญาว่าพรานจะเป็นอันตรายแก่ตน แต่ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรดีจึงต้องพาพรานกลับไปเมืองมนุษย์ พรานพ่อลูกก็ออกล่าสัตว์ต่อไปตามเดิม
แสตมป์สัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมาย 2519 ภาพพญาครุฑ
เวลาผ่านมา… มีพญาครุฑตนหนึ่งอาศัยอยู่บนต้นงิ้วทางมหาสมุทรด้านใต้ วันหนึ่งขณะออกไปจับนาคมากิน นาคเอาหางพันกิ่งไทรที่อยู่ ท้ายศาลาพระฤาษี จนต้นไทรถอนรากติดมาด้วย ครั้นครุฑฉีกท้องนาคกินมันเหลวแล้วทิ้งร่างนาคลงไป จึงเห็นว่า มีต้นไทรติดมาด้วย ครุฑรู้สึกว่าได้ทำผิดคือถอนเอาต้นไทรที่พระฤาษีเคยอาศัยร่มเงา จึงแปลงกายเป็นมาณพไปถามพระฤาษีว่า เมื่อต้นไทรถูกถอนเช่นนี้ กรรมจะตกอยู่กับใคร
พระฤาษีตอบว่า
"ทั้งครุฑและนาคต่างก็ไม่มี เจตนาจะถอนต้นไทรนั้น กรรมจึงไม่มีแก่ผู้ใดทั้งสิ้น"
แสตมป์ครุฑยุดนาค
ครุฑดีใจจึงบอกกับพระฤาษีว่าตนคือครุฑ เมื่อพระฤาษีช่วยแก้ปัญหาให้ตนสบายใจขึ้นก็จะสอนมนต์ชื่อ “อาลัมพายน์” อันเป็นมนต์สำหรับครุฑใช้จับนาคให้แก่พระฤาษี
มีพราหมณ์คืดฆ่าตัวตาย เผอิญได้พบพระฤาษีจึงเปลี่ยนใจ อยู่ปรนนิบัติพระฤาษีจนพระฤาษีพอใจ จึงสอนมนต์อาลัมพายน์ให้แก่พราหมณ์นั้น พราหมณ์เห็นทางจะเลี้ยงตนได้จึงลาพระฤาษีไปเดินสาธยายมนต์ไปด้วย นาคที่ขึ้นมาเล่นน้ำได้ยินมนต์ก็ตกใจ นึกว่าครุฑมา ก็พากันหนีลงน้ำไปหมด ลืมดวงแก้วสารพักนึกเอาไว้บนฝั่ง พราหมณ์หยิบดวงแก้วนั้นไป
ฝ่ายพรานเนสาทก็เที่ยวล่าสัตว์อยู่เห็นพราหมณ์เดินถือดวงแก้วมา จำได้ว่าเหมือนดวงแก้วที่ภูริทัตต์เคยให้ดู ด้วยความโลภ อยากได้ดวงแก้วจึงออกปากขอโดยจะบอก Location ที่อยู่ของนาค พรานเนสาทจึงพาไปบริเวณที่ภูริทัตต์เคยรักษาศีลอยู่ โสมทัตผู้เป็นลูกชายเกิดความละอายใจที่บิดาไม่ซื่อสัตย์คิดทำร้ายมิตร คือภูริทัตต์ จึงหลบหนีไประหว่างทาง
เมื่อไปถึงที่ภูริทัตต์รักษาศีลอยู่ ภูริทัตต์ลืมตาขึ้นดูก็รู้ว่า พราหมณ์คิดทำร้ายตน แต่หากจะตอบโต้ ถ้าพราหมณ์เป็น อันตรายไป ศีลของตนก็จะขาด ภูริทัตต์ปรารถนาจะรักษาศีล ให้บริสุทธิ์จึงหลับตาเสีย ขดกายแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว
จากนั้นพราหมณ์ก็ร่ายมนต์อาลัมพายน์ เข้าไปจับภูริทัตต์ไว้กดศีรษะอ้าปากออก เขย่าให้สำรอกอาหารออกมา และทำร้าย จนภูริทัตต์เจ็บปวดแทบสิ้นชีวิต แต่ก็มิได้โต้ตอบ
พราหมณ์จับภูริทัตต์ใส่ย่ามตาข่าย แล้วนำไปออกแสดง แปลงร่างแปลงกายให้ประชาชนดูเพื่อหาเงิน พราหมณ์พาภูริทัตต์ไปเที่ยวแสดงจนมาถึงเมืองพาราณสี จึงกราบทูล พระราชาว่าจะให้นาคแสดงฤทธิ์ถวายให้ทอดพระเนตร
สมุทรชาผิดสังเกตที่ภูริทัตต์หายไปไม่มาเฝ้าจึงถามหา ในที่สุดก็ทราบว่าภูริทัตต์หายไป พี่น้องของภูริทัตต์ จึงทูลว่าจะออกติดตาม สุทัศนะจะไปโลกมนุษย์ สุโภคะไปป่าหิมพานต์ อริฏฐะไปเทวโลก ส่วนนางอัจจิมุขีผู้เป็นน้องสาว ต่างแม่ของภูริทัตต์ของตามไปกับสุทัศนะพี่ชายใหญ่ด้วย
เมื่อติดตามมาถึงเมืองพาราณสี สุทัศนะก็ได้ข่าวว่ามีนาคถูกจับมาแสดงให้คนดู จึงตามไปจนถึงบริเวณที่แสดง ภูริทัตต์เห็นพี่ชายจึงเลื้อยไข้าไปหาซบหัวร้องไห้อยู่ที่เท้าของสุทัศนะแล้วจึงเลื้อยกลับไปเข้าที่ขังของตนตามเดิม
พราหมณ์จึงบอกกับสุทัศนะว่า
"ท่านไม่ต้องกลัว ถึงนาคจะกัดท่านไม่ช้าก็จะหาย"
สุทัศนะตอบว่า
"เราไม่กลัวดอก นาคนี้ไม่มีพิษถึงกัดก็ไม่มีอันตราย"
พราหมณ์หาว่าสุทัศนะ ดูหมิ่นว่าตน เอานาคไม่มีพิษมาแสดง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น สุทัศนะจึงท้าว่า
"เขียดตัวน้อยของเรานั้นยังมีพิษมากกว่านาคของท่านเสียอีก จะเอามาลองฤทธิ์กันดูก็ได้"
แสตมป์สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
สุทัศนะเรียก นางอัจจิมุขีออกมาจากมวยผมให้คายพิษ ลงบนฝ่ามือ 3 หยด
"พิษของเขียดน้อยนี้แรงนัก หากพิษนี้หยดลงบนพื้นดิน พืชพันธุ์ไม้จะตายหมด หากโยนขึ้นไปในอากาศ ฝนจะไม่ตกไป 7 ปี ถ้าหยดลงในน้ำสัตว์น้ำจะตายหมด
จากนั้นสุทัศนะขอให้ ขุดบ่อ 3 บ่อ บ่อแรกใส่ยาพิษ บ่อที่สองใส่โคมัยหรือขี้วัว บ่อที่สามใส่ยาทิพย์ แล้วจึงหยดพิษลงในบ่อแรก ก็เกิดควันลุกจนเป็นเปลวไฟ ลามไปติดบ่อที่สองและสาม จนกระทั่งยาทิพย์ไหม้หมด ไฟจึงดับ พราหมณ์ตัวร้าย ซึ่งยืนอยู่ข้างบ่อถูกไอพิษจนผิวหนังลอก กลายเป็นขี้เรื้อนด่างไปทั้งตัวจึงร้องขึ้นว่า
"ข้าพเจ้ากลัวแล้ว ข้าพเจ้าจะปล่อยนาคนั้นให้เป็นอิสระ"
ภูริทัตต์ได้ยินดังนั้น ก็เลื้อยออกมาจากที่ขัง เนรมิตกายเป็นมนุษย์ พระราชาจึงตรัสถามความเป็นมา ภูริทัตต์จึงตอบว่า
"ข้าพเจ้าและพี่น้องเป็นโอรสธิดาของท้าวธตรฐราชาแห่งนาคกับนางสมุทรชา ข้าพเจ้ายอมถูกจับมา ยอมให้พราหมณ์ทำร้ายจนบอบช้ำ เพราะปราถนาจะรักษาศีล บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นอิสระแล้ว จึงขอลากลับไปเมืองนาคตามเดิม"
พระราชาทรงดีพระทัยเพราะทราบว่าภูริทัตต์เป็นโอรสของนางสมุทรชา น้องสาวของพระองค์ที่บิดายกให้แก่ราชานาคไป จึงเล่าให้ภูริทัตต์และพี่น้องทราบว่า เมื่อนางสมุทรชาไปสู่เมืองนาคแล้ว พระบิดาก็เสียพระทัยจึงสละราชสมบัติออกบวช พระองค์จึงได้ครองเมืองพาราณสีต่อมา
พระราชาประสงค์จะให้ นางสมุทรชาและบรรดาโอรสได้ไปเฝ้าพระบิดาจะได้ทรงดีพระทัย สุทัศนะทูลพระราชาว่า
"ข้าพเจ้าจะ กลับไปทูลให้พระมารดาทราบ ขอให้พระองค์ไปรออยู่ที่อาศรมของพระอัยกาเถิด ข้าพเจ้าจะพา พระมารดาและพี่น้องตามไปภายหลัง"
ทางฝ่ายพรานเนสาท ผู้ทำร้ายภูริทัตต์เพราะหวังดวงแก้วสารพัดนึก เมื่อตอนที่พราหมณ์โยนดวงแก้วให้นั้น รับไม่ทัน ดวงแก้วจึงตกลงบนพื้นและแทรกธรณีกลับไปสู่เมืองนาค (มณีนาคาของจริงตกลงพื้นต้องจมดินนะครับ ที่เห็นขายตามท่าพระจันทร์เป็นของเก๊ครับ)😂😂
พรานเนสาทจึงสูญเสียดวงแก้ว สูญเสียลูกชาย และเสียไมตรี กับภูริทัตต์ เที่ยวซัดเซพเนจรไป
1
ครั้นได้ข่าวว่าพราหมณ์ผู้จับนาคกลายเป็นโรคเรื้อนเพราะพิษนาคก็ตกใจกลัว ปราถนาจะล้างบาปจึงไปยังริมน้ำยมุนา ประกาศว่า
"ข้าพเจ้าได้ ทำร้ายมิตร คือ ภูริทัตต์ ข้าพเจ้าปราถนาจะล้างบาป"
พรานกล่าวประกาศอยู่ หลายครั้ง เผอิญขณะนั้น สุโภคะกำลังเที่ยวตามหาภูริทัตต์อยู่ ได้ยินเข้าจึงโกรธแค้น เอาหางพันขาพราน ลากลงน้ำให้จมแล้ว ลากขึ้นมาบนดินไม่ให้ถึงตาย ทำอยู่เช่นนั้นหลายครั้งพราน จึงร้องถามว่า
"นี่ตัวอะไรกัน ทำไมมาทำร้าย เราอยู่เช่นนี้ ทรมาณเราเล่นทำไม"
สุโภคะตอบว่าตนเป็นลูกราชานาค พรานจึงรู้ว่าเป็นน้องภูริทัตต์ ก็อ้อนวอนขอให้ปล่อยและกล่าวแก่สุโภคะว่า
"ท่านรู้หรือไม่ เราเป็นพราหมณ์ ท่านไม่ควรฆ่าพราหมณ์ เพราะพราหมณ์เป็นผู้บูชาไฟ เป็นผู้ทรงเวทย์ และเลี้ยงชีพด้วยการขอ ท่านไม่ควรทำร้ายเรา"
สุโภคะไม่ทราบจะตัดสินใจอย่างไร จึงพาพรานเนสาทลงไปเมืองนาค คิดจะไปขอถามความเห็นจากพี่น้อง เมื่อไปถึงประตู เมืองนาค ก็พบอริฏฐะนั่งรออยู่ อริฏฐะนั้นเป็นผู้เลื่อมใสพราหมณ์ ครั้นรู้ว่าพี่ชายจับพราหมณ์มา จึงกล่าวสรรเสริญคุณของพราหมณ์ สรรเสริญความยิ่งใหญ่แห่งพรหม และกล่าวว่าพราหมณ์เป็นบุคคล ที่ไม่สมควรจะถูกฆ่า ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ การฆ่าพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้บูชาไฟนั้นจะทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง สุโภคะกำลังลังเลใจ ไม่ทราบจะทำอย่างไร
พอดีภูริทัตต์กลับมาถึง ได้ยินคำของอริฏฐะจึงคิดว่า อริฏฐะ นั้นเป็นผู้เลื่อมใสพราหมณ์ และการบูชายัญของพราหมณ์ จำเป็นที่จะต้องกล่าววาจาหักล้าง มิให้ผู้ใด คล้อยตามในทางที่ผิด
ภูริทัตต์จึงกล่าวชี้แจงแสดงความเป็นจริง และในที่สุดได้กล่าวว่า
"การบูชาไฟนั้น หาได้เป็นการบูชาสูงสุดไม่ หากเป็นเช่นนั้นคนเผาถ่าน คนเผาศพก็สมควรจะได้รับยกย่องว่าเป็นผู้บูชา ไฟยิ่งกว่าพราหมณ์ หากการบูชาไฟเป็นสูงสุด การเผาบ้านเมืองก็คงได้บุญสูงสุด แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ หากการบูชายัญจะเป็นบุญสูงสุดจริง พราหมณ์ก็น่าจะเผาตนเองถวายเป็นเครื่องบูชา แต่พราหมณ์กลับบูชาด้วยชีวิตของผู้อื่น เหตุใดจึงไม่เผาตนเองเล่า"
อริฏฐะกล่าวว่า พรหมเป็นผู้ทรงคุณยิ่งใหญ่เป็นผู้สร้างโลก ภูริทัตต์ตอบว่า
"หากพรหมสร้างโลกจริง ไฉนจึงสร้างให้โลก มีความทุกข์ ทำไมไม่สร้างให้โลกมีแต่ความสุข ทำไมพรหม ไม่สร้างให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เหตุใดจึงแบ่งคนเป็น ชั้นวรรณะ คนที่อยู่ในวรรณะต่ำ เช่น ศูทร จะไม่มีโอกาสมีความสุข เท่าเทียมผู้อื่นได้เลย พราหมณ์ต่างหากที่พยายามยกย่องวรรณะของตนขึ้นสูง และเหยียดหยามผู้อื่นให้ต่ำกว่า โดยอ้างว่าพราหมณ์เป็นผู้รับใช้พรหม เช่นนี้จะถือว่าพราหมณ์ ทรงคุณยิ่งใหญ่ได้อย่างไร"
ภูริทัตต์กล่าววาจาหักล้างอริฏฐะด้วยความเป็นจริง ซิ่งอริฏฐะ ไม่อาจโต้เถียงได้ ในที่สุดภูริทัตต์จึงสั่งให้ นำพรานเนสาทไปเสียจากเมืองนาคแต่ไม่ให้ทำอันตรายอย่างใด จากนั้นภูริทัตต์ก็พาพี่น้องและนางสมุทรชาผู้เป็นมารดา กลับไปเมืองมนุษย์ เพื่อไปเฝ้าพระบิดา พระเชษฐาของนางที่รอคอยอยู่แล้ว
เมื่อญาติพี่น้องทั้งหลายพากันแยกย้ายกลับบ้านเมือง ภูริทัตต์ขออยู่ที่ศาลากับพระอัยกา บำเพ็ญเพียร รักษาอุโบสถศีล ด้วยความสงบ ดังที่ได้เคยตั้งปณิธานไว้ว่า
"ข้าพเจ้าจะมั่นคงในการ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ จะไม่ให้ศีลต้องมัวหมอง ไม่ว่าจะต้องเผชิญความ ทุกข์ยากอย่างไร ข้าพเจ้าจะอดทน อดกลั้น ตั้งมั่นอยู่ ในศีลตลอดไป"
เมื่อเล่าจบ พระพุทธองค์ตรัสว่า
“การที่เราทำอุโบสถศีลครั้งนี้ ในกาลนั้น บิดามารดาของพระภูริทัตต์ในกาลนั้น ได้มาเป็นเชื้อพระวงศ์ในตระกูลศากยะ
พรานเนสาท ได้เกิดมาเป็น พระเทวทัต
โสมทัต ลูกของพรานเนสาท เกิดมาเป็น พระอานนท์
นางอัจจิมุขี เกิดมาเป็น นางอุบลวัณณาเถรี
สุทัศนะนาคพี่ชายภูริทัตต์ มาเป็น พระสารีบุตร
สุโภคะนาค มาเป็น พระโมคคัลลานะ
อริฏฐะนาค มาเป็น สุนักขัตตลิจฉวี
ภูริทัตต์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
1
บำเพ็ญศีลบารมี = ทำใจให้เต็มด้วยการรักษาความเป็นปกติ
1
เตมีย์ชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก
สุวรรณสามชาดก
ที่มาเนื้อเรื่อง
ผิดพลาดประการใด ขอน้อมรับด้วยจิตคารวะ และทักได้เลยครับ
ขอบคุณครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา