21 มี.ค. 2022 เวลา 11:00 • สุขภาพ
สรุปวิธีทำ IF เคลียร์สิวจากภายใน (ดีต่อผิว ดีต่อใจ ดีต่อกาย ดีต่อกระเป๋าสตางค์ในยุคอาหารแพง)
หลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยิน ได้เคยทำ IF (Intermittent fasting) มาบ้างแล้วนะคะ ซึ่งในบทความนี้ บีมจะสรุปความรู้ที่ได้เรียนมาในเรื่องนี้จากหลักสูตรระยะสั้น “พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ” รุ่น 1 วันที่ 5 – 19 มีนาคม 2565 ซึ่งเป็นแนวทางของท่าน ดร. แพทย์หญิงสุนิสา ไทยจินดา สำนักวิชาเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นะคะ ซึ่งบีมจะสรุปส่วนที่สำคัญที่ท่านเน้นย้ำในบทเรียนและบอกเล่าประสบการณ์ที่บีมได้ทดลองทำตามแนวทางของท่าน
ท่านอาจารย์ได้สอนหัวข้อ Fighting Aging by Autophagocytosis (Autophagy) ซึ่งคำนี้มีความหมายที่แปลได้อย่างง่ายที่สุด คือ “กินตัวเอง”
เป็นการค้นพบโดย Yoshinori Ohsumi ที่ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2016 ซึ่งกล่าวถึงกลไกนี้ต่อการกำจัดพิษ ขยะ เซลล์ตาย หรือสิ่งที่ร่างกายไม่ใช้งานแล้ว รวมไปถึงการรีไซเคิลสิ่งเหล่านี้ให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ (recycle / rejuvenate) ซึ่งเป็นความชาญฉลาดของร่างกายที่สามารถสแกนหาสิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกายและกำจัดออกไปด้วยตัวเขาเองด้วยกลไกนี้ เปรียบได้กับการ “detoxify + repair” คือ ล้างพิษและซ่อมแซมด้วยกลไกธรรมชาติของร่างกายเอง
โดยท่านอาจารย์สุนิสาได้พูดถึงกิจกรรมที่ทำให้เกิดกระบวนการ “กินตัวเอง” นี้ คือ การ “อดอาหาร” หรือ การ fast นั่นเองค่ะ จึงโยงมาในเรื่องของการทำ IF ที่อาจารย์ได้ศึกษาค้นคว้าทดลองด้วยตัวเอง ปฏิบัติด้วยตัวเองจนมีผลลัพธ์จริง (ท่านอาจารย์มีชีวิตชีวา มีพลังมาก หน้าเด็กมาก ทำให้ผู้เรียนหลายท่านอยากทำตามเลยทันที)
บีมขอสรุปเป็นข้อ ๆ เพื่อให้ดูง่ายนะคะ
1.ในการอดอาหารเพื่อให้เกิดกระบวนการนี้ ผู้หญิงควรอดให้ได้ 16 ชั่วโมง ผู้ชาย 17-18 ชั่วโมง
2.เด็กที่รู้เรื่องแล้ว สามารถเลือกหรือไม่เลือกทำอะไรได้แล้ว ก็สามารถเริ่มทำได้แล้ว
3.การมีไมโตคอนเดรีย (เตาเผาพลังงานในเซลล์) ที่แข็งแรง จะทำให้กระบวนการกินตัวเองนี้ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.การปรับเปลี่ยน 3 ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์ที่สำคัญเพื่อให้กระบวนการนี้มีประสิทธิภาพ คือ 1. อาหารที่กิน 2. การทำ IF ทุกวัน / สม่ำเสมอ 3. ออกกำลังกายแบบ high intensity interval exercise (HIIT) คือ การออกกำลังที่มีความเข้มข้นสูงในระยะเวลาสั้น ทำให้อัตราการเต้นหัวใจสูงขึ้นถึง 85-90 เปอร์เซ็นต์ และพักเพื่อให้อัตราการเต้นหัวใจลดลงมา ก่อนที่จะกลับไปออกกำลังแบบเข้มข้นสูงวนซ้ำแบบนี้ไปจนครบในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่กำหนดไว้ จัดเป็นการออกกำลังแบบแอนแอโรบิคหรือการออกกำลังกายที่ไม่ใช้ออกซิเจน โดยทำในช่วงอด
5.สำหรับอาหารนั้น อาจารย์เน้นมากว่าต้องเป็น “real food” หรือเป็นอาหารแท้ ที่คงรูปเดิม มีการแปรรูปน้อยที่สุดหรือไม่แปรรูปเลยจะดีที่สุด และถ้าเป็นออร์แกนิคได้ด้วยก็จะดีมาก คือ เน้นคุณภาพและความแน่นของสารอาหารเป็นสำคัญในช่วงที่กิน
6.ทานโปรตีนกับคาร์บแยกกัน (ถ้าสามารถทำได้นะคะ นั่นหมายถึงว่า ต้องทานโปรตีนกับผัก และคาร์บกับผักค่ะ)
7.ให้ระวังอาหารผ่านกระบวนการ processed food ให้มาก เลี่ยงได้ก็เลี่ยง
8.คนที่ลดน้ำหนัก กับ คนที่ผอมอยู่แล้วหรือผอมง่าย จะทานสัดส่วนของไขมันและโปรตีนต่างกัน (ท่านไม่ได้ให้ตัวเลขมานะคะ)
9.ในการลดน้ำหนัก ให้ทานอาหารมีไขมันดีสูง ทานโปรตีนพอประมาณ และทานคาร์บที่ไม่มีใยอาหารให้น้อยที่สุด (ถ้าจะทานให้ทานคาร์บเชิงซ้อน complex carb แต่ก็ยังคงต้องเป็นสัดส่วนน้อยที่สุดค่ะ)
10.ในการเพิ่มกล้ามเนื้อ หรือ ทำ IF สำหรับคนผอมอยู่แล้วหรือผอมง่าย (บีมถามคำถามนี้กับ อจ. เพื่อตัวเองค่ะและถามเผื่อเพื่อน ๆ ชาวสิวซีเคร็ตหลายคนที่มีคำถามนี้ด้วย) ให้ทานไขมันดีน้อย คาร์บน้อย เน้นโปรตีน ถั่ว ผักให้มาก ๆ และเน้นออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อ (weigh training) น้ำหนักอาจจะเท่าเดิม แต่เป็นน้ำหนักของกล้ามเนื้อแทน กล้ามเนื้อจะทำให้ดูไม่โทรมและดูสุขภาพดี
11.อาจารย์เน้นมากเรื่อง learn-unlearn-relearn คือ ถ้าจะดูแลสุขภาพด้วย IF แนวทางที่อาจารย์ทำและสอนนี้ ต้องทิ้งความรู้เดิม ความเชื่อเดิม ความเข้าใจเดิมให้หมดสิ้น อยู่โหมด unlearn ของเดิม และ relearn ของใหม่เข้าไปแทน
12.เพราะ…การทำแบบนี้ “อาหารเช้าไม่สำคัญ” “ไม่ต้องกิน 3 มื้อ” “ให้อดมื้อกินมื้อ” “โรคกระเพาะไม่ได้เกิดจากการกินไม่ตรงเวลา แต่เกิดจากเชื้อบางชนิด” “กินเมื่อหิว” เท่านั้น
13.มื้อเย็นจะกินกี่โมงก็ได้ แต่ต้องห่างจากเวลาเข้านอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
14.แต่ละมื้อที่ทานควรห่างกัน 4-6 ชั่วโมง
15.ช่วงระหว่างมื้อที่กินนั้น สามารถดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ให้พลังงานได้ เช่น กาแฟดำ ชาสมุนไพร น้ำเปล่า
16.ตอนเช้าอาจจะหิว แต่ให้ดื่มน้ำเปล่าแทน เพราะบางทีร่างกายอาจจะแค่ต้องการน้ำ
17.หรือถ้าไม่ได้ต้องการแค่น้ำ ก็ควรต้องรอให้พ้นช่วงหิวไปอีก เพราะหลังจากที่ผ่านช่วงหิวไปแล้ว จะไม่หิวและในช่วงนั้นเองที่ร่างกายจะเริ่มกระบวนการ “กินตัวเอง” กินในสิ่งที่ไม่ดี กำจัดสิ่งไม่เป็นประโยชน์ รีไซเคิล ซ่อมแซม (ขอให้อ่านต่อนะคะบีมจะแชร์ประสบการณ์ยืนยันให้ค่ะว่าสิวหายไปเพราะกระบวนการนี้จริง ๆ)
18.พยายามลากไปให้ถึงเที่ยง คือ นับจากมื้อก่อนหน้านั้น (คือมื้อเย็น) ให้ได้ครบ 16 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
19.การดื่มน้ำเปล่าผสมเกลือหิมาลัยจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม ช่วยให้อดได้นานขึ้น
20.แต่มีข้อยกเว้น คือ ถ้าหิวจนมือสั่น สมองเบลอ ทำงานต่อไปแล้วไม่ได้จริง ๆ ก็ให้กินได้เลย คือ ให้สังเกตตัวเองเป็นหลัก ถ้าพยายามให้พ้นช่วงหิวไปแล้ว แต่ไปต่อไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องทาน คือ หยุดการอดก่อน
21.การเริ่มต้น อาจารย์แนะนำให้เป็น 16:8 ก่อน แล้วหลังจากนั้นก็แล้วแต่ได้เลย อาจจะเพิ่มเป็น 18:6 หรือไม่มีเวลากินที่แน่นอนก็ได้ แต่ขอให้รักษาระยะห่างระหว่างมื้อให้ได้อย่างน้อย 4 ชั่วโมง และให้มีช่วงอดจนหิวและพ้นช่วงหิวให้ยาวนานเท่าที่ร่างกายจะยังทำงานได้เป็นปกติอย่างน้อย 16 ชั่วโมง
22.ใครที่ทำมาสักพักแล้ว จะทำแบบอด 1 วัน กิน 1 วันก็ได้เช่นกัน
23.ดังนั้น ที่สำคัญมาก ๆ คือ สารอาหารที่ได้รับในมื้อที่กินนะคะ สารอาหารต้องแน่น ต้องครบถ้วน เป็นอาหารแท้ ในสัดส่วนที่แจ้งไปแล้วค่ะ ไม่อย่างนั้นจะอิ่มไม่นาน หิวเร็ว หิวก่อน 4 ชั่วโมงที่จะทานมื้อต่อไปค่ะ
24.ยิ่งถ้าเลือกทานอาหารที่เป็นแป้ง (คาร์บ) ที่มีค่า GI สูง (ถูกย่อยเป็นกลูโคสเข้าสู่เลือดได้เร็ว) และสารอาหารอื่น ๆ น้อย จะหิวเร็วมาก ๆ และทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน อารมณ์แปรปรวน สิวขึ้น สิวอักเสบ หน้ามัน ด้วยค่ะ (ข้อนี้บีมเพิ่มให้เองค่ะ จากข้อมูลทางวิชาการ เพื่อน ๆ สิวซีเคร็ตที่มาปรึกษาและแบ่งปันประสบการณ์และประสบการณ์ส่วนตัวค่ะ)
25.แต่…แนวทางของอาจารย์ไม่เครียดค่ะ เพราะ เราสามารถมี cheat day ได้ หรือมื้อไหนที่ต้องไปกินเลี้ยง ก็เต็มที่ไปเลย แล้วก็มาอดอาหารในวันต่อไปแบบเต็ม ๆ แทน เพราะร่างกายก็จะมาจัดการตัวเขาเองได้ในระหว่างการอดนั่นเองค่ะ
26.โดยสรุปก็คือ เป็นแนวทางที่ให้สังเกตร่างกายเราได้เลยว่าเขาต้องการอาหารเมื่อไหร่ ก็ค่อยกินเมื่อนั้น โดยต้องใจกล้าที่จะออกนอกกรอบ ออกจากความเชื่อเดิมเรื่องวิธีทานอาหารที่เราเคยถูกปลูกฝังมา แล้วลองปฏิบัติด้วยตัวเอง ค่อย ๆ ทำความรู้จักตัวเองไป หาเมนูที่จะทำให้เราได้รับสารอาหารตามที่แนะนำไว้ให้ครบถ้วน และออกกำลังกายแบบ HIIT และ สร้างกล้ามเนื้อ ด้วย
27.ช่วงแรก ๆ อาจจะต้องปรับตัวมากหน่อยนะคะสำหรับคนที่ไม่ได้ทำอาหารทานเอง เพราะอาหารที่ขายทั่วไป จะมีแป้งเยอะ น้ำตาลเยอะ โปรตีนและไขมันดีน้อย แต่ถ้าทำอาหารเองได้ จะไม่ยากเลยค่ะ แต่ในเมืองใหญ่ ๆ ที่เทรนสุขภาพมาแรงแบบกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ หาแบบนี้ไม่ยากค่ะ บีมอยู่เชียงรายค่ะ มันยังไม่ใช่เทรน ถ้าทำเองได้จะได้ตรงความต้องการมากกว่า (ข้อนี้บีมเพิ่มให้ค่ะ)
และนั่นก็คือ การสรุปสิ่งที่บีมได้เรียนรู้จากคลาสของท่านอาจารย์ ดร. แพทย์หญิงสุนิสา ไทยจินดา นะคะ
ในส่วนต่อไป บีมจะบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของการอดอาหารกับการรักษาสิวให้นะคะ
1.ระหว่างที่เรียนคลาสนี้ บีมนึกถึงวิธีการกินของตัวเองก่อนหน้าที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อการทดลองอะไรบางอย่างตามสมมติฐานของบีมค่ะ ว่าจริง ๆ แล้ว บีมเองก็ทานแบบที่อาจารย์สอนมานานแล้ว บีมเพียงแค่ไม่รู้ว่านั่นคือ IF
2.แต่…ส่วนที่บีมเคยทำนั้น ที่ตรงกันคือ กินเมื่อหิวเท่านั้น และมีช่วงอดที่ค่อนข้างยาวนาน (เพราะนั่งทำงานนานค่ะ) มันยังไม่ถูกต้องตามหลักที่จะได้ประโยชน์จริง ๆ และกลับทำให้บีมเสื่อมมากกว่าฟื้นฟูหรือชะลอวัยก็คือ สัดส่วนของสารอาหารไม่ถูกต้อง (แต่บีมเลือกทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ทั้งหมดนะคะ ก็มากกว่า 90% ที่เป็นอาหารที่มีคุณภาพค่ะ) และไม่มีการออกกำลังกายแบบสร้างกล้ามเนื้อหรือตามหลักที่อาจารย์สอน
3.ซึ่งจริง ๆ แล้วในการทานอาหารให้ได้สารอาหารครบในแต่ละมื้อ บีมมีประสบการณ์ตอนช่วงตั้งครรภ์ค่ะ เพราะ ถ้าทานอาหารที่มีสารอาหารแน่นและครบ จะทำให้บีมหิวไม่บ่อย อารมณ์สงบ ไม่แปรปรวน ยิ่งช่วง 3 เดือนแรก ตอนแพ้ท้องจะทานได้น้อยมาก พอเริ่มทานได้ ก็จะยังทานได้ไม่มาก แต่ละมื้อจึงต้องมั่นใจว่าลูกได้รับครบ ลูกคือเซลล์สร้างใหม่ค่ะ เขาต้องการอาหารที่ครบเพื่อไปเติบโต
ซึ่งจริง ๆ แล้วการทานแบบ IF ก็คือการทานของบีมช่วงท้องเลย คือ เน้นโปรตีนให้มาก ผักเยอะ ๆ ผลไม้ทานเป็นของว่าง คาร์บพอดี ๆ และทานไขมันดีด้วย 1 ช้อนโต๊ะ/วัน
นอกเหนือจากนั้นก็ตามช่วงพัฒนาการ ก็จะมีแคลเซียมช่วงเขาสร้างกระดูก หรือบำรุงเลือดเพิ่มเติม จุดนี้คุณหมอก็ดูแลค่ะ และผลลัพธ์ก็คือ ลูกน้ำหนักตัวขึ้นตามเกณฑ์ดีมาก บีมไม่มีปัญหาสุขภาพอะไรเลย คลอดง่าย คลอดธรรมชาติ แสดงว่าวิธีทานอาหารที่ทำนั้นเวิร์คค่ะ และแค่ทานแบบนี้อีกครั้งเมื่อจะเข้าสู่วิธี IF แค่น้ันเอง (พอไม่ได้ตั้งครรภ์ ก็ไม่ค่อยได้ทานแบบนี้แล้ว แม้จะทานอาหารสุขภาพ แต่ไม่ค่อยทานโปรตีน ร่างเลยเสื่อมลงชัดเจน)
4. กลับมาเรื่องอดอาหารแล้วสิวหาย จากประสบการณ์ของตัวเองที่ทำแล้วเห็นผลเรื่องสิวหายจริง ๆ คือเห็นชัด ๆ เลยว่า ร่างกายจัดการเองจริง ๆ ก็คือ สมมติว่าวันนี้บีมกินขนมเค้กหรือเบเกอรี่ที่มีส่วนผสมของนมวัว น้ำตาล และแป้งสูง หรือขนมปังโฮลวีทแต่มีส่วนผสมของนมวัวและน้ำตาล บีมมักจะมีสิวขึ้นตรงกลางคาง เป็นหัวขาว ๆ พอวันถัดไป บีมก็จะอดอาหารเลยค่ะ คือไม่กินเช้า ถ้าถึงเย็นได้ ก็ให้ถึงเลย ถ้ามันต่อได้ ก็ถือเป็นอด 1 วันไปเลย ไม่กินอะไรนอกจากน้ำเปล่าผสมเกลือหิมาลัยจนถึงนอน
แล้ว…สิวยุบค่ะ ยุบ แบน หายไป หลุดออก แห้ง (ทุกสิวที่ถ้ามีตอนนั้น) ด้วยตัวเขาเอง โดยยังไม่ทันทาครีมอะไรเลย
5.ผลลัพธ์มันเป็นแบบนั้นทุกครั้ง
6.และช่วงไหนที่เป็นช่วงเทศกาลหรือท่องเที่ยว (ก่อนโควิด) บีมจะกินกับครอบครัวแบบปกติเลยค่ะ อาจจะเลือกอาหารหน่อย แต่โดยรวมก็จะ enjoy ไปเลย แล้วมันจะรู้สึกหนักตัวเองค่ะ เพราะการกินเยอะไปคือภาระของร่างกาย หลังจากกลับมาบ้าน ก็จะอดอาหารไปเลย ก็จะมีการล้างลำไส้ร่วมด้วย ทานผักผงชงด้วย (ก็ไม่รู้ว่ามีแคลไหม แต่ถึงมีก็คงไม่เยอะ ตอนนั้นไม่รู้ว่าเราต้องไม่รับแคลเลยค่ะ ก็เลยทาน แต่มันก็ได้อยู่ค่ะ กระบวนการมันก็ไปได้ดีอยู่)
7.ทุกครั้งที่ได้อดอาหารยาว ๆ หรือ 1-2 วัน ร่างกาย สมอง จิตใจ จะเบา ๆ เลย คือชอบสภาวะนั้นมาก ๆ ค่ะ ต่างกับตอนหนักเนื้อหนักตัวมาก ใจของเราพอเขาชอบแบบนี้มากกว่า เขาก็จะปรับการกินให้เราเองค่ะ ว่าไม่อยากกินแบบนั้นละ มันหนักตัว เราไม่ชอบ โดยที่ไม่ต้องไปบังคับอะไรเลย
8.บีมจึงไม่รู้สึกผิดเวลาที่กินอาหารแบบ enjoy กับครอบครัว และรู้วิธีให้ร่างกายเขาจัดการตัวเองได้หลังจากนั้น แค่อดก็เท่านั้นเอง ร่างกายเขาเคลียร์ให้หมดจริง ๆ
9.แต่อย่างที่บอกเลยค่ะ บีมยังทำไม่ถูกต้องตามหลัก แม้จะได้ผลดีเวลาที่อด แต่ด้วยความที่สารอาหารไม่ได้สัดส่วน โปรตีนนี่เรียกว่ากินไม่เคยพอเลย (มารู้ปีนี้เองค่ะว่าตัวเองกินไม่พอ) และไม่ได้ออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อ
10.คือบีมเคยอ่านอะไรมาสักอย่าง เขาเขียนว่า ร่างกายต้องการกลูโคสเป็นพื้นฐาน ขาดไปสมองก็จะทำงานได้น้อยลง บีมก็เลยจะทานคาร์บเป็นตัวพื้นฐาน ทำให้สัดส่วนของคาร์บค่อนข้างสูงในแต่ละมื้อ แต่
11.ภาพรวมสุขภาพคือ รู้สึกสุขภาพดี ไม่เป็นหวัดเลยตั้งแต่มีโควิด เพราะเราปรับสมดุลเองได้ แต่มีปัญหาสมองเหมือนจะช้าลง คิดและตัดสินใจได้ช้าลงมาก งานเสร็จช้า หงอกขึ้นไม่หยุด ผมร่วงหนักมากเมื่อปีที่แล้ว ผิวหนังก็เหมือนจะมีจุดที่แข็งและกร้านที่แขนเป็นหย่อม ๆ (ปกติไม่ทาครีมนะคะ) มารู้จากคอร์สนี้ว่าเหล่านี้คือสัญญาณของความเสื่อม (ชัดเจนมากเลยค่ะ)
12.ซึ่งส่วนตัวบีมเองพอได้เรียนรู้จากหลักสูตรนี้จบแล้วก็รู้เลยว่า ปัญหาความเสื่อมของบีมเกิดจาก “ความเครียดเรื้อรัง” ในปัญหาส่วนตัวของตัวเองช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปัจจัยอันดับ 1 ของความเสื่อมถอยที่ท่านอาจารย์ทุกท่านที่บีมได้เรียนด้วย (30 ชั่วโมง เรียน 20 วิชา กับอาจารย์ 20 ท่าน) พูดตรงกันว่า จุดนี้สำคัญที่สุดต่อสุขภาพ ถ้าทำทุกอย่างดีหมด แต่ใจไม่ผ่าน ความเครียดเรื้อรัง ก็คือจบ อย่างอื่นแทบจะไม่ให้ผลเลย ก็เป็นแบบนั้นจริงค่ะ
13.พอบีมได้เรียนกับท่านอาจารย์ ดร.แพทย์หญิงสุนิสา ไทยจินดา ในคลาสนี้แล้ว บีมก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เพราะ รู้สึกว่าตรงจริตตัวเองตรงที่ว่า เน้นการดูแลตามธรรมชาติของเราเลย หิวค่อยกิน ไม่หิวก็ไม่ต้องกิน แล้วท่านอาจารย์ก็ดูมีพลังมากจริง ๆ ค่ะ ยังดูเด็กกว่าอายุจริงมาก ๆ มันเหมือนบีมได้แรงบันดาลใจ ได้รับความรู้จากผู้ที่เป็นระดับอาจารย์แพทย์ที่ปฏิบัติจริง มีผลลัพธ์จริง มั่นใจที่จะทำมาก ๆ ค่ะ
14.ซึ่งจากเดิมที่บีมเคยทำมาอยู่แล้ว แค่เพิ่มการดูแลอาหารให้ได้สัดส่วนที่ถูกต้อง ออกกำลังกายให้ถูกต้อง และบีมเริ่มทำมาวันที่ 2 แล้วค่ะ (เพราะพึ่งได้เรียนไปเมื่อวันที่ 19 มี.ค. นี้เอง) บีมรู้สึกว่าทำได้ ไม่ยากเลย น่าจะทำได้ต่อเนื่องไปยาว ๆ เลย และวันที่ 2 นี้ร่างกายเริ่มปรับตัวได้แล้วค่ะ อดมายาวเกินเที่ยงได้สบายขึ้นแล้ว (ซึ่งบีมได้ดื่มน้ำผสมวิตซี และทานวิตบีไปช่วง 9 โมงด้วย พอดีเรียนรู้มาจากคุณหมออีกท่านค่ะ ว่าคนที่ทำงานเยอะและปัสสาวะบ่อย อาจมีปัญหาขาดวิตามิน 2 ตัวนี้ได้ บีมเลยเอามาเสริมทัพค่ะ)
15.แต่ที่ท้าทายคือ อาหารแต่ละมื้อค่ะ ต้องให้โปรตีนมาก และต้องย่อยง่าย (สำหรับทุกคนที่มีปัญหาสิวควรรับโปรตีนที่ตัวเองไม่แพ้ ย่อยง่าย ท้องไม่อืดหลังทาน สิวไม่ขึ้นเพิ่มหลังทาน นะคะ ต้องสังเกตหรือไปตรวจการแพ้เลยก็จะดีมากค่ะ จะได้เลี่ยงไปเลย สิวจะหายเร็วขึ้นถ้าไม่กินของที่แพ้ค่ะ)
16.บีมไม่ทำอาหารทานเองเลยเพราะไม่ถนัดทำค่ะ ปกติจะสั่งมาทาน เลือกร้าน เลือกเมนูค่อนข้างมาก แต่พบว่าอาหาร 95% คือ มันจะมีข้าวกับโปรตีนอยู่ด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ (แต่เราก็เลือกได้ล่ะค่ะว่าจะเอาแต่กับเนาะ) คือค่อนข้างต้องใช้เวลาในการหาอาหาร (ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยตรงที่ต้องการ) ทำให้บีมรู้สึกว่า สงสัยจะต้องทำอาหารง่าย ๆ ทานเองได้แล้วมั้งมันจะได้ตรงใจเรา 100%
17.สำหรับการออกกำลังกาย บีมรู้สึกว่าแนวทางของ อจ.ท่านนี้ง่ายดีค่ะ คือ ออกแบบ HIIT บีมก็เคยทำมาอยู่แล้ว บีมชอบวิ่งสักพักแล้วเร่งสปีดให้มันสุดแรง แล้วพัก แล้วเอาใหม่ ทำจนกว่าบีมจะรู้สึกดี ซึ่งบีมชอบการออกกำลังกายแบบนั้น มันทำให้มีพลัง หายเครียด
18.ยิ่งถอดรองเท้าแล้ววิ่งบนหญ้าตอนเช้านะคะ โอ้โห โคตรสุดยอดของความรู้สึกดี ภาพตอนเราเป็นเด็กที่วิ่งเร็ว ๆ สนุกกับทุกสิ่งกลับมา พลังดีมาก ๆ ค่ะ พอหมดแรง ก็หายเครียดเลย แล้วก็เดินบนหญ้า 1 รอบ อยู่ตรงนั้น ไม่คิดอะไร แล้วก็กอดต้นไม้ จบด้วยนั่งสมาธิหันหน้าหาพระอาทิตย์ หลูบนี้กำลังดีเลยค่ะ กลับบ้านก็อาบน้ำ ทำงาน ใช้เวลาไม่เยอะเลย แค่ 30 นาทีเท่านั้นเอง เป็นการรีเซ็ตพลังที่ดีมาก ๆ และได้ประโยชน์ด้านความแข็งแรงด้วยจริง ๆ
19.ผลจากการอดอาหารที่บีมชอบมาก ๆ ข้อหนึ่งคือ รู้สึกว่าสมองและจิตใจจะปลอดโปร่ง ทำให้รู้สึกว่าเห็นอะไรชัดเจนขึ้น ไม่ใช่การมองเห็นด้วยตานะคะ แต่คือการเห็นภายในของเราต่อตัวเราและสิ่งรอบตัว ความไวต่อการรับรู้จะสูงขึ้น ซึ่งช่วยบีมในช่วงที่กำลังรู้สึกสับสน มึน ๆ มืดแปดด้าน หมดพลัง ตัดสินใจอะไรไม่ได้ มาหลายครั้งแล้วค่ะ นั่นเป็นเพราะเขาช่วยเคลียร์ขยะออกไปให้เรา ทำให้กายใจสมองโปร่งขึ้น จึงได้รับผลที่ดีดังกล่าว เหมาะสำหรับช่วงที่เราต้องตัดสินใจอะไรที่สำคัญในชีวิตค่ะ จะทำให้เราได้ยินเสียงภายในชัดเจนขึ้น
สรุปส่งท้าย
- ถ้าคุณอยากแก้ปัญหาสิวจากภายในจริง ๆ แบบประหยัดที่สุด บีมแนะนำให้ศึกษาและเริ่มทำ IF ค่ะ
- พอทำ IF ร่างกายของเราจะดีท็อกซ์ ซ่อม ฟื้นฟู ด้วยตัวเขาเอง โดยที่เราไม่ต้องรอให้เกิดขั้นเฉพาะช่วงที่เราหลับ
- ซึ่งบางคนมีปัญหาการนอนอีก นอนหลัง 5 ทุ่ม หลับไม่มีคุณภาพ หลับไม่ลึก ตื่นบ่อย ร่างกายก็ไม่ได้รับการดีท็อกซ์และฟื้นฟูอีกค่ะ
- ที่ IF ช่วยได้เพราะ สิวนี้เกิดจากขยะในกระแสเลือดที่เรารับเข้าไปเป็นเวลาหลายปีที่ผ่านมา สะสมจนทำให้ระบบอวัยวะเสื่อมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทานแป้งกับน้ำตาลมามาก เครียดมานาน จะมีน้ำตาลในเลือดสูง มีภาวะเบาหวานประเภท 2 แบบไม่รู้ตัว ซึ่ง IF จะช่วยกำจัดน้ำตาลส่วนเกิน พิษและขยะมากมาย และรีเซ็ตระบบทั้งระบบให้เราได้ตามธรรมชาติ
- ตามหลักศาสนา การอดอาหารที่ทำอย่างถูกต้อง ก็จะได้ประโยชน์ทั้งสุขภาพและจิตวิญญาณ เพราะร่างกายจะเบา จิตจะเบา เข้าถึงสภาวะของความจริงหรือพระเจ้าได้ง่ายขึ้น
- การอดอาหารจะช่วยให้เราละกิเลสด้านการกินได้ จะทำให้เรานับถือตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่สำคัญมากในการดำรงอยู่และใช้ชีวิต
- การที่ต้องคำนึงถึงคุณภาพของอาหารแต่ละมื้อและปริมาณที่ทำให้อิ่มพอดี ไม่กินจุบจิบระหว่างมื้อ จะทำให้เราได้ฝึกทักษะในการเลือกอาหารที่ร่างกายต้องได้รับหรือต้องการจริง ๆ เท่านั้น ทำให้เรากินแต่พอดี ละการเป็นบริโภคนิยมไปโดยธรรมชาติ เราจะรู้ว่า อ้อ กินแค่นี้ก็พอแล้วจริง ๆ ไม่เห็นต้องเยอะเลย และกินแบบนี้ให้ผลดีกว่าด้วย
- เมื่อเราเริ่มทำได้ จะทำให้เรารู้สึกชอบในสภาวะที่สะอาดและเบาสบาย และจะช่วยปรับสมดุลให้เราได้ตามธรรมชาติ เราไม่ต้องฝืนใจกับอะไร จะเป็นวินัยตามธรรมชาติที่เราเต็มใจจะทำ เพราะมันให้ผลดี
- การทานน้อยมื้อ จะทำให้เราไม่ต้องเสียเวลามากกับการหาอาหารกิน เราแค่วางแผนดี ๆ ว่าจะกินอะไร หาแล้วก็คือจบ หรือถ้าแพลนล่วงหน้าแล้วทำอาหารเองได้ ก็มีติดตู้ไว้เลย คือ มันทำให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้นในระยะยาวเมื่อเรารู้แล้วว่าเราต้องกินอะไรบ้าง
- แน่นอนว่า มันช่วยให้ภาระกระเป๋าสตางค์เบาลงด้วย เหมาะมากกับยุคอาหารแพงนะคะ
- ทำถูกต้อง ก็จะได้หลายเรื่องเลย เหมือนการรีเซ็ตชีวิตตัวเองใหม่
- สำหรับใครที่มีโรคประจำตัว บีมแนะนำให้ปรึกษาผู้รู้ / ผู้เชี่ยวชาญ หรือให้ท่านช่วยดูแลด้วยนะคะ เพื่อความปลอดภัยค่ะ
- สรุปแล้วก็คือ IF ที่ถูกต้องและทำต่อเนื่องไป จะทำให้สิวหายได้เช่นกันค่ะ (มีเคสที่ทำ IF แล้วสิวขึ้นเพิ่มช่วงแรก ๆ ด้วย เป็นภาวะปกตินะคะ ขอให้ทำต่อเนื่องและดูแลผิวให้ถูกวิธี บีมมีผลิตภัณฑ์ช่วยในส่วนของผิวค่ะ ก็ใช้แค่นี้เลย ดูแลผิวหน้าตามอาการไปแบบชิล ๆ ไม่ต้องใช้ยา เพราะเป็นสิวจากภายใน ต้องให้ร่างกายเคลียร์ไปจนหมดเอง
- พอดีของบีมคืออดอาหารมานานแล้ว พอกลับมาทำแบบถูกวิธี คือ มันจะดีไปเลยค่ะ แอบมีสิวขับพิษนิดเดียว เห็น 1 เม็ด และก็ยุบไปแล้วค่ะ ไม่ถึง 24 ชั่วโมง)
เพื่อผิวใสและสุขภาพที่ดี (แถมน่าจะดูเด็กลงและรูปร่างดีด้วยนะคะ) มา IF กันนะคะ 🙂
 
และขอแนะนำให้ติดตามหน้าเพจไว้นะคะ บีมอาจจะมีกิจกรรมในส่วนนี้อัพเดทในอนาคตค่ะ (ทำร่วมกัน)
 
เพจนี้นะคะ https://www.facebook.com/krubeam.siwsecret
 
แล้วพบกันค่ะ 🙂
 
บีมสิวซีเคร็ต
21 มี.ค. 65 เวลา 12.53 น.
เว็บไซต์ : https://beamsiwsecret.wordpress.com/
#สิวซีเคร็ต #intermittentfasting #อดอาหาร #ล้างพิษ #สิว #รักษาสิวจากภายใน #ดีท็อกซ์ #รักษาสิว #รักษาสิวสายคลีน #รักษาสิวทุกประเภท #รักษาสิวด้วยตัวเอง #สิวฮอร์โมน #สิวเรื้อรัง #สิวอักเสบ #สิวผด #สิวอุดตัน #สิวที่ตัว #ธรรมชาติบำบัด #lifestylemedicine #รักษาสิวเชียงราย
โฆษณา