21 มี.ค. 2022 เวลา 11:01 • ความคิดเห็น
“วิธุรชาดก”
ข้าพระองค์จักพูดในสิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่เป็นธรรมเสมอ ข้าพระองค์จักไม่หลีกเลี่ยงความเป็นจริงเป็นอันขาด วาจา อันไพเราะนั้นจะมีค่าก็ต่อเมื่อประกอบด้วยหลักธรรม
วิธุรบัณฑิต
มาถึงแสตมป์ชุดที่ 3 ที่กล่าวถึงทศชาติชาดก คือชุด วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา (วันวิสาขบูชา) 2541
จำหน่ายวันแรก 10 พฤษภาคม 2541 พิมพ์ในไทย โดยไทยบริติช ซีเคียวริตี้
แสตมป์ชุดนี้ ครบชุดมี 4 ดวง พิมพ์เป็นรูปทศชาติชาดก คือ
ภาพวิธุรชาดก
ภาพเวสสันดรชาดก (กัณฑ์ทานกันณฑ์)
ภาพเวสสันดรชาดก (กัณฑ์กุมาร)
ภาพเวสสันดรชาดก (กัณฑ์สักกบรรพ)
และทั้ง 4 ภาพ เป็นภาพที่ชนะการประกวดในงานสัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมาย 2539 ครับ
วันนี้มาเริ่มที่ ชนิดราคา 3 บาท พิมพ์ออกมา 3,000,000 ดวง เป็นภาพ “วิธุรชาดก”
แสตมป์ วันวิสาขบูชา 2541
ทศชาติที่ 9 พระวิธุรบัณฑิต “บำเพ็ญสัจจบารมี”
ในเมืองอินทปัตต์ แคว้นกุรุ มีพระราชานามว่า ธนัญชัย มีนักปราชญ์ประจำราชสำนักชื่อว่า วิธุระ
วิธุระเป็นผู้มีวาจาฉลาดหลักแหลม เมื่อจะกล่าวถ้อยคำสิ่งใดก็สามารถทำให้ผู้ฟังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาและชื่นชมยินดีในถ้อยคำนั้น
ย้อนกลับไป… ในครั้งนั้นมีพราหมณ์อยู่ 4 คน เคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาแต่เก่าก่อน ต่อมาพราหมณ์ทั้งสี่เข้าในช่วงสัญญาสี จึงได้ออกบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าหิมพานต์ และบางครั้งก็เข้ามาสั่งสอนธรรมแก่ผู้คนในเมืองบ้าง
วันนึงมีเศรษฐี 4 คน ได้อัญเชิญฤาษีทั้งสี่ให้มาฉันอาหารที่บ้าน เมื่อเสร็จแล้วได้เล่าให้เศรษฐีฟังถึงสมบัติในเมืองต่างๆ ที่ตนได้เคยไปเยือนมา
ฤาษีตนแรกเล่าถึงสมบัติของพระอินทร์
ตนที่สองเล่าถึงสมบัติของพญานาค
ตนที่สามเล่าถึงสมบัติพญาครุฑ
และตนสุดท้ายเล่าถึงสมบัติของพระราชาธนัญชัยแห่งเมืองอินทปัตต์
เศรษฐีทั้งสี่ได้ฟังคำพรรณนาก็เกิดความเลื่อมใสอยากจะได้สมบัติเช่นนั้นบ้าง ต่างก็พยายามบำเพ็ญบุญ ให้ทาน รักษาศีลและอธิษฐาน ขอให้ได้ไปเกิดเป็นเจ้าขอสมบัติดังที่ต้องการ
ด้วยอำนาจแห่งบุญ ทาน และศีล เมื่อสิ้นอายุแล้ว เศรษฐีทั้งสี่ก็ได้ไปเกิดในที่ที่ตั้งความปรารถนาไว้ คือ
คนหนึ่งไปเกิดเป็น ท้าวสักกะเทวราช
คนที่สองไปเกิดเป็น พญานาคชื่อว่า ท้าววรุณ
คนที่สามไปเกิดเป็น พญาครุฑ
และคนที่สี่ไปเกิดเป็นโอรสพระเจ้าธนัญชัย ครั้นเมื่อพระราชาธนัญชัยสวรรคตแล้ว ก็ได้ครองราชสมบัติในเมืองอินทปัตต์ต่อมา
ทั้งท้าวสักกะ พญานาควรุณ พญาครุฑ และพระราชา ล้วนมีจิตใจปรารถนาจะรักษาศีล บำเพ็ญธรรม ต่างก็ได้แสวงหาโอกาสที่จะรักษาศีลมฃอุโบสถและบำเพ็ญบุญให้ทานอยู่เป็นนิตย์
วันหนึ่งบุคคลทั้งสี่เผอิญได้มาพบกันที่สระโบกขรณี ด้วยอำนาจแห่งความผูกพันที่มีมาตั้งแต่ครั้งยังเกิดเป็นเศรษฐีสี่สหาย ทั้งสี่คนจึงได้ทักทายปราศรัยกันด้วยไมตรี ขณะกำลังสนทนาก็ได้เกิดถกเถียงกันขึ้นว่า ศีลของใครประเสริฐที่สุด
ท้าวสักกะกล่าวว่า พระองค์ทรงละทิ้งสมบัติทิพย์ในดาวดึงส์ มาบำเพ็ญพรตอยู่ในมนุษย์โลก ศีลของพระองค์จึงบริสุทธิกว่าผู้อื่น
ฝ่ายพญานาควรุณกล่าวว่า ธรรมดาครุฑนั้นเป็นศัตรูตัวร้ายของนาค เมื่อตนได้พบกับพญาครุฑกลับสามารถอดกลั้นความโกรธเคืองได้ จึงนับว่าศีลของตนบริสุทธิ์กว่าผู้อื่น
พญาครุฑกล่าวแย้งทันทีว่า ธรรมดานาคเป็นอาหารของครุฑ ตนได้พบนาคแต่สามารถอดกลั้นความอยากในอาหารได้ นับว่าศีลของตนประเสริฐที่สุด
ส่วนพระราชาทรงกล่าวว่า พระองค์ได้ทรงละพระราชวังอันเป็นสถานที่สำราญ พรั่งพร้อมด้วยเหล่านารี 60,000 คน ที่เฝ้าปรนนิบัติ มาบำเพ็ญธรรมแต่ลำพังเพื่อประสงค์ความสงบ ดังนั้นจึงควรนับว่าศีลของพระองค์บริสุทธิ์ที่สุด
ทั้งสี่ถกเถียงกันเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงชวนกันไปหาวิธุรบัณฑิต เพื่อให้ช่วยตัดสิน
ทั้งสี่ก็เล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดให้วิธุรบัณฑิตฟังแล้วก็ตัดสินว่า
“คุณธรรมทั้งสี่ประการนั้น ล้วนเป็นคุณธรรมอันเลิศทั้งสิ้น ต่างอุดหนุนเชิดชูซึ่งกันและกัน ไม่มีธรรมข้อไหน ต่ำต้อยกว่ากันหรือเลิศกว่ากัน บุคคลใดตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมทั้งสี่นี้ ถือได้ว่าเป็นสันติชนในโลก"
ทั้งสี่เมื่อได้สดับคำตัดสินนั้นก็มีความชื่นชมยินดีในปัญญาของวิธุรบัณฑิต ที่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีเหตุมีผล ต่างคนต่างก็ได้บูชาความสามารถของวิธุรบัณฑิต ด้วยของมีค่าที่เป็นสมบัติของตน
เมื่อพญานาควรุณกลับมาถึงเมืองนาคพิภพ พระนางวิมลา มเหสีได้ทูลถามขึ้นว่า
"แก้วมณีที่พระศอของพระองค์หายไปไหน… เพคะ" (เหมือนงานจะเข้า)
1
พญานาควรุณ (ทำตาเลิ๊กลั๊ก) ตอบว่า
“เราได้ถอดแก้วมณีออกให้กับวิธุรบัณฑิตผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลมมีวาจาอันประกอบด้วยธรรมไพเราะ จับใจเราเป็นอย่างยิ่ง และไม่ใช่แต่เราเท่านั้น (share damage ให้เพื่อน) ที่ได้ให้ของอันมีค่ายิ่งแก่วิธุรบัณฑิต ทั้งท้าวสักกะเทวราช พญาครุฑ และพระราชา ต่างก็ได้มอบของมีค่าสูงเพื่อบูชาธรรมที่วิธุรบัณฑิตแสดงแก่เราทั้งหลาย" (ออกตัวว่าไม่ได้ให้คนเดียว คนอื่นก็ให้ จะได้ไม่โดนอะไรมาก)
1
พระนางวิมลาทูลถามว่า
"ธรรมของวิธุรบัณฑิตนั้นไพเราะจับใจอย่างไร"
พญานาคตอบว่า
"วิธุรบัณฑิตเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม รู้หลักคุณธรรมอันลึกซึ้งและสามารถแสดงธรรมเหล่านั้นได้อย่างไพเราะจับใจ ทำให้ผู้ฟังเกิดความชื่นชมยินดีในสัจจะแห่งธรรมนั้น"
พระนางวิมลาได้ฟังดังนั้นก็เกิดความปราถนาจะได้ฟังวิธุรบัณฑิตแสดงธรรมบ้าง จึงทรงทำอุบายว่าเป็นไข้ เมื่อพญานาควรุณทรงทราบก็เสด็จไปเยี่ยมตรัสถามว่า
“พระนางป่วยเป็นโรคใดทำอย่างไรจึงจะหายจากโรคได้”
พระนางวิมลา ทูลตอบว่า
"หม่อมฉันไม่สบายอย่างยิ่ง ถ้าจะให้หายจากอาการก็ขอได้โปรดประทานหัวใจวิธุรบัณฑิตให้หม่อมฉันด้วยเถิด"😱
พญานาคได้ฟังก็ตกพระทัย ตรัสว่า
“วิธุรบัณฑิตเป็นที่รักใคร่ของผู้คนทั้งหลายยิ่งนัก คงจะไม่มีผู้ใดสามารถล่วงล้ำเข้าไปเอาหัวใจวิธุรบัณฑิตมาได้” ได้ยินดังนั้น พระนางวิมลาก็แสร้งทำเป็นอาการป่วยกำเริบหนักขึ้นอีก พญานาควรุณก็ทรงกลัดกลุ้มพระทัยอย่างยิ่ง
ฝ่ายนางอริทันตี ธิดาพญานาคเห็นพระบิดาวิตกกังวลจึงถามถึงเหตุที่เกิดขึ้น พญานาควรุณก็เล่าให้นางฟัง นางอริทันตีจึงทูลว่า นางประสงค์จะช่วยให้พระมารดาได้สิ่งที่ต้องการให้จงได้ นางอริทันตีจึงป่าวประกาศให้บรรดาคนธรรพ์ นาค ครุฑ มนุษย์ กินนร ทั้งปวงได้ทราบว่า หากผู้ใดสามารถนำหัวใจวิธุรบัณฑิตมาให้นางได้ นางจะยอมแต่งงานด้วย
ขณะนั้น ปุณณกยักษ์ผู้เป็นหลานและเสนาบดีของท้าวเวสสุวรรณมหาราช กำลังขึ้นม้าสินธพ ชื่อมโนมัยไปประชุมที่ยักษ์สมาคม ที่อยู่เหนือยอดเขากาฬคีรี ผ่านมาได้เห็นนางก็นึกรักอยากจะได้นางเป็นชายา จึงเข้าไปหานางและบอกกับนางว่า
"เราชื่อปุณณกยักษ์ ประสงค์จะได้นางมาเป็นชายา จงบอกแก่เราเถิดว่าวิธุรบัณฑิตเป็นใคร อยู่ที่ไหน เราจะนำหัวใจของเขามาให้นาง"
เมื่อปุณณกยักษ์ ได้ทราบว่าวิธุรบัณฑิตเป็นมหาราชครูในราชสำนักพระเจ้าธนัญชัย จึงดำริว่า
"หากเราต้องการตัววิธุรบัณฑิต จะไปพามาง่ายๆ นั้นคงไม่ได้ ทางที่ดีเราจะต้องท้าพนันสกากับพระเจ้าธนัญชัย โดยเอาวิธุรบัณฑิตเป็นสิ่งเดิมพัน ด้วยวิธีนี้เราคงจะเอาตัววิธุรบัณฑิตมาได้"
จิตรกรรมชาดก วัดใหญ่อินทาราม จ.ชลบุรี
คิดดังนั้นแล้ว ปุณณกยักษ์ก็ไปสู่ราชสำนักของพระราชาธนัญชัย และทูลพระราชาว่า
"ข้าพระองค์มาท้าพนันสกา หากพระองค์ชนะข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะถวายแก้วมณีวิเศษอันเป็นสมบัติสำหรับพระจักรพรรดิกับจะถวายม้าวิเศษคู่บุญจักรพรรดิ"
พระราชาธนัญชัยทรงปรารถนาจะได้แก้วมณีและม้าแก้วอันเป็นของคู่บุญจักรพรรดิ จึงตอบปุณณกยักษ์ ว่าพระองค์ยินดีจะเล่นพนันสกา ด้วยปุณณกยักษ์ก็ทูลถามว่าหากพระราชาแพ้พนัน จะให้อะไรเป็นเดิมพัน
พระราชาก็ทรงตอบว่า
"ยกเว้นตัวเรา เศวตฉัตร และมเหสีแล้ว เจ้าจะเอาอะไรเป็นเดิมพันเราก็ยินยอมทั้งสิ้น"
ปุณณกยักษ์พอใจคำตอบจึงตกลงเริ่มทอดสกาพนัน ปรากฏว่าพระราชาทรงทอดสกาแพ้ ปุณณกยักษ์จึงทวงทรัพย์เดิมพัน โดยทูลพระราชาว่า
"ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาทรัพย์สมบัติใดๆ ทั้งสิ้น ขอแต่วิธุรบัณฑิตแต่ผู้เดียวเป็นรางวัลเดิมพันสกา"
พระราชาตกพระทัย ตรัสกับปุณณกยักษ์ว่า
"อันวิธุรบัณฑิตนั้นก็เปรียบได้กับตัวเราเอง เราบอกแล้วว่า ยกเว้นตัวเรา เศวตฉัตร และมเหสีแล้ว เจ้าจะขออะไรก็จะให้ทั้งนั้น"
ปุณณกยักษ์ทูลว่า
"เราอย่ามาโต้เถียงกันเลย ขอให้วิธุรบัณฑิตเป็นผู้ตัดสินดีกว่า"
เมื่อพระราชาให้ไปตามวิธุรบัณฑิตมา ปุณณกยักษ์ก็ถามว่า
"ท่านเป็นทาสของพระราชา หรือว่าท่านเสมอกับพระราชา หรือสูงกว่าพระราชา"
วิธุรบัณฑิตตอบว่า
"ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระราชา พระราชาตรัสสิ่งใดข้าพเจ้าก็จะทำตาม ถึงแม้ว่าพระองค์จะพระราชทานข้าพเจ้าเป็นค่าพนัน ข้าพเจ้าก็จะยินยอมโดยดี"
พระราชาได้ทรงฟังวิธุรบัณฑิตตอบดังนั้น ก็เสียพระทัยว่า วิธุรบัณฑิตไม่เห็นแก่พระองค์กลับไปเห็นแก่ ปุณณกยักษ์ ซึ่งไม่เคยได้พบกันมาก่อนเลย
วิธุรบัณฑิต จึงทูลว่า
"ข้าพระองค์จักพูดในสิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่เป็นธรรมเสมอ ข้าพระองค์จักไม่หลีกเลี่ยงความเป็นจริงเป็นอันขาดวาจาอันไพเราะนั้นจะมีค่าก็ต่อเมื่อประกอบด้วยหลักธรรม"
พระราชาได้ฟังก็ทรงเข้าพระทัย แต่ก็มีความโทมนัสที่จะสูญเสียวิธุรบัณฑิตไป จึงขออนุญาตปุณณกยักษ์ ให้วิธุรบัณฑิต ได้แสดงธรรมแก่พระองค์เป็นครั้งสุดท้าย ปุณณกยักษ์ก็ยินยอม วิธุรบัณฑิตจึงได้แสดงธรรมของผู้ครองเรือนถวายแด่พระราชา
ครั้นเมื่อแสดงธรรมเสร็จแล้ว ก็ขอปุณณกยักษ์สั่งเสียลูกเมีย
จากนั้นวิธุรบัณฑิตจึงเรียกบุตรภรรยาและเล่าให้ทราบความที่เกิดขึ้น แล้วจึงสอนบุตรธิดาว่า
“เมื่อพ่อไปจากราชสำนักพระราชาธนัญชัยแล้ว พระราชาอาจจะทรงไต่ถามเจ้าทั้งหลายว่า พ่อได้เคยสั่งสอนธรรมอันใดไว้บ้าง เมื่อพวกเจ้ากราบทูลพระองค์ไป หากเป็นที่พอพระทัยก็อาจจะตรัสอนุญาตให้เจ้านั่งเสมอพระราชอาสน์ เจ้าจงจดจำไว้ว่าราชสกุลนั้นจะมีผู้ใดเสมอมิได้เป็นอันขาด จงทูลปฏิเสธพระองค์ และนั่งอยู่ในที่อันควรแก่ฐานะของตน"
เมื่อเสรี๊จแล้วธุระแล้ว วิธุรบัณฑิตจึงได้ออกเดินทางไปกับปุณณกยักษ์
ปุณณกก็ให้วิธุระเกาะหางม้าไว้ แล้วเริ่มออกสตาร์ท ปุณณกก็กระตุกบังเหียนขึ้นสู่อากาศ ในใจคิดว่าถ้าเอาแต่หัวใจของวิธุรบัณฑิตไปคงจะสะดวกกว่าพาไปทั้งตัว ก็เลยควบมาไปในที่ที่มีต้นไม้บ้าง ภูเขาบ้าง เหวี่ยงให้ไปกระทบ แต่ก็ไม่มีรอยขีดข่วน เหมือนว่าวิธุระเคลือบด้วยฮาคิเกราะทั้งตัวยังไงยังงั้นเลยครับ ถึงแม้จะควบม้าไปท่ามกลางพายุ วิธุระก็ยังอยู่ดี
นอกจากนั้นปุณณกยักษ์ยังแปลงกายเป็นไกรสรราชสีห์บ้าง งูใหญ่บ้าง ช้างตกมันบ้าง วิธุระก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด จากนั้นก็จับเท้าวิธุระยกขึ้นกวัดแกว่งและขว้างไปตกที่เขา 15 โยชน์ แล้วยกมาฟาดกับเขา เมื่อยกมาอีกครั้งพบว่าตาย ก็ฟาดลงไปอีก วิธุระก็ยังไม่เป็นอะไร (ฮาคิเกราะคือแข็งแกร่งมาก🤣)
ในที่สุดวิธุรบัณฑิตจึงถามว่า
“ความจริงท่านเป็นใคร ท่านต้องการจะฆ่าข้าพเจ้าทำไม"
ปุณณกยักษ์จึงเล่าความเป็นมาทั้งหมด วิธุรบัณฑิตหยั่งรู้ได้ด้วยปัญญาว่าที่แท้นั้นพระนางวิมลาปราถนาจะได้ฟังธรรมอันเป็นที่เลื่องลือของตนเท่านั้น จึงคิดว่าควรจะแสดงธรรมแก่ปุณณกยักษ์ เพื่อมิให้หลงผิดกระทำการอันมิควรกระทำ
เมื่อปุณณกยักษ์ได้ฟังธรรม ก็รู้สึกในความผิดว่า วิธุรบัณฑิตมีอุปการคุณแก่ตน ไม่ควรจะกระทำร้ายหรือแม้แต่คิดร้ายต่อวิธุรบัณฑิต จึงตัดสินใจว่าจะพาวิธุรบัณฑิตกลับไปยังอินทปัตต์ ตนเองจะไม่ตั้งความปรารถนาในนางอริทันตีอีกต่อไปแล้ว
แต่เมื่อวิธุรบัณฑิต ทราบถึงการตัดสินใจของปุณณกยักษ์จึง กล่าวว่า
"นำข้าพเจ้าไปนาคพิภพเถิด ข้าพเจ้าไม่เกรงกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้น ข้าพเจ้าไม่เคยทำความชั่วไว้ในที่ใด จึงไม่เคยรู้สึกกลัวว่าความตายจะมาถึงเมื่อไร"
เมื่อมาถึงนาคพิภพ และอยู่ต่อหน้าพญานาควรุณ วิธุรบัณฑิตทูลถามว่าสมบัติในนาคพิภพนี้พญานาควรุณได้มาอย่างไร พญานาควรุณตรัสตอบว่าได้มาด้วยผลบุญ เมื่อครั้งที่ได้บำเพ็ญธรรมรักษาศีลและให้ทานในชาติก่อนที่เกิดเป็นเศรษฐี
วิธุรบัณฑิตจึงทูลว่า ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่าพญานาควรุณทรงตระหนักถึงกรรม และผลแห่งกรรมดี ขอให้ทรงประกอบกรรมดีต่อไป แม้ว่าในเมืองนาคนี้จะไม่มีสมณชีพราหมณ์ที่พญานาคจะบำเพ็ญทานได้ ก็ขอให้ทรงมีเมตตาแก่บุคคลทั้งหลายในเมืองนาคนี้ อย่าได้ประทุษร้ายแก่ผู้ใดเลย หากกระทำได้ดังนั้นก็จะได้เสด็จไปสู่เทวโลกที่ดียิ่งกว่านาคพิภพนี้
พญานาควรุณได้ฟังธรรมอันประกอบด้วยวาจาไพเราะของวิธุรบัณฑิตก็มีความพอพระทัยเป็นอันมาก และตรัสให้พาพระนางวิมลามาพบวิธุรบัณฑิต
เมื่อพระนางทอดพระเนตร เห็นวิธุรบัณฑิตก็ได้ถามว่า
"ท่านตกอยู่ในอันตรายถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่มีอาการเศร้าโศกหรือหวาดกลัวแต่อย่างใด"
วิธุรบัณฑิตทูลตอบว่า
"ข้าพเจ้าไม่เคยทำความชั่วจึงไม่กลัวความตาย ข้าพเจ้ามีหลักธรรมและมีปัญญาเป็นเครื่องประกอบตัว จึงไม่หวั่นเกรงภัยใดๆ ทั้งสิ้น”
พญานาควรุณและพระนางวิมลาพอพระทัยในปัญญาและความมั่นคงในธรรมของวิธุรบัณฑิต
พญานาควรุณจึงตรัสว่า
"ปัญญานั้นแหละคือหัวใจของบัณฑิต หาใช่หัวใจที่เป็นเลือดเนื้อไม่"
จากนั้นพญานาควรุณก็ได้ยกนางอริทันตีให้แก่ปุณณกยักษ์ ผู้ซึ่งมีดวงตาสว่างไสวขึ้นด้วยธรรมของวิธุรบัณฑิต พ้นจากความหลงในสตรีคือนางอริทันตี แล้วสั่งให้ปุณณกยักษ์พาวิธุรบัณฑิตไปส่งยังสำนักของพระราชาธนัญชัย
พระราชาทรงโสมนัสยินดีอย่างยิ่ง ตรัสถามวิธุรบัณฑิตถึงความเป็นไปทั้งหลาย วิธุรบัณฑิตจึงทูลเล่าเรื่องราวทั้งสิ้น และกราบทูลในที่สุดท้ายว่า
“ธรรมเป็นสิ่งสูงสุด บุคคลผู้มีธรรมและปัญญาย่อมไม่หวั่นเกรงภยันตราย ย่อมสามารถเอาชนะภยันตรายทั้งปวงด้วยคุณธรรมและด้วยปัญญาของตน การแสดงธรรมแก่บุคคลทั้งหลายนั้นคือการแสดงความจริงให้ประจักษ์ด้วยปัญญา…”
มาในชาติที่เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ตรัสรู้เป็น พระโคตมพุทธเจ้า นั้น
มารดา บิดาของวิธุรบัณฑิต ในกาลนั้นก็คือ ราชสกุลศากยวงศ์ในชาตินี้
ภรรยาของวิธุรบัณฑิต ก็คือ พระนางยโธร
บุตรคนโตของวิธุระ ก็คือ ราหุล
พระนางวิมลา คือ พระนางอุบลวรรณาเถรี
พระวรุณนาคาราช คือ พระสารีบุตร
พญาครุฑ คือ พระโมคคัลลานะ
ท้าวสักกะเทวราช ก็คือ พระอนุรุทธะ
พระเจ้าธนัญชัย คือ พระอานนท์
ปุณณกยักษ์ คือ นายฉันณะ
ม้ามโนมัยสินธพ ก็คือ ม้ากัณฐกะ
1
และวิธุรบัณฑิต ในกาลนั้นก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าดังนี้เองครับ
เตมีย์ชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก
มโหสถชาดก ภูริทัตชาดก จันทชาดก นารทชาดก
เนื้อเรื่อง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา