1 เม.ย. 2022 เวลา 13:50 • ประวัติศาสตร์
รัตนา ส่าหรี เทวี : จากสาวบาร์ สู่ภรรยาประธานาธิบดี ตอนที่ 2
1
มาต่อกันเลยนะครับ กับตอนที่ 2 ของเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้
1
สามารถติดตามเรื่องราวตอนที่ 1 ได้ที่
ชีวิตต่างแดน
หลังจากมาถึงกรุงโตเกียวได้ไม่นาน ในวันที่ 11 มีนาคม 1967 เธอก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวคนที่ 5 ของประธานาธิบดีซูการ์โน โดยเธอตั้งชื่อลูกสาวว่า “การ์ติกา” ที่แปลว่าดาวฤกษ์ ส่วนชื่อภาษาอังกฤษของเด็กหญิงคือ "คารีนา" ซึ่งเป็นชื่อที่เธอใช้มาจนถึงทุกวันนี้
1
รัตนา ส่าหรี เทวี และ "การ์ติกา" ลูกสาวของเธอ (Source: Pinterest)
ในตอนแรกเธอพยายามที่จะเดินทางกลับไปยังอินโดนีเซีย แต่รัฐบาลซูฮาร์โต้ก็ประกาศอย่างชัดเจนว่า ทางรัฐบาลไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของสองแม่ลูกได้ ตอนนี้ประเทศที่เธอเรียกว่าบ้านไม่ต้อนรับเธออีกแล้ว เธอจึงต้องเลือกว่าจะพาลูกสาวที่เพิ่งคลอดไปอยู่ที่ไหนดี
2
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เธอไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ เพราะเธอรู้ว่าคนส่วนมากยังจงเกลียดจงชังเธออยู่ ดังนั้นหลังจากไปอยู่สวิสเซอร์แลนด์เป็นระยะเวลาสั้น ๆ เธอจึงตัดสินใจซื้ออพาร์ทเมนต์หรูใจกลางกรุงปารีส พร้อมทั้งลงหลักปักฐานที่ประเทศฝรั่งเศส
4
รัตนา ส่าหรี เทวี และ "การ์ติกา" ลูกสาวของเธอ (Source: https://www.newsdelivers.com/)
รัตนา ส่าหรี เทวี หรือที่ชาวยุโรปเรียกเธอว่า มาดาม เทวี ในวัย 27 ปี ที่ยังสาวและสวย แถมยังมีใจรักอิสระ ย่อมที่จะไม่ยอมนั่งอยู่บ้านเฉย ๆ หน้าที่การเลี้ยงลูกสาวของเธอถูกโอนให้พี่เลี้ยง ส่วนเธอนั้นก็เข้าสู่สังคม “เจ็ทเซท” อย่างเต็มภาคภูมิ
คำว่า “เจ็ทเซท” หรือ Jetsetter ไม่ใช่ชื่อวงดนตรีแต่อย่างใด แต่คำนี้เป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มคนในวงการไฮโซ ที่มักจะเดินทางไปทั่วโลก เพื่อร่วมงานเลี้ยง และงานปาร์ตี้ Exclusive ต่าง ๆ พวกเขาอาจจะทานข้าวเย็นที่ปารีส ก่อนจะเดินทางไปร่วมงานปาร์ตี้ที่นิวยอร์คในวันรุ่งขึ้น และอีกสองวัน พวกเขาอาจจะกำลังไปนั่งจิบชาที่กรุงโตเกียว เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มคนในระดับ Elite ของโลกโดยแท้จริง
13
มาดาม เทวี กับสังคมเจ็ทเซทของเธอ (Source: gettyimages)
การหย่าร้างอันเจ็บปวด
ตอนที่พำนักอยู่ที่กรุงปารีส มาดาม เทวี ไม่ใช่ว่าจะอยู่นิ่งดูดาย เธอเขียนบทความให้กับนิตยสาร และวิจารณ์รัฐบาลซูฮาร์โต้อย่างหนัก ถึงการทรยศ และความทารุณโหดร้าย เธอวิพากย์วิจารณ์กระทั่งสื่อมวลชนของอินโดนีเซียว่าเขียนแต่ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง (แน่นอนว่าต้องเป็นอย่างนั้น เพราะสื่อของอินโดนีเซียถูกทางรัฐบาลควบคุมแทบจะ 100%) ประโยคเด็ดของเธอคือ “ฉันคิดว่าซูฮาร์โต้ คงริษยาความเป็นผู้ทรงพลังของซูการ์โน ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวของเขาเองนั้นไม่มีเลย”
3
มาดาม เทวี ตอนใช้ชีวิตอยู่ในยุโรป (Source: Pinterest)
และในที่สุดในปี 1969 ก็เกิดสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือ เธอยื่นเรื่องขอหย่าจากป๊ะผู้เป็นที่รักของเธอ หลายคนต่างก่นด่าเธออย่างสาดเสียเทเสียว่าเป็นผู้หญิงทรยศ ที่ทิ้งสามีตอนที่เขากำลังตกระกำลำบาก แต่ถ้ามองจากมุมมองของเธอ จะเห็นได้ว่าการขอหย่าครั้งนี้มีเหตุผลลึก ๆ ซ่อนอยู่ นั่นก็เพราะการที่เธอวิจารณ์รัฐบาลอินโดนีเซียอย่างหนักแบบนี้ อาจจะนำภัยมาสู่สามีเธอได้ ดังนั้นการหย่าร้างจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าสำหรับทั้งคู่
8
ด้วยความที่เป็นแม่ม่ายยังสาว ทำให้รัตนา ส่าหรี เทวี หรือที่จะขอเรียกว่ามาดาม เทวี ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จึงมีหนุ่ม ๆ มาติดพันมากมาย ตั้งแต่สมาชิกของราชวงศ์อย่าง เจ้าชายวิตโตริโอ มัซซิโมจากราชสกุลอิตาลี นักแสดงชื่อดังอย่างอาเลียง เดอลอง หรือโอมาร์ ชารีฟ พระเอกจากเรื่อง Lawrence of Arabia ก็เคยมีข่าวกุ๊กกิ๊กกับเธอ รวมไปถึงนักธุรกิจพันล้านชาวสเปนอย่างเคานต์ ฟราสซิสโก ปาเอซา หรือ ฌ็อง ดยุค แห่งซาบรอง-ปงเตเว ซึ่งมีการประกาศว่าทั้งสองหนุ่มมีข่าวจะเข้าประตูวิวาห์กับเธอ
4
มาดาม เทวี มักจะมีข่าวกับหนุ่ม ๆ อยู่เสมอ (Source: Alarmy)
แต่สุดท้ายงานวิวาห์ก็ไม่เคยถูกจัดขึ้น ในที่สุดเธอก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เธอไม่คิดที่จะแต่งงานใหม่อีกแล้ว แถมยังให้ข้อคิดว่า ผู้ชายที่มีอำนาจอาจจะแต่งงานใหม่และมีความสุขได้ แต่ผู้หญิงที่เคยแต่งงานกับชายที่ยิ่งใหญ่มาก่อน จะต้องอยู่ใต้เงาของสามีตลอดไป และไม่มีชายคนไหนที่จะมีอำนาจเทียบเท่ากับซูการ์โนได้อีกแล้ว
2
ดูใจเป็นครั้งสุดท้าย
1
มาดาม เทวีได้รับอนุญาตให้เดินทางมาดูใจป๊ะของเธอเป็นครั้งสุดท้ายได้ในเดือนมิถุนายน 1970 โชคดีที่เธอมาทันก่อนที่เขาจะสิ้นลม ด้วยโรคที่รุมเร้าหลายอย่าง บุรุษผู้เกรียงไกรที่สุดท้ายต้องถูกจองจำเยี่ยงนักโทษ ได้กล่าวถ้อยคำสุดท้ายออกมาจากปากของท่านก่อนจะสิ้นลมว่า “รัตนา ส่าหรี เทวี” คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในชีวิตของบุรุษผู้นี้ เธอคือคนที่เขารักมากที่สุดนั่นเอง
6
งานศพของอดีตประธานาธิบดี ถูกจัดขึ้นที่เมืองบลิตาร์ บ้านเกิดของซูการ์โน แทนที่จะจัดที่ทำเนียบประธานาธิบดี มิหนำซ้ำนายพลซูฮาร์โต้ยังไม่เดินทางมาร่วมงานอีก ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นการหลู่เกียรติอย่างมาก ทำให้มาดาม เทวี ถึงกับประกาศออกมาว่า เธอจะไม่มีวันให้อภัยสิ่งที่นายพลซูฮาร์โต้ทำกับสามีของเธออย่างเด็ดขาด
5
งานศพของประธานาธิบดีซูการ์โน ที่เมืองบลิตาร์ (Source: Pinterest)
หลังงานศพจบลง เธอได้รับคำแนะนำให้รีบเดินทางออกจากอินโดนีเซียทันที เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง แต่ในตอนนั้นทางรัฐบาลได้ตั้งข้อหาว่าเธอยักยอกเงินจำนวน 63,000,000 ดอลล่าร์ไปจากคลังของรัฐบาล ตลอดระยะเวลาที่เธออยู่ที่อินโดนีเซีย คดีนี้จะเป็นคดีที่สร้างความปวดหัว และตามติดตัวเธอมาจนถึงปัจจุบัน และเพื่อเป็นการลงโทษ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเธอในอินโดนีเซียตั้งแต่วิสมา ยาโซะ ก็ถูกยึดและถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ทหาร โรงพยาบาลที่เธอสร้าง ก็กลายมาเป็นโรงพยาบาลทหาร ส่วนบริษัทที่เธอเปิด ก็กลายไปเป็นบริษัทของรัฐไปโดยปริยาย เรียกได้ว่าตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรในอินโดนีเซียอีกแล้ว
16
วิสมา ยาโซะ ที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ทหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (Source: majalaya.com)
กลับสู่แดนอิเหนา
หลังการเสียชีวิตของป๊ะอันเป็นที่รัก เธอบินกลับปารีส และใช้วิถีชีวิตแบบเจ็ทเซตของเธอต่อไป เธอกล่าวไว้ว่า “ฉันยังสาว ยังสวย มีชื่อเสียงและมีเงิน ทุกคนล้วนปูพรมแดงต้อนรับฉัน” สื่อมวลชนต่างทำข่าวเรื่องชีวิตรัก และไลฟ์สไตล์ของเธออยู่ไม่ห่าง ทำให้ชื่อของมาดาม เทวี ปรากฏอยู่ในหน้านิตยสารแทบจะตลอดเวลา
1
มาดาม เทวี และอาเลียง เดอลอง นักแสดงฝรั่งเศสชื่อดัง ขวัญใจสาว ๆ ในตอนนั้น (Source: Pinterest)
แต่สิ่งที่นักข่าวไม่ได้เขียนถึงคือ เธอยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทมากมายทั้งในยุโรปและอเมริกา ทำให้เธอพอมีรายได้เข้ากระเป๋าอยู่บ้าง นอกจากนี้สมบัติต่าง ๆ ที่เธอสะสมไว้ก็ช่วยให้เธอมีชีวิตที่สุขสบายพอสมควร
1
ในเวลาต่อมา เธอได้ทำการเปิดโปงนายพลซูฮาร์โต้ครั้งใหญ่ ด้วยการนำจดหมายที่ป๊ะเขียนถึงเธอในช่วงเกิดรัฐประหาร ไปให้หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ทำการเผยแพร่ เป็นการตีแผ่ความจริงให้โลกได้รู้ถึงความเลวร้ายของนายพลซูฮาร์โต้ และที่เด็ดที่สุดคือเธอได้กล่าวเสริมว่า เธอได้เล่าถึงการเสียชีวิตของป๊ะของเธอให้กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในยุโรปและอเมริกาฟัง ซึ่งพวกเขาสันนิษฐานว่าท่านอดีตประธานาธิบดีน่าจะโดนให้รับประทานยาเกินขนาด ซึ่งผู้ที่จะทำเช่นนั้นได้ ก็ไม่มีใครอื่น นอกจากรัฐบาลของซูฮาร์โต้นั่นเอง
8
แน่นอนว่าเรื่องนี้อาจจะทำให้นายพลซูฮาร์โต้ไม่พอใจอยู่บ้าง แต่จากการสนับสนุนของทั้งอเมริกา และอังกฤษ ทำให้เขายังสามารถดำรงตำแหน่งผู้นำของประเทศไปได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด และยังไงซะ ตอนนี้อำนาจการปกครองทุกอย่างก็อยู่ในมือของเขาแบบเบ็ดเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
5
ประธานาธิบดีซูฮาร์โต้ ซึ่งปกครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จ (Source: Pinterest)
ในปี 1983 หลังจากที่พำนักที่กรุงปารีสเกิน 10 ปี ก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น มาดาม เทวีบอกว่าเธอเบื่อกรุงปารีส และประเทศฝรั่งเศส และเธอต้องการที่จะย้ายถิ่นฐานอีกครั้ง และครั้งนี้เธอเลือกที่จะกลับไปยังประเทศอินโดนีเซีย โดยเธออ้างว่าเพื่อให้ “ลูกสาวของเธอได้สัมผัสรับรู้รากเหง้าของคนอินโดนีเซียอย่างแท้จริง”
4
และก็น่าแปลกใจที่ในครั้งนี้รัฐบาลอินโดนีเซียอนุญาตให้เธอเดินทางเข้ามาในประเทศได้ หลายคนมองว่าแม้ว่าเธอจะวิจารณ์รัฐบาลในแง่ลบ แถมยังพูดจาถากถางนายพลซูฮาร์โต้แบบไม่มีชิ้นดี แต่เธอก็คงจะได้แต่พูด และไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรอีกต่อไป เพราะยังไงตอนนี้อำนาจของสื่อก็อยู่ในมือของรัฐบาลอยู่ดี
5
มาดาม เทวี กับชุดสุดหรู ตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ปารีส (Source: Pinterest)
สมบัติต่าง ๆ ของเธอในอินโดนีเซีย แม้จะถูกยึดไป แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งมีเพื่อนที่ทรงอิทธิพลมากมาย เธอยังมีเพื่อนสนิทที่คอยช่วยเหลือเธอ บรรดาข้าราชการต่าง ๆ ที่เคยเป็นลูกน้องของป๊ะของเธอ ก็ยังมีหลายคนที่ยังชื่นชอบเธออยู่ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจให้กับนักลงทุนต่างชาติ ที่เข้ามาลงทุนในทรัพยากรต่าง ๆ ของอินโดนีเซีย รวมถึงเป็นตัวกลางที่ติดต่อระหว่างแหล่งเงินทุนและบริษัทที่มีความต้องการเงิน ทำให้เธอทำรายได้อย่างงดงาม และกลายเป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
2
ความงามของมาดาม เทวีในยุค 80s ซึ่งเธอยังคงความสง่างามแบบไม่เสื่อมคลาย (Source: gettyimage)
เวลาผ่านไป 1 ทศวรรษ ชีวิตในอินโดนีเซียของเธอถึงแม้จะประสบความสำเร็จ แต่ก็เริ่มอิ่มตัว มาดาม เทวีผู้รักในการเดินทาง และความหรูหรา เริ่มที่จะมองหาที่พำนักใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้เธอเลือกที่เดินทางไปพำนักที่นิวยอร์ก ซิตี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะเธอบอกว่า เธอชอบการเมืองของประเทศนี้ ที่ทุกคนสามารถพูดถกเถียงกันได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะโดนจัดการใดใด
2
และที่นี่นี่เองมีเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ เหตุการณ์ที่ จะทำให้เธอโด่งดังไปทั่วโลก ใครที่ไม่รู้จักมาดาม เทวี จะต้องรู้จักเธอจากเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอน และโชคร้ายที่เหตุการณ์ที่ทำให้คนเรามีชื่อเสียงนั้น ส่วนมากมักจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี
1
มาดาม เทวี และการ์ติกา ลูกสาวของเธอ ถ่ายตอนปี 1979 (Source: gettyimages)
ชีวิตในอเมริกา
1
หลังจากเลือกที่อยู่สุดหรูใจกลางนิวยอร์ค ซิตี้เรียบร้อยแล้ว เธอก็ไม่ยอมที่จะนั่งเฉย ๆ เธอหันมาทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ โดยทำงานให้กับโครงการสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ และมูลนิธิต่าง ๆ
2
มาดาม เทวี เดินทางไปพำนักอยู่ที่อเมริกาในช่วงปี 1990 (Source: gettyimages)
และแน่นอนว่าเธอย่อมไม่ยอมทิ้งชีวิตเจ็ทเซทของเธอ เธอยังคงเดินทางไปทั่วโลก เพื่อเข้าร่วมงานปาร์ตี้สุดหรู เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ งานเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ของเสื้อผ้าและกระเป๋าแบรนด์เนมชั้นนำ ซึ่งคนในสังคมเจ็ทเซทที่ว่านี้ ก็จะมีคนอยู่จำกัดไม่กี่คน จึงไม่แปลกที่จะต้องมีการวนเวียนมาเจอกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
3
มาดาม เทวี ยังคงไปร่วมงานปาร์ตี้สุดเหวี่ยงอยู่เป็นประจำ แม้อายุจะเข้าเลข 4 แล้วก็ตาม (Source: Pinterest)
หนึ่งในบุคคลที่อยู่ในสังคมเจ็ทเซทนี้เช่นกันก็คือ มินนี ออสเมญ่า สาวสวยจากฟิลิปปินส์ที่มีดีกรีเป็นหลานของประธานาธิบดีคนที่ 4 ของประเทศ เธอได้แต่งงานกับ ดไวท์ ลีแมน สจ๊วต ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท คาร์เนชั่น บริษัทผลิตผลิตภัณฑ์นมที่เรารู้จักกันดี แม้การแต่งงานของทั้งคู่จะสั้นมาก แต่มินนี่ ก็กลายเป็นสาวเอเชียอีกคน ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมเจ็ทเซทอันหรูหรานี้ และมักจะเป็นที่สนใจของสื่อและนักข่าวเป็นประจำ
1
ผู้หญิงเอเชียสองคน ในแวดวงเดียวกัน ได้รับความสนใจพอพอกัน และมักจะได้รับเชิญไปงานเดียวกัน ไม่แปลกที่จะเกิดการเขม่นกันขึ้นระหว่างทั้งคู่ มาดาม เทวีเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า เธอรู้ว่ามินนี่อิจฉาเธอ และมินนี่เองก็รู้ดีว่ามาดาม ก็ไม่ชอบเธอเช่นกัน
4
อีกอย่างหนึ่งคือมาดาม เทวี เป็นเพื่อนกับตระกูลมาร์คอส ที่เป็นตระกูลที่ปกครองฟิลิปปินส์ ผู้ที่ทำให้พ่อของมินนี่ต้องแพ้การเลือกตั้ง เรื่องนี้ผสมกับการประชันกันถึงความสวย เสื้อผ้า และเครื่องประดับ ทำให้ทั้งสองไม่กินเส้นกันอย่างรุนแรง สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสาวเอเชียทั้งสองกำลังรอวันปะทุ เพียงแค่เติมเชื้อไฟเข้าไปเท่านั้น
2
มินนี ออสเมญ่า สาวสวยจากฟิลิปปินส์ คู่ปรับของมาดาม เทวี (Source: https://www.datatempo.co)
เชื้อไฟแรกเกิดขึ้นที่เกาะอิบิซา เกาะสวรรค์กลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สถานที่ที่มักจะมีงานปาร์ตี้ระดับโลกจัดขึ้นเป็นประจำ ที่นี่มินนี่ และมาดาม เทวี ได้โคจรมาเจอกันที่งนปาร์ตี้งานหนึ่ง ในตอนนั้นมินนี่กำลังคุยกับเพื่อนของเธออย่างออกรสว่าเธอคิดจะกลับไปฟิลิปปินส์ เพื่อลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เมื่อประโยคนั้นจบลง เธอได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก เชิงเหยียดหยาม มาจากบริเวณใกล้ ๆ และเมื่อเธอหันขวับไป เจ้าของเสียงหัวเราะก็ไม่ใช่ใครอื่น เธอคือมาดาม เทวีนั่นเอง
7
เรื่องนี้ทำให้ความชิงชังระหว่างสองสาวยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น จนกระทั่งเดือนมกราคม ปี 1992 มีการจัดงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ขึ้นที่เมืองแอสเพน รัฐโคโลราโด ทั้งคู่โคจรมาเจอกันอีกครั้งท่ามกลางบรรดาคนดังมากมายของอเมริกาที่มาร่วมงาน มินนี่ยังคงคุยกับเพื่อนว่าเธอมีแผนจะกลับไปสมัครลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีอยู่ และเสียงหัวเราะขบขันแบบเหยียด ๆ ก็ลอยเข้ามาถึงหูเธออีกครั้ง
6
แต่ครั้งนี้เธอไม่ปล่อยผ่าน เธอหันไปหาเจ้าของเสียงพร้อมกับเปล่งวาจาออกมาว่า “นังกะหรี่” ได้ยินดังนั้นมาดาม เทวี จึงเอาแก้วไวน์ที่อยู่ในมือเธอตบลงไปบนหน้าของมินนี่อย่างแรง
3
ข่าวการทะเลาะกันของสองสาว กลายมาเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก (Source: positivelyfilipinos.com)
ในเวลาต่อมา เธอให้สัมภาษณ์ว่า เธอไม่รู้ว่าแก้วหลุดออกไปจากมือเธอได้ยังไง เธอเห็นทุกอย่างเป็นภาพสโลว์โมชั่น และเธอเห็นเพียงแค่บาดแผลเล็ก ๆ บนหน้าผากของมินนี่ ที่มีเลือดซึมออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
2
กลายเป็นว่าบาดแผลเล็ก ๆ ที่เธอบอกนั้นเป็นแผลที่ต้องเย็บถึง 37 เข็ม เรื่องนี้กลายที่ฮือฮาไปทั่วโลก เพราะเรื่องผู้หญิงไฮโซตบกันกลางงานปาร์ตี้ ย่อมเป็นข่าวชั้นเลิศ ยิ่งคนทำเป็นถึงอดีตสตรีหมายเลขหนึ่งยิ่งทำให้ข่าวสามารถขายได้ดีเป็นเทน้ำเทท่า
3
มินนี ออสเมญ่า หลังจากโดนมาดาม เทวี "ทำแก้วหลุดมือไปโดน" (Source: gettyimages)
บทสรุปของเรื่องนี้คือ มาดาม เทวี โดนข้อหา Second-Degree Assault หรือทำร้ายผู้อื่นโดยไม่เจตนา ซึ่งเธอบอกว่าเธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงโดนข้อหาที่รุนแรงขนาดนี้ เพราะในงานปาร์ตี้ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีเหตุการณ์ “แก้วแตก” เกิดขึ้นบ้างอยู่แล้ว
2
สุดท้ายบทลงโทษที่เธอได้รับคือการจำคุกนาน 34 วัน และโดนปรับเป็นเงิน 5,700 ดอลล่าร์ พร้อมต้องบำเพ็ญประโยชน์ ต่อมาเธอให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเหมือนได้มีโอกาสกลับมาอยู่ในหอพักนักศึกษา เธอตกแต่งห้องพักของเธอด้วยภาพวาด และสัตว์เล็ก ๆ ต่าง ๆ เพื่อทำให้ห้องของเธอน่าอยู่ขึ้น และเธอสามารถอยู่นานกว่านี้ได้
3
นิตยสาร Hello! ที่เข้าไปสัมภาษณ์เธอถึงในคุกที่เธอถูกจองจำ (Source: Pinterest)
กลับสู่มาตุภูมิ
1
หลังจากสร้างเรื่องตบหน้าบันลือโลก สร้างสีสันให้กับวงการเจ็ทเซทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงหนึ่งปีถัดมาเธอก็สร้างปรากฏการณ์อีกครั้งด้วยการตัดสินใจถ่ายภาพศิลปะโชว์เรือนร่างของตนเองในวัย 53 ปี กับศิลปินชื่อดังจากญี่ปุ่นอย่างฮิเดกิ ฟูจิอิ และนักเพนท์ตัวชื่อดังอย่างเทรุโกะ โคบายาชิ
1
การจัดทำหนังสือเล่มนี้กินเวลานานหลายเดือน โดยทีมงานเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อมาดาม เทวี ซึ่งนั่นก็รวมถึงประเทศอินโดนีเซีย ประเทศอิสลามที่เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องต้องห้าม หนังสือ “Madame De Syuga” ที่แปลว่า มาดามแห่งสรวงสวรรค์ ถูกวางขายในเดือนพฤศจิกายน 1993 และขายดีแบบถล่มทลายโดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น แม้จะมีราคาสูงถึง 1,400 บาทต่อเล่มในราคาปัจจุบันก็ตาม
7
ตัวอย่างภาพจากหนังสือ Madame De Syuga (Source: Pinterest)
ภายในหนังสือจะมีภาพของมาดาม เทวีในท่าทางอิริยาบถต่าง ๆ มีทั้งเปลือย กึ่งเปลือย หรืออยู่ในชุดกิโมโนหรือเคบาย่า บางภาพเธออยู่ในอ่างอาบน้ำ บางภาพร่างกายของเธอได้รับการเพนท์อย่างงดงาม และนักวิจารณ์หลายคนก็มองว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือศิลปะที่ดีเล่มหนึ่ง
1
แต่คนที่ไม่เห็นด้วย ก็หนีไม่พ้นคนอินโดนีเซีย หลายคนรับไม่ได้ที่อดีตภรรยาของผู้ประกาศเอกราชทำตัวเสื่อมทรามเยี่ยงนี้ หลายคนบอกว่านี่คือการทำลายศีลธรรมและจรรยาบรรณอันดีงามของสังคม จนสุดท้ายรัฐบาลอินโดนีเซียก็ตัดสินใจแบนหนังสือเล่มนี้ในที่สุด
3
ตัวอย่างภาพจากหนังสือ Madame De Syuga (Source: https://www.pulsk.com/656892/9-Fakta-Ratna-Sari-Dewi-Mantan-Geisha-Jepang-yang-Menjadi-Istri-Soekarno--Wanita-yang-Luar-Biasa)
หลังจากหนังสือ “Madame De Syuga” วางแผงออกไปแล้ว ข่าวคราวของมาดาม เทวีก็เงียบหายไป จนกระทั่งปี 2000 ชื่อของเธอก็ปรากฏในหน้าสื่ออีกครั้ง เพราะเธอตัดสินใจที่จะกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเธอให้เหตุผลว่ามีคนเชิญเธอกลับไป และเมื่อสื่อถามว่าผู้ที่เชิญเธอกลับไปคือใคร คำตอบที่เธอให้คือ “สังคมญี่ปุ่น” เพราะเธอมองว่าตอนนี้สังคมญี่ปุ่นเสื่อมโทรมและอ่อนแอลงไปมาก มาตรฐาน มารยาท จริยธรรมต่าง ๆ อยู่ในระดับที่เธอไม่สามารถรับได้ และเธอต้องการกลับมาเป็นกระบอกเสียงในการเปลี่ยนแปลงสังคมของญี่ปุ่นนั่นเอง
11
การมาถึงของมาดาม เทวี เป็นที่ฮือฮาของหลายคน ฝีปากของเธอเวลาให้สัมภาษณ์เปรียบเสมือนมีดคมกริบที่เฉือดเฉือนและตีแผ่สังคมญี่ปุ่น ที่มักจะอยู่ร่วมกันด้วยความประณีประนอม สิ่งที่เธอพูดออกมาแม้จะเป็นสิ่งที่หลายคนรับไม่ได้ โดยเฉพาะคนรุ่นเก่า แต่หลายอย่างก็คือความจริงที่โดนใจคนหลายคน ที่ไม่สามารถพูดในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ ทุกคนตั้งแต่นักการเมือง คนในวงสังคมไฮโซ ดารานักแสดง ต่างก็ไม่พ้นจากการวิจารณ์แบบตรงไปตรงมาของเธอ
5
มาดาม เทวีได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์หลายรายการในประเทศญี่ปุ่น (Source: Pinterest)
และด้วยฝีปากจัดจ้านของเธอ ทำให้เธอได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ต่าง ๆ มากมาย ทั้งรายการสัมภาษณ์ รายการวาไรตี้ต่าง ๆ ซึ่งนั่นก็รวมถึงรายการโกโกริโกะ เกมส์กึ๋ยส์ อันโด่งดังด้วย ถ้าใครได้ดูรายการนี้จะพบว่าความตรงไปตรงมาของเธอ มักจะเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้เสมอ และถ้าเธอต้องทำชาแลนจ์อย่างการทำอาหาร เธอก็มักทำออกมาพังพินาศ ซึ่งเธอก็ไม่ได้แคร์อะไร นอกจากนี้เธอยังทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันต่าง ๆ อย่างการประกวดนางงามหลายครั้ง และเธอก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ฉันคือหนึ่งในคนที่ดังที่สุดของวงการโทรทัศน์ญี่ปุ่น”
9
มาดาม เทวี ได้รับเชิญไปในงานประกวด Miss International ที่จัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น (Source: Pinterest)
และในประเทศญี่ปุ่น คำว่าเทวี ออกเสียงได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นชื่อของเธอในภาษาญี่ปุ่นเลยกลายมาเป็น “เดวี ฟูจิง” หรือมาดาม เดวี ที่เราอาจจะเคยคุ้นหูกันนั่นเอง
1
ตลอดระยะเวลาที่เธอโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับเธอ โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เริ่มจากการที่เธอไปตบผู้หญิงคนหนึ่งกลางรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง เพราะผู้หญิงคนนั้นเกิดไปพูดจี้ใจดำเธอเข้า จนกลายเป็นคดีความใหญ่โต คดีหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าสูงถึง 50 ล้านเยน
5
นอกจานี้เธอยังคงต้องบินไปไปมามาระหว่างญี่ปุ่นและอินโดนีเซีย เพื่อไปขึ้นศาลในคดีต่าง ๆ ที่เธอโดนกล่าวหา และคดีที่เธอฟ้องกลับรัฐบาลอินโดนีเซีย ที่ริบทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของเธอไปอย่างไม่ชอบธรรม (ซึ่งเธอได้รับเงินชดเชยมาบางส่วน) คดีการทำร้ายร่างกายนักข่าวชาวอินโดนีเซีย (ซึ่งเธอชนะคดี) รวมไปถึงคดีการฟ้องร้องนิตยสารอินโดนีเซียหัวหนึ่งที่เอาภาพจากหนังสือ Madame De Syuga ไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต (ซึ่งเธอก็ชนะคดีอีกเช่นกัน)
8
มาดาม เทวี เป็น Presenter ให้กับผลิตภัณฑ์เสริมความงามมากมาย (Source: https://www.andgirl.jp/beauty/900)
แต่เชื่อหรือไม่ว่า แม้ว่าจะมีตารางงานที่แสนวุ่นวาย แถมยังต้องเดินทางขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นว่าเล่น แต่เธอก็ยังสามารถลงทุนในธุรกิจเครื่องประดับและเครื่องสำอางค์ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ที่ว่ากันว่าทำรายได้ได้สูงถึงปีละกว่า 100 ล้านเยน พร้อมออกหนังสือมาอีก 5 เล่ม จนเธอมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น และกลายมาเป็นผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในวงการบันเทิงของญี่ปุ่นตามที่เธอเคยบอกไว้จริง ๆ
5
มาดาม เทวี ในงานเปิดตัวหนังสือ 1 ใน 5 เล่มของเธอ (Source: babe.com)
และสิ่งที่หลายคนไม่ทราบคือ เธอยังคงดำเนินงานด้านการกุศลอย่างต่อเนื่อง ในปี 2005 เธอจัดตั้งสมาคมโลกขึ้น โดยมีวัถตุประสงค์ที่ง่ายมากคือ สันติสุขของมวลมนุษย์ เธอสามารถเรี่ยไรเงินบริจาคได้มากมายเพื่อนำไปช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่แคชเมียร์ บริจาคเข้าสภากาชาดญี่ปุ่น และโรงพยาบาลหลายแห่ง โดยเฉพาะช่วงที่มีภัยพิบัติ แต่ที่ฮือฮาที่สุดคือเธอบริจาคเงินและสิ่งของมากมาย เพื่อช่วยเหลือประชาชนชาวเกาหลีเหนือ และยังบอกอีกว่ารัฐบาลญี่ปุ่นควรจะให้ความช่วยเหลือเกาหลีเหนือมากกว่านี้
3
การช่วยเหลือเกาหลีเหนือของเธอ ทำให้หลายคนไม่พอใจ จนกระทั่งมีกลุ่มคนนำรถติดเครื่องขยายเสียง ขับมาจอดที่หน้าอพาร์ทเมนท์ของเธอ พร้อมตะโกนด่าทอเธอต่าง ๆ นา ๆ แทนที่จะนิ่งเฉยแล้วโทรเรียกตำรวจ สิ่งที่เธอทำคือ เธอเดินออกมาที่ระเบียงพร้อมโยนกระถางดอกไม้ลงมาใส่กลุ่มคนเหล่านั้น แสดงให้เห็นว่าแม้จะอายุมากแค่ไหน เธอก็ยังคงเปรี้ยวเข็ดฟันอยู่เหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
9
มาดาม เทวีได้รับเชิญให้เป็นคนขว้างลูกเบสบอล เพื่อเป็นการแข่งขัน (Source: https://www.sponichi.co.jp/baseball/news/2020/08/03/kiji/20200803s00001000055000c.html)
ส่วนการ์ติกาลูกสาวของเธอนั้นแต่งงานกับสามีชาวดัชท์ และอาศัยอยู่ในอินโดนีเซีย พวกเขามีลูกชายด้วยกัน 1 คน แต่ก็หย่ากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยแม่ลูกคู่นี้จะเจอกันปีละ 2 ครั้ง
ในปัจจุบัน มาดาม เทวี อาศัยอยู่ที่อพาร์ทเมนต์ใจกลางกรุงโตเกียว พร้อมสุนัขหลายตัว ว่ากันว่าห้องของเธอเต็มไปด้วยสิ่งของมากมายที่เธอเก็บรวบรวมมาตลอดชีวิต ชีวิตที่เริ่มจากศูนย์ แล้วค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นสู่จุดสูงสุด จนได้เป็นถึงภรรยาของผู้นำประเทศที่แม้จะเป็นประเทศที่เพิ่งได้รับเอกราช แต่ก็แข็งแกร่ง เธอมีอิทธิพลทางการเมือง ได้ใช้ชีวิตสุขสบาย จนกระทั่งถึงวันที่ชีวิตดิ่งลง เนื่องจากสามีโดนรัฐประหาร ต้องระหกระเหินไปอยู่ตามประเทศต่าง ๆ จนกระทั่งในที่สุดเธอก็ได้มาอยู่ในที่ที่เธอจากมาตั้งแต่แรก นั่นก็คือประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง
8
ภาพของมาดามเทวี ถ่ายในปี 2018 พร้อมสุนัขของเธอ (Source: https://ameblo.jp/dewisukarno/entry-12425662146.html)
ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าเธอก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีความทะเยอทะยาน อยากจะผลักดันตนเองให้ก้าวไปข้างหน้า ไม่จมปลักอยู่กับความยากจน และปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าเธอทำได้อย่างที่เธอหวัง และที่น่าชื่นชมคือไม่ว่าเธอจะโดนก่นด่าว่าร้ายอย่างไร เธอก็ไม่เคยย่อท้อ และไม่เคยทิ้งนิสัยตรงไปตรงมา ช่างวิพากษ์วิจารณ์ของเธอเลย เพราะหลายอย่างที่เธอพูด มันคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าพูด นอกจากนี้เธอยังเป็นคนที่มีความฉลาดเฉลียว มีความสามารถในการเจรจาต่อรอง และทำธุรกิจ ไม่อย่างงั้นเธอคงจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลคนหนึ่งมาจนถึงปัจจุบัน และที่สำคัญเธอคือผู้หญิงที่สวยมากที่สุดคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
7
เธอเคยกล่าวไว้ว่า เธออยากที่จะมีอายุเกิน 100 ปี และในปี 2020 ตอนที่เธออายุครบ 80 ปี เธอเปลี่ยนใจโดยเธอกล่าวว่า “ฉันจะมีชีวิตอยู่ จนกว่าศัตรูของฉันจะตายหมด” ถือเป็นคำพูดฉลองวันเกิด 80 ปีที่ไม่เหมือนใครจริง ๆ
15
มาดาม เทวีและหลานชายของเธอ (Source: https://sirabee.com)
และสุดท้ายของยกคำพูดอีกคำพูดหนึ่งของเธอ เธอเคยกล่าวไว้ว่า “มีผู้หญิงญี่ปุ่นเพียงสามคนเท่านั้นที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก หนึ่งคือจักรพรรดินี มิชิโกะ สอง โยโกะ โอโนะ (ภรรยาของ John Lennon จากวง The Beatles) และสาม คือตัวฉัน” ถ้าถามว่าผมเห็นด้วยกับเธอมั้ย ผมคงต้องว่า 100%
3
มาดาม เทวีในวัย 80 ปี (Source: yahoo)
บทส่งท้าย
1
หลายคนอาจจะอยากทราบว่าชะตากรรมของประธานาธิบดีซูฮาร์โต้ที่ก่อรัฐประหารนั้นเป็นเช่นไร ถ้าจะเล่าคร่าว ๆ คือ นายพลซูฮาร์โต้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในปี 1967 จากนั้นเขาได้พยายามใช้อำนาจทางการทหารในการเข้าควบคุมประเทศ (คล้าย ๆ กับบางประเทศในปัจจุบันนี่แหละ) มีการส่งทหารไปปกครองตามหมู่เกาะต่าง ๆ เพื่อที่จะคอยควบคุมชนกลุ่มน้อยที่พยายามแยกตัวเป็นอิสระ เช่นในจังหวัดติมอร์ จังหวัดปาปัว และจังหวัดอาเจะ มีการยุบพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งของเขา และมีการกดขี่คนอินโดนีเซียเชื้อสายจีนเป็นอย่างมาก
6
ประธานาธิบดีซูฮาร์โต้ ประธานาธิบดีคนที่ 2 ของอินโดนีเซีย (Source: Alchetron)
จากที่เคยพูดคุยกับเพื่อนคนอินโดนีเซียเชื้อสายจีน เขาเล่าว่าตอนนั้นมักจะมีข่าวธุรกิจคนจีนถูกทุบทำลายเสียหาย บ้านโดนบุก หญิงสาวถูกลากออกมาข่มขืนและฆ่ากลางถนน โดยที่ไม่มีใครสนใจใยดีแม้แต่ตำรวจเอง นับเป็นช่วงเวลาแห่งความหายนะโดยแท้
8
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของประเทศก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รายได้จากการส่งออกน้ำมันและการโปรโมทการลงทุน ทำให้มีเงินจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาในอินโดนีเซีย สาธารณูปโภค และโครงสร้างพิ้นฐานต่าง ๆ ก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภาคอุตสาหกรรมเติบโตแบบก้าวกระโดด
1
กรุงจาการ์ต้า ในช่วงต้นปี 1990s ถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดของโลก (Source: quora)
และก็เหมือนกับหลาย ๆ ประเทศในเอเชียอาคเนย์ คอรัปชั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกำจัดไปได้ แต่การคอรัปชั่นของรัฐบาลซูฮาร์โต้นั้นนับว่าเลวร้ายเป็นอย่างมาก เช่น ลูก ๆ ของเขาต่างก็เปิดบริษัทเป็นของตนเอง ซึ่งโปรเจคของรัฐบาลทุกอย่างจะถูกโยนให้กับบริษัทเหล่านี้ หรือบริษัทน้ำมันแห่งชาติของอินโดนีเซีย Pertamina ก็มีการบริหารผิดพลาดและโกงกินมากมายจนกระทั่งสุดท้ายก็ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ จนทำให้หนี้ของประเทศอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า อุตสาหกรรมการบินของประเทศก็ถูกจัดอันดับความปลอดภัยที่ต่ำมาก เนื่องจากมีการยัดเงินใต้โต๊ะเวลาจะมีการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย จนสายการบินของอินโดนีเซียถูกแบนไม่ให้บินเข้าน่านฟ้ายุโรปในระยะเวลาหนึ่ง
6
สายการบินการูด้า สายการบินแห่งชาติของอินโดนีเซีย มีประวัติความปลอดภัยที่ไม่ค่อยดีนัก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเที่ยวบิน 865 ในปี 1996 (Source: Gettyimages)
มาถึงต้นปี 1990 มีการเปิดตลาดหุ้นเป็นครั้งแรก ตลาดทุนใหม่นี้ทำให้เกิดการลงทุนที่ง่ายมากยิ่งขึ้น ทุกคนต่างรีบเข้ามาแสวงหากำไร ที่ดิน อสังหา ราคาหุ้นถูกปั่นขึ้นไปจนน่าตกใจ จนกระทั่งในปี 1997 เกิดเหตุการณ์ต้มยำกุ้งขึ้น พิษเศรษฐกิจครั้งนี้เล่นงานอินโดนีเซียจนประเทศเกือบจะเข้าสู่ภาวะล้มละลายเลยทีเดียว
3
และเหตุการณ์นี้เองเป็นเหมืองฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกิดการประท้วงไปทั่วอินโดนีเซีย ในกรุงจาการ์ต้า นักศึกษาที่ทนไม่ไหวกับความฉ้อโกง และไร้ความสามารถของรัฐบาลออกมาประท้วงกันอย่างเอิกเกริก จนสามารถยึดรัฐสภาไว้ได้ ส่วนแม่ทัพทหารภาคต่าง ๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ภายใต้อำนาจของซูฮาร์โต้ ต่างก็ทอดทิ้งเขา ทำให้เขาไม่มีทางเลือก และต้องประกาศลาออกในที่สุดในปี 1998 หลังจากที่ปกครองอินโดนีเซียมากว่า 30 ปี
6
เกิดกระประท้วงขับไล่รัฐบาลและปล้นสดมภ์ในกรุงจาการ์ต้าในปี 1997 เพื่อขับไล่ประธานาธิบดีซูฮาร์โต้ (Source: BBC)
หลังจากนั้นเขาต้องขึ้นศาล เพื่อต่อสู้กับคดีคอรัปชั่นมากมาย หลายครั้งที่เขามักจะอ้างว่าตนเองป่วย และไม่ยอมมาตามนัด จนมาถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2000 เขาก็ถูกกักบริเวณในบ้านพักของเขา ไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเคยทำกับประธานาธิบดีซูการ์โน เจ้านายที่เขาเคยทรยศไว้นั่นเอง นอกจากนี้บรรดาเครือญาติของเขาก็โดนคดีคอรัปชั่นน้อยใหญ่ไปตาม ๆ กัน และต้องเข้าคุกไปตามระเบียบ
4
Tommy หนึ่งในลูกชายของซูฮาร์โต้ที่โดนข้อหามากมาย หนึ่งในนั้นคือข้อหาฆาตกรรมผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีให้เขามีความผิด (Source: CNN)
ประธานาธิบดีซูฮาร์โต้เสียชีวิตในวันที่ 27 มกราคม 2008 พร้อมกับตำแหน่งจากองค์การ Transparency International ซึ่งคอยตรวจสอบเรื่องการทุจริตของรัฐบาลทั่วโลกว่า เขาคือผู้นำประเทศที่คดโกงมากที่สุด โดยคาดการณ์ว่าตลอดระยะเวลา 32 ปีที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ยักยอกเงินของประชาชนไปมากกว่า 15,000-35,000 ล้านดอลล่าร์เลยทีเดียว
4
ป้ายประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีซูฮาร์โต้ (Source: https://southeastasiaglobe.com)
ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของอินโดนีเซียคือโจโค วิโดโด ที่เข้ารับตำแหน่งในปี 2019 เป็นวาระที่สอง แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ ประธานาธิบดีคนที่ 4 ของประเทศ
เธอคือเมกาวาตี ซูการ์โนบุตรี บุตรีมีความหมายว่าลูกสาว ใช่แล้วครับ เธอคือลูกสาวของประธานาธิบดีซูการ์โน กับฟัตมาวาตี ภรรยาคนที่ 3 ของเขา (คนที่บอกว่าจะไม่ขอเจอหน้าซูการ์โนอีก) โดยเธอกลายมาเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกและคนเดียวของอินโดนีเซียมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นผู้หญิงคนที่ 6 ของโลก ที่ได้มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศมุสลิม เธอดำรงตำแหน่งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2001 จนถึงเดือนตุลาคม 2004
5
เมกาวาตี ซูการ์โนบุตรี ลูกสาวของซูการ์โน ประธานาธิบดีคนที่ 4 ของอินโดนีเซีย (Source: Wikipedia)
เป็นที่น่าเสียดายที่รัฐบาลของเธอ แม้จะทำให้ประเทศมั่นคง แต่ก็ถูกมองว่าเต็มไปด้วยการคอรัปชั่น และการประณีประนอมที่มากเกินไป การตัดสินใจทุกอย่างล่าช้าจนทำให้งานบริหารประเทศไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ทำให้เธอแพ้การเลือกตั้งครั้งต่อมา แต่ในปัจจุบันเธอก็ยังคงทำงานด้านการเมืองอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในประเทศอินโดนีเซีย ทรงอิทธิพลขนาดที่ว่าประธานาธิบดีโจโค วิโดโด คือคนที่เมกาวาตีเลือกที่จะให้ลงสมัครในนามพรรคของเธอนั่นเอง
3
โจโค วิโดโด ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของอินโดนีเซีย (Source: Wikipedia)
จบไปแล้วนะครับ หลังจากที่ไม่ได้เขียนมานานมาก หวังว่าทุกคนคงจะชอบเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้กันนะครับ และถ้าใครสนใจเรื่องราวของเธอมากกว่านี้ แนะนำให้ไปอ่านหนังสือที่มีชื่อว่า “บุหงาซากุระ” ที่เขียนโดย วราวุธ ที่จะบอกรายละเอียดหลายอย่างที่ไม่ได้เขียนไว้ในบทความนี้ครับ ครั้งหน้าผมจะพาไปรู้จักกับคนดัง หรือเรื่องราวเหตุการณ์อะไรอีก อย่าลืมติดตามกันนะครับ
3

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา